เผยความในใจครอบครัววศิน
คุณคิดว่า..เรื่องสะเทือนขวัญขนาดนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวคุณแค่ไหน ?
หากวันใด..สิ่งนี้มาเกิดกับครอบครัวเราบ้างจะทำใจได้ไหม ?
ถ้าไม่ได้..ต้องทำอย่างไร ที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรายต่อไป ?
หลังจากคลิปฆาตกรรมสดไวรัลสะพัดไปในโลกโซเชียลจนเป็นประเด็นสะเทือนขวัญคนไทยภายในชั่วข้ามคืน ทำให้เกิดกระแสจนผู้คนหันมาระวังภัยที่อาจเกิดกับตัวเองมากขึ้น เพราะสิ่งนี้หลายคนก็ไม่คิดว่าจะมาเกิดกับตัวเอง เพราะแม้แต่คนใกล้ตัวผู้เคราะห์ร้ายก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า..เหตุการณ์อันเหี้ยมโหดจะมาเกิดขึ้นกับคนที่เขารักอย่างฉับพลันขนาดนี้ !!!
จากปูมหลังของ ครอบครัวเหลืองแจ่ม เราพบว่า..เป็นครอบครัวมีฐานะเพียบพร้อมที่สมบูรณ์มาก เพราะคุณพ่อมีดีกรีเป็นถึงระดับดอกเตอร์ซึ่งเป็นนักวิจัยระดับประเทศ ที่ถูกเลือกให้ไปทำงานยังประเทศญี่ปุ่น (ดร.เจษฏา เหลืองแจ่ม) ส่วน คุณแม่นิราพร ก็มีจิตวิทยาการเลี้ยงลูกสูง เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเปิดเนอสเซอรี่มามากกว่า 10 ปี จึงทำให้ผู้หญิงคนนี้ทำหน้าที่แม่ได้สมบูรณ์มากๆ จนลูกทั้ง 3 คนได้รับความอบอุ่นอย่างเหลือเฟือ ซึ่งลูกผู้โชคดีนั้นก็คือ แมลงปอ มะปราง และ มะปิน (วศิน) เหยื่อผู้จบชีวิตลงอย่างกะทันหันด้วยวัยเพียง 25 ปี
ว่าไปแล้ว..ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ครอบครัวนี้..จะเป็นครอบครัวในอุดมคติที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะลูกทุกคนเรียนดี มีอาชีพการงานที่ดี และที่สำคัญ..ผู้เป็นพ่อแม่ก็ไม่เคยมีความทุกข์ใจในเรื่องลูกเกเรเลย
คุณอยากรู้ไหม..ว่าครอบครัวนี้ทำอย่างไร ?
คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูมะปินอย่างไร ?
“เนื่องจากคุณตาคุณยายของมะปินปลูกฝังเรื่องธรรมะให้แม่ตั้งแต่เด็กๆ เพราะท่านเข้าวัดปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดด้วยกันทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้..พอแม่มีลูก..ก็ได้ปลูกฝังให้ลูกทุกคนรักษาศีล สวดมนต์ นั่งสมาธิ และไปวัดตั้งแต่เล็กๆ เหมือนกัน จนกระทั่งมะปินอายุ 13 ปี แม่ก็ให้มะปินบวชสามเณรที่วัดป่า และพออายุครบ 14 ปี มะปินก็ขออนุญาตแม่บวชในโครงการมัชฌิมธรรมทายาทภาคฤดูร้อนอีก
จากการให้ลูกศึกษาธรรมะนี่เอง ทำให้มะปินเป็นคนจิตใจอ่อนโยน รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความสุขในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และเกิดจิตอาสาอยากเข้ามาบำเพ็ญประโยชน์ช่วยงานวัด โดยมาเป็นอาสาสมัครทุกวันอาทิตย์ซึ่งตรงนี้ทำให้เราหมดห่วง ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะไปติดยา หรือเข้าไปอยู่ในวงจรสุ่มเสี่ยง เพราะการมาวัดเป็นการชักนำให้ลูกไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อีกทั้งวัดยังมีกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์รองรับ จนมะปินถึงกับพูดว่า.. “แม่ครับ..ผมภูมิใจที่ได้เป็นเด็กดีวีสตาร์รุ่น 1 และรู้สึกได้บุญเยอะที่ได้มาเป็นอาสาสมัคร”
จากกิจกรรมตรงนี้เอง..ทำให้มะปินมีพัฒนาการจนมีความคิดเป็นผู้ใหญ่เร็วมาก และพอมะปินเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็มีจิตอาสาเสียสละเพื่อสังคมด้วยตัวเขาเองจากสิ่งที่ถูกหล่อหลอมมาจากวัด
มะปินชอบทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ให้สังคมหลายอย่าง เช่น ทำงานสโมสรนิสิต จัดค่ายอาสาพัฒนาชนบทออกไปช่วยเด็กกำพร้า ซึ่งการช่วยเหลือเด็กกำพร้านี้..เป็นสิ่งที่มะปินคุ้นเคยอยู่แล้ว เพราะครอบครัวเราก็รับเป็นพ่อแม่อุปถัมภ์นำเด็กกำพร้าตั้งแต่เป็นทารกมาช่วยเลี้ยงที่บ้านเหมือนเป็นลูกเราคนหนึ่ง ซึ่งเราก็รับเลี้ยงไปหลายคนแล้ว”
ภูมิใจอะไรในตัวมะปิน ?
“ตลอด 25 ปีที่เรามีลูกอยู่ด้วย เราได้ให้ความรัก ให้เวลา ให้ความอบอุ่นและดูแลมะปินเต็มที่ ทำนองเดียวกันมะปินก็ทำหน้าที่ลูกชายคนเล็กอย่างดีที่สุดเหมือนกัน มะปินเป็นคนที่ห่วงใยและรักครอบครัวมาก เวลาไปไหนมาไหนจะบอกแม่ทุกครั้ง เราจะกอดกันก่อนออกจากบ้าน แม้มะปินเรียนจบ ป.ตรี เริ่มหาประสบการณ์โดยการทำงานแล้ว เราก็ยังทำข้าวกล่องไปให้ลูกกินที่ทำงานด้วยทุกวัน ไม่ใช่เพราะเราไม่มีฐานะที่จะให้ลูกซื้อข้าวกินเอง แต่เป็นเพราะลูกมีความสุขที่จะได้กินข้าวที่ผสมความรักของแม่อยู่ในนั้นด้วย
มะปินเป็นคนเคารพและรักพี่ๆ มาก เขาจะขับรถคอยไปส่งพี่สาวคนรองเพื่อไปสอนเปียโนทุกวันเสาร์ และไปรับหมาจากพี่สาวคนโตมาดูแลให้ช่วงที่พี่สาวคนโตติดงานอยู่เสมอ
และที่เราภูมิใจที่สุด มะปินได้ทำหน้าที่ลูกชายที่สมบูรณ์ที่สุด คือ บวชพระให้พ่อแม่เองโดยไม่ได้ขอร้องอะไรเขาเลย เราปลื้มที่ลูกบวช เพราะแม้จะรักลูกแค่ไหน เราก็ตามไปดูแลลูกตลอดเวลาไม่ได้ เนื่องจากเราต้องตายจากกันสักวัน แต่การที่มะปินบวชพระ บุญตรงนี้..จะตามดูแลมะปินแทนเรา บุญจะช่วยให้มะปินมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ทุกภพทุกชาติ”
มะปินวางแผนในอนาคตไว้อย่างไร ?
“หลังจากมะปินเรียนจบ ป.ตรี มศว. ก็มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักบิน ก็เลยลองสมัครเข้าทำงานที่สายการบินแห่งหนึ่งก่อน เพื่อเข้าไปสัมผัสว่า..ใช่งานที่ตัวเองชอบไหม หลังจากนั้นพอมั่นใจแล้วว่า..อยากจะเป็นนักบินจริงๆ จึงลาออกเพื่อมาเรียนต่อ ซึ่งคุณพ่อก็บอกว่า..จะส่งมะปินเรียนจนจบ เพื่อทำฝันของลูกชายที่รักที่สุดคนนี้ให้เป็นจริงให้ได้
แต่ด้วยความรักและเกรงใจพ่อมาก มะปินจึงอยากหางานทำเพื่อจะได้หาเงินแบ่งเบาคุณพ่อบ้าง จึงไปทำงานพาร์ทไทม์ถ่ายทอดสดทางเว็บไซต์ ซึ่งต้องทำงานกลางคืนกว่าจะกลับถึงบ้านก็ตี 4-5”
การที่มะปินทำงานกะดึกและกลับบ้านเวลานี้ ทุกคนในบ้านรู้สึกเป็นห่วงมะปินมาก มะปินจึงขอเปลี่ยนเวลามาทำงานกะเช้า แต่วันสุดท้ายที่ต้องทำงานกะดึกก็ต้องเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดถึงขั้นต้องแลกด้วยชีวิต คือ โดนโจรฆ่าตอนประมาณ 4 ทุ่ม ขณะที่มาซื้อของบริเวณปากซอยสุคนธสวัสดิ์ 27
ก่อนมะปินเสียชีวิตมีลางสังหรณ์อะไรไหม ?
แมลงปอ : “วันนั้น..มีเหตุที่ทำให้น้องชายไปหาทั้งๆ ที่ไม่มีธุระอะไรมาก พอเจอกัน..เราก็ได้กอดน้องชายเป็นปกติ โดยที่ไม่รู้ว่า..นั้นคือการกอดน้องที่เรารักที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย”
คุณแม่ : “ปกติตอนครอบครัวเราชวนกันไปตักบาตรที่วัด มะปินเขาจะรับบุญเป็นอาสาสมัครถ่ายภาพในพิธีตักบาตร ซึ่งจะไม่มีเวลามาถ่ายรูปพร้อมกัน แต่งานตักบาตรครั้งล่าสุดที่ผ่านมา แปลกที่..มะปินมาขอถ่ายรูปร่วมกับพ่อแม่ ซึ่งตอนถ่ายแม่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นการถ่ายรูประหว่างเรากับลูกชายครั้งสุดท้าย”
มะปราง : “สัปดาห์ก่อนที่มะปินจะจากพวกเราไป รู้สึกเหวงๆ เหมือนต้องสูญเสียอะไรครั้งยิ่งใหญ่สักอย่าง แต่พอถามตัวเองก็ตอบไม่ได้ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไป ซึ่งช่วงนั้นก็พยายามไปสวดธรรมจักรเพื่อให้เรารู้สึกดีขึ้น
.ที่น่าแปลกมากกว่านั้น คือ ปกติมะปินจะห้อยพระที่หลวงพ่อมอบให้ติดตัวตลอดเวลา แต่วันนั้นเกิดไม่ได้ห้อย ซึ่งก็คงเป็นคราวเคราะห์ของมะปินจริงๆ ซึ่งตรงจุดนี้..มะปรางเจอกับตัวเองเลย เพราะมีครั้งหนึ่งที่มะปรางลืมห้อยพระ วันนั้นก็ประสบอุบัติเหตุเลย
การห้อยพระติดตัว มะปรางไม่อยากให้มองว่า..เป็นเรื่องงมงาย เพราะหากมีเหตุอะไรเกิดขึ้น เวลาเราตกใจ..ใจเราจะนึกถึงพระได้ง่าย เมื่อเวลานึกถึงพระ นึกถึงบุญ บุญที่เราเคยทำไว้ก็จะชิงช่วงแทรกเข้ามาตัดรอนวิบากกรรมให้เราแคล้วคลาด”
ทันทีที่ทราบข่าวการตายคิดอย่างไร ?
“ตอนแรกคุณพ่อไม่เชื่อ เพราะไม่คิดว่า..เรื่องอย่างนี้จะมาเกิดในครอบครัวของเรา ส่วนมะปรางร้องไห้เลย คือ ทำอะไรก็น้ำตาไหลเป็นอัตโนมัติ เพราะการจากไปครั้งนี้มันกะทันหันเกินไป
จริงๆ คนในครอบครัวเราทุกคนอาจต้องทุกข์ใจจนระงับสติไม่ได้ แต่เป็นเพราะทุกคนมีธรรมะเป็นที่พึ่ง โดยเฉพาะคุณแม่ เนื่องจากเข้าวัดปฏิบัติธรรมกันทั้งบ้าน เราจึงมีสติ เข้มแข็ง จับแง่คิดเพื่อเดินต่อไปข้างหน้าให้ได้”
มะปินทำบุญตั้งเยอะ..ทำไมบุญไม่ช่วย ?
“ถ้าเราเอาแต่ทำบุญบริจาคเงินแต่ไม่ได้ศึกษาธรรมะอย่างลึกซึ้ง เราก็คงคิดอย่างนี้ แล้วอาจเลิกทำบุญไปเลย ดีเหมือนกันที่ถามคำถามนี้ เพราะเราเชื่อว่า..มีคนไม่เข้าใจจุดนี้อีกเยอะมาก ซึ่งจุดนี้อยากให้เข้าใจความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า..คนเรามีกรรมเก่าในอดีตชาติที่เราทำมากันทุกคน ขนาดพระโมคคัลลานะ ที่เป็นถึงอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ท่านจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มีฤทธิ์สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้แล้ว แต่ด้วยวิบากกรรมเก่าที่ท่านเคยทุบตีพ่อแม่มาในอดีตชาติ จึงทำให้ท่านต้องโดนโจรทุบตีจนมรณภาพก่อนเข้านิพพานเลย หรือหากเราได้ศึกษาจาก อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท อัตตวรรคที่ 12 เรื่องอุบาสกชื่อมหากาล ซึ่งเป็นคนดีมาก แถมกำลังรักษาศีล 8 อยู่แท้ๆ แต่อยู่ๆ โจรก็เอาของกลางที่ขโมยมาโยนทิ้งไว้ที่มหากาล พอชาวบ้านวิ่งตามมาเห็น ก็เข้าใจว่ามหากาลเป็นโจร จึงรุมทุบตีจนมหากาลตายคาที่ ซึ่งเหตุการณ์นี้..ดูเหมือนไม่ยุติธรรมเลย ที่คนทำดีมาทั้งชีวิต แต่อยู่ๆ ก็มาโดนรุมทุบจนตายทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของมหากาลเลย แต่หากเรามาศึกษาถึงวิบากกรรมเก่าของมหากาล ก็จะพบว่า..ในอดีตชาติมหากาลได้เอาแก้วมณีไปซ่อนไว้ในรถของชายคนหนึ่ง เพื่อจงใจจะใส่ร้ายว่าเค้าเป็นโจร และพอเจ้าหน้าที่มาค้นเจอแก้วมณีว่าอยู่บนรถของชายผู้นั้น ชายผู้นั้นก็โดนเจ้าหน้าที่รุมทุบตีจนตายเช่นกัน...
อย่างเรื่องของมะปินก็เช่นกัน จากการที่เราศึกษาธรรมะมามาก ก็จะทำให้เรามองอะไรเป็นไปตามความเป็นจริงได้มากขึ้น ดังนั้นทุกชีวิตไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าจะยากดีมีจน เราก็ประมาทไม่ได้เลย เพราะเราไม่รู้ว่าอดีตชาติเราสร้างวิบากกรรมอะไรมาบ้าง แล้วกรรมนั้นจะตามส่งผลตัดรอนเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉะนั้น..อะไรที่ไม่ดีเราอย่าไปทำเพิ่มอีกเลย และหมั่นเร่งสร้างกรรมดี โดยการทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ เพื่อให้ชีวิตเราเจอแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น”
คิดอย่างไรกับโจรที่ฆ่ามะปิน ?
“ถ้าเราไม่ได้ศึกษาธรรมะมาก่อน เราคงจะผูกอาฆาต ตามล้างแค้นคืนให้ถึงที่สุด แต่เป็นเพราะคำสอนที่หลวงพ่อสอนให้เราเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม เราจึงทำใจได้ว่า..เป็นวิบากกรรมเก่าของมะปินเอง เราไม่โทษใครเลย เราให้อภัย ไม่อาฆาตแค้นอะไรทั้งนั้น ซึ่งคุณแม่ก็บอกลูกๆ ว่า..เป็นเพราะมะปินมีบุญอยู่กับพวกเราแค่นี้”
หลังจากทราบประวัติของโจรที่ฆ่ามะปินแล้วคิดอย่างไร ?
“ตกใจที่โจรติดคุกมา 8 ครั้ง เข้าคุกตั้งแต่อายุ 13 ขวบ ตรงข้ามกับมะปินที่เข้าวัดและบวชตั้งแต่ 13 ขวบ ตรงนี้ทำให้เราเห็นถึงจุดหักเหชีวิตของเยาวชนไทยได้ชัดเจนมากๆ มาถึงจุดนี้เรารู้สึกคิดไม่ผิดเลยที่ส่งเสริมให้มะปินเข้าวัดตั้งแต่เล็กๆ จนเขามีภูมิต้านทานที่จะไม่กลายเป็นคนไม่ดีในอนาคตโดยไม่ได้ตั้งใจ
ประวัติของโจรทำให้เราสะเทือนใจมาก เพราะกว่าจะมาถึงคิวของมะปิน ก็มีคนดีๆ ที่ตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไปแล้วไม่รู้กี่คน แล้วคนต่อไปจะต้องเป็นใคร จะเป็นคนใกล้ตัวเราอีกหรือเปล่า แล้วเราต้องเสียคนดีๆ ของสังคมไปอีกสักกี่คน”
คนไทยควรแก้ปัญหานี้อย่างไรที่จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป ?
“จากเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า..เราเป็นคนดีในสังคมคนเดียวไม่ได้ แม้มะปินจะเป็นเด็กดี อยู่ในครอบครัวที่ดี อยู่ในหมู่เพื่อนที่ดี แต่มะปินก็ต้องมาตายเพราะคนไม่ดีทำร้ายจนเสียชีวิต
ดังนั้น เราต้องทำให้สังคมโดยรวมมีศีลธรรมไปพร้อมๆ กับเรา เพื่อเราจะได้อยู่อย่างปลอดภัย
เราอยากให้พ่อแม่ทุกคนเห็นคุณค่าของการปลูกฝังศีลธรรมให้ลูกหลานตั้งแต่เด็กๆ คือ ให้เขาเข้าวัดไหนก็ได้ที่เราศรัทธาและชอบ เพื่อให้ธรรมะได้ขัดเกลาจิตใจของเขาทีละเล็กละน้อย จนเขามีภูมิต้านทานต่อสิ่งไม่ดีอย่างมั่นคง
ตรงจุดนี้เอง เมื่อก่อนครอบครัวเราก็ไม่เข้าใจอะไรลึกซึ้งในสิ่งที่หลวงพ่อสอนว่า..เราต้องทำหน้าที่กัลยาณมิตรชวนคนอื่นให้มาทำความดีกับเราด้วย ซึ่งหลวงพ่อก็จัดโครงการรองรับตรงนี้มาตลอด เช่น บวชพระฟรีแสนรูป บวชสามเณรฟรีล้านรูป ทุกจังหวัดทั่วไทย คือ สะดวกที่ไหนก็ไปบวชที่นั่น เพราะหลวงพ่อเล็งเห็นว่า..ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะช่วยขัดเกลาให้จิตใจเขาอ่อนโยน รู้จักบาปบุญคุณโทษ และไม่อยากทำผิดศีล ซึ่งตรงนี้เอง หากมีคนดีๆ มีคนรักษาศีลอยู่เต็มสังคม เราก็จะอยู่ในสังคมอย่างปลอดภัยขึ้น และจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อผู้โชคร้ายอย่างนี้
พอถึงประโยคนี้ หลายคนอาจคิดว่าเราเพ้อฝัน เพราะมันดูไกลเหลือเกินที่จะเป็นไปได้ แต่ถ้าเราไม่เริ่มนับ 1 ที่ตัวเองหรือไม่เริ่มอะไรเลย เราคงต้องอยู่ในสังคมนี้อย่างหวาดระแวงต่อไป และต้องสูญเสียคนดีๆ สูญเสียคนที่เรารักต่อไปอีกไม่รู้กี่คน ซึ่งคนนั้นอาจเป็นเราหรือคนใกล้ตัวเราสักวัน
ณ วันนี้ เราเข้าใจสิ่งนี้ลึกซึ้งเลย เข้าใจแล้วว่า..ทำไมเราเป็นคนดีเพียงคนเดียวไม่ได้ ทำไมต้องชวนคนอื่นให้มาเป็นคนดีด้วย...”
Cr. ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์