พิการเพียงกาย แต่ใจไม่พิการ

วันที่ 30 มค. พ.ศ.2560

 
 
พิการเพียงกาย แต่ใจไม่พิการ
 
พิการเพียงกาย แต่ใจไม่พิการ,ที่นี่มีคำตอบ ฉบับมินิ เล่ม 4 รักนี้สีอะไร,บทความประจำวัน
 
 
              เมื่อวันอาทิตย์กลางเดือนมิถุนายน ๒๕๓๒ ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่โคนเสาท้ายศาลาสภาธรรมกายในวัดพระธรรมกาย เป็นปกติเหมือนทุกๆ อาทิตย์ ที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ตรงนี้ สาเหตุใหญ่มาจากหนังสือจากความทรงจํา ที่ข้าพเจ้าเขียนนี่เอง ผู้คนที่อ่านแล้วจํานวนไม่น้อยขวนขวายตามหาตัวข้าพเจ้า มีปัญหาสารพัดมาระบายให้ฟังบ้าง อยากร่วมทําบุญด้วยบ้าง ถ้าข้าพเจ้าไปนั่งรวมอยู่ในกลุ่มคน ก็คงทําความรําคาญให้ผู้คน ที่นั่งใกล้เป็นกําลัง คนโน้นเข้าไปหา คนนี้เข้าไปหา ไม่เป็นอันให้คนที่อยู่ใกล้ได้สงบ 

           ส่วนข้าพเจ้าเอง โดยนิสัยใจคอที่แท้จริงแล้ว ไม่ต้องการเกี่ยวข้องคลุกคลีกับใครๆ เลย ชอบอยู่วิเวกตามลําพัง วันหนึ่งๆ ไม่เห็นหน้าผู้คนเลยยิ่งดี แต่เมื่อมีผู้ประสงค์ทําบุญด้วย ก็เกิดความปรารถนาช่วยงานพระศาสนาให้เป็นบุญแก่ตัวเองขึ้นมาบ้าง เพราะตนเองเลิกประกอบอาชีพทางโลกเสียแล้ว เงินทองที่จะนํามาทําทานให้สมใจอยาก ก็มีไม่มาก พอคนโน้นให้บ้าง คนนี้ให้บ้าง ก็สามารถรวบรวมได้เป็นกอบ เป็นกํา พอได้ทําบุญช่วยสร้างถาวรวัตถุบ้าง ช่วยเป็นค่าภัตตาหาร พระภิกษุสามเณรบ้าง กระทั่งได้ช่วยรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร ที่อาพาธบางรายเป็นพิเศษ จึงได้นั่งคอยพบผู้ที่ต้องการพบอยู่ตรงท้าย ศาลา และคงจะนั่งคอยผู้คนอยู่ตรงนี้ จนตนเองแก่เฒ่าเดินไปที่ไหนไม่ไหวหรือจนกว่าทางวัดจะไม่ให้นั่ง

        ในวันดังกล่าวเมื่อข้าพเจ้านั่งอยู่ไม่ทันถึง ๕ นาที ได้มีเด็กอายุ ราว ๔-๕ ปี ค่อนข้างผอม เดินขาปัดขาเป๋ ปั้บ ปั้บ ปั้บ เข้ามาหานั่งลงแทบจะบนตักข้าพเจ้า ทําเสียงประหลาดๆ เหมือนจะทักทาย แต่ไม่เป็น ถ้อยคําพูด ข้าพเจ้าฟังไม่รู้เรื่อง มองดูหน้าของเด็กแล้ว เห็นชัดว่าเป็นคนพิการ หูไม่หนวกแต่พูดให้ชัดไม่ได้ สายตาสั้นเพราะใส่แว่นสายตาหนาเตอะ ใบหน้าแก่กว่ารูปร่างหลายปี อายุคงจะเลยสิบขวบขึ้นไป

       “อ้าว เนี่ยลูกใครมาหายายฮึเนี่ย ข้าพเจ้าถามขึ้นพร้อมกับเหลียวมองไปรอบๆ เพื่อหาแม่ของเด็ก ไม่มีใครทําอาการยอมรับว่าเป็นแม่ มีแต่สตรีอายุใกล้ ๕๐ ปี ยืนยิ้มอยู่ไม่ไกลนัก

     “หนูมากะใครคะ แม่อยู่ไหนลูก” ข้าพเจ้าถามเด็ก เด็กเอามือตบที่ตักข้าพเจ้าแรงๆ ๒-๓ ครั้ง ทําท่าเหมือนดีใจที่ได้พบคนคุ้นเคยรู้จักกัน ดวงตาเป็นประกายอย่างมีความสุข ตอบว่า

       “มา ...แม่...แม่” แต่ไม่ชัด ฟังแล้วต้องเดาเอาว่าหมายถึงอะไร แสดงว่าฟังได้ยินและเข้าใจคําถาม พร้อมกันนั้นเด็กก็จับแขนทั้งสองของข้าพเจ้าเขย่าเป็นการใหญ่ จนใครต่อใครร้องห้าม

     สตรีที่ยืนยิ้มอยู่จึงเดินเข้ามาทรุดนั่งยกมือทักทายสวัสดีข้าพเจ้า แล้วพูดว่า

      “อาจารย์ จําได้มั้ยคะ เด็กคนนี้ กับหนูน่ะค่ะ ข้าพเจ้ามองดู เธอและเด็กสลับกันไปมา ทําท่าอึดอัดทํานองคิดไม่ออกอยู่

      “อาจารย์ ค่อยๆ คิดซีคะ พูดแล้วเธอก็ยิ้มๆ

  ในใจข้าพเจ้าคิดว่า “แหม เรื่องมากจัง บอกออกมาก็ไม่บอกว่าเป็นใคร รู้จักกะเราตั้งแต่เมื่อไหร่ ต้องให้คิดด้วย คนที่เรารู้จักด้วยไม่ใช่มีแต่เค้าคนเดียวเนี่ย คนเห็นหน้ากันทุกอาทิตย์เรายังจําชื่อไม่ได้เลย แล้วสองคนนี่ ในความรู้สึกของเราน่ะ ยังกะเกิดมาไม่เคยเห็นกันเลย”

   อย่างไรก็ตาม สตรีนั้นก็ไม่ยอมบอก ทําหน้าอมยิ้มอยู่อย่างนั้น ให้รู้สึกอึดอัดเต็มที่ จึงจําเป็นต้องค่อยๆ คิด วิธีคิดก็ไม่ได้หลับตานั่งคิด ทั้งลืมตานั่นเอง ทําใจให้ใสให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ตรงศูนย์กลางกายค่อยเอาใจเลื่อนลึกลงไปในความใสที่เห็นได้นั้น ความคิดอะไรโผล่ขึ้นก็นำมาเป็นข้อมูลได้

   ความคิดค่อยเกิดดังนี้ “ผู้หญิงคนนี้ต้องรู้จักเรามานานมาก เธอจึงเรียกเราว่า “อาจารย์” ต้องรู้จักกันตั้งแต่เรายังไม่ลาออกจากราชการ เพราะถ้ารู้จักกันที่วัด จะต้องเรียกเราว่า “ป้า” ตามที่หลวงพ่อท่านให้ใครๆ เรียก เมื่อเรียกอาจารย์ก็แปลว่า ต้องรู้จักกันในหน้าที่การงาน สมัยน้้นก็ต้องเป็นเวลาเลยมาสิบกว่าปีแล้ว

     อ้อ! ถ้าอย่างนั้นเด็กคนนี้ก็ต้องเป็นเด็กทารกในครั้งกระโน้นแน่ๆ"

   พอคิดมาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าก็ทําสมาธิจิตทั้งที่ลืมตา เอาตัวเด็ก (กายฝันหรือกายมนุษย์ละเอียด) เข้าไว้ในศูนย์กลางกาย แล้วสอดใจเข้ากลางศูนย์กลางกาย กายฝันของเด็ก เผื่อจะทําให้คิดออกเร็วขึ้น

    เพียงครู่เดียวในความทรงจําก็เกิดภาพเด็กทารกคลอดได้ยังไม่ถึงเดือนนอนอยู่ในผ้าห่ม ซึ่งข้าพเจ้าใช้เป็นผ้ารองเตารีด ข้างเด็กเป็นลูกสาวของข้าพเจ้าคอยนั่งดูแลอยู่ ทั้งคู่อยู่บนเบาะหลังของรถยนต์ที่ ข้าพเจ้าเป็นผู้ขับ ข้าพเจ้าออกจากสมาธิ เพราะเพียงเห็นภาพในใจแค่นั้น ก็พลันระลึกความหลังทั้งปวงออกจนหมด ความสงสารสมเพชเวทนาเกิดขึ้นจับใจ จนต้องโอบกอดเด็กพิการนั้นไว้ในอ้อมแขน ปากก็พูดได้เพียงว่า

         “แม่คุณ ตั้งหลายปีเต็มที ตัวโตได้แค่นี้เองรึเนี่ย”

        “ได้แค่นี้เองค่ะอาจารย์ ดีใจที่อาจารย์จําได้แล้ว แต่อาจารย์อย่าพูดอะไรต่อหน้าเค้านะคะ เพราะเค้าไม่ใช่เด็กโง่ ฟังอะไรรู้เรื่องหมดค่ะ เพียงแต่พูดโต้ตอบไม่ชัด และร่างกายไม่สมบูรณ์เท่าเด็กธรรมดาเท่านั้น นี่อายุ ๑๔ ปี แล้ว เหมือนเด็ก ๔ ขวบเท่านั้นเอง แต่สมองและสติปัญญามากกว่า ๔ ขวบ ดิชั้นพามาที่วัดนี้หลายครั้งแล้วหาตัวอาจารย์ยากเต็มที มาทีไรก็ไม่เคยได้พบ เพราะผู้คนมากมาย จนวันนี้ มีคนบอกว่าอาจารย์ชอบนั่งอยู่ท้ายศาลา เก่งมั้ยคะ ดิชั้นจําอาจารย์ได้”

       ต่อจากนี้ข้าพเจ้าจะเล่าประวัติความเป็นมาของเด็กน้อยผู้นี้ให้ท่านฟัง จุดประสงค์เพื่อยืนยันว่า “ความเกิดเป็นทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ชนิดหนึ่งทีเดียว”

       ปลายเดือนตุลาคม ๒๕๑๘ อากาศหนาวเย็นเพราะเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ข้าพเจ้าและลูกๆ พักอยู่ที่บ้านหลังเก่า บนพื้นที่ว่างสิบกว่าไร่หลังบ้านแห่งนั้น เจ้าของเคยทําเป็นสวนผลไม้ มีกระท้อน กล้วยหอม มะละกอ ทุเรียน ฯลฯ และคงจะเห็นว่ามีรายได้น้อย (เพราะเมื่อสวนอยู่ใกล้หมู่บ้านคน พวกเกียจคร้านชอบมากินโดยไม่ต้องปลูกก็พากันมาขโมย เจ้าของสวนต้องพกปืนมาคอยนอนเฝ้า ตอนดึกๆ ข้าพเจ้าและลูกต้องสะดุ้งตกใจเพราะเสียงปืนไล่ขโมยตลอดหน้าทุเรียนหรือหน้ากระท้อน) เจ้าของสวนจึงจัดการแบ่งเป็นแปลงเล็กแปลงน้อยให้คนเช่าที่ปลูกบ้านอยู่อาศัย

      มีหลายบ้านที่อยู่ใกล้หลังบ้านข้าพเจ้า มาขอใช้น้ำประปาที่บ้านข้าพเจ้าในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ทางประปายังไม่มาติดตั้งให้ ในจํานวนบ้านเหล่านี้มีอยู่ครอบครัวหนึ่ง อยู่กันราว ๗-๘ คน พ่อทํางานที่โรงงานสุราบางยี่ขัน แม่หาบขนมขาย ลูกชายหญิงที่โตแล้ว ๒-๓ คน ไปทํางานรับจ้าง โดยเฉพาะคนรุ่นสาวไปทํางานเสิร์ฟอาหารที่ร้านอาหารขายกลางคืนแห่งหนึ่ง

   เวลาผ่านไปประมาณครึ่งปี คืนหนึ่งข้าพเจ้าและลูกๆ ต้องตกใจตื่นกลางดึก คราวนี้ไม่ใช่เสียงปืนที่ยิงเฝ้าขโมย เพราะไม่มีสวนเหลืออยู่อีกแล้ว แต่เป็นเสียงด่าทอทะเลาะวิวาทกันระหว่างสามีภรรยาในครอบครัว
ลูกมากบ้านนั้น ได้ยินเสียงฝ่ายภรรยาว่า

      “ฮือ...ฮือ...ฮือ...มึงจะไปมีเมียใหม่ กูก็ไม่ว่าอะไร แต่ต้องให้เงินกูเลี้ยงลูกมั่งซี..."

      ได้ยินเสียงฝ่ายชายพูดอย่างพาลเกเร อ้างเรื่องเงินไม่พอใช้ ไม่มีเหลืออะไรต่างๆ ข้าพเจ้าปลอบลูกๆ ให้นอนหลับต่อ

      “นอนชะลูก ไม่มีอะไรหรอก เรื่องพวกผู้ชายนิสัยไม่ดีนะแหละ ชอบไปมีเมียใหม่แล้วไม่ยอมเลี้ยงลูก แต่พวกหนูไม่ลําบากเหมือนลูกบ้านนั้นเค้าหรอกจ้ะ แม่มีงานทำ แม่เลี้ยงหนูได้ นอนเถอะ"

       ลูกหลับกันหมดแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังนอนลืมตาโพลงต่อไปคิดถึงครอบครัวที่กําลังทะเลาะกันอยู่ รายได้ของแม่ที่หาบขนมขายจะพอเลี้ยงลูกที่ยังเล็กๆ อีกตั้ง ๗-๘ คน อย่างไรกันจะหวังพึ่งลูกโตๆ ก็ไม่ได้ เพราะมีรายได้แค่พอเลี้ยงตนเอง และยังรีบมีภรรยาสามีกัน เมื่อเร็วๆ นั้นอีกถึง ๒ คน ล้วนแต่ต้องต่อห้องเล็กๆ อยู่ติดกับครัวของบ้านพ่อแม่ ข้าพเจ้าคิดถึงอํานาจของกามตัณหามันทั้งร้ายแรง และรุนแรงเหลือขนาด ทําให้พ่อบ้านที่มีลูกหลายคนทอดทิ้งความเป็นอยู่ของลูกได้ลงคอ

      อีกไม่กี่คืนต่อมาก็ต้องตกใจตื่นในทํานองเดียวกันอีก คราวนี้เป็นรายลูกสาวและลูกเขยของบ้านเดียวกันนั้นเอง รุ่งเช้าเมื่อตัวแม่ผู้ขายขนม มาขอต่อนํ้าที่บ้านข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงถามถึงเหตุการณ์ ได้ทราบว่าลูกเขยซึ่งก็มีอาชีพเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารอยู่ที่ร้านเดียวกันแอบไปมีภรรยาใหม่ตามอย่างพ่อตา

     "นี่เช้านี้เค้าเอาเสื้อใส่กระเป๋า ออกจากบ้านไปแล้วค่ะคุณพี่ดูซี ปล่อยเมียกำลังท้องเอาไว้ ฉันไม่รู้จะเลี้ยงกันยังไงไหว ทั้งลูกเล็กลูกโต ยังหลานที่กำลังจะคลอดอีกไม่กี่เดือนนี่"

      ข้าพเจ้าปลอบใจสตรีนั้นไปตามเรื่อง บอกยกค่าน้ำประปาที่ค้างอยู่หลายเดือนให้ และยังอนุญาตให้ใช้ฟรีต่อไป แบ่งเสื้อผ้าข้าวของอาหารแห้งให้ไปตามกําลัง ต่อจากนั้นก็ไม่ใคร่มีโอกาสพูดคุยกัน เพราะข้าพเจ้าไปทํางานแต่เช้าตรู่กลับมาก็โพล้เพล้ทุกวัน

       ๓-๔ เดือนต่อมา เช้าวันหยุดวันหนึ่ง เสียงสตรีขายขนมบ้านนั้น มายืนเรียกข้าพเจ้า

      “คุณพี่คะคุณพี่คะ เมื่อข้าพเจ้าเปิดประตูถามเธอว่ามีธุระอะไร ได้รับคําตอบว่า 

      “คุณพี่ หนูมีเรื่องมาปรึกษาน่ะค่ะ หนูสงสารหลานเพิ่งคลอดมาได้ไม่กี่วัน แม่ของมันจะต้องออกไปทํางาน จะต้องทิ้งลูก ฉันก็ต้องไปหาบขนมขาย เลี้ยงเด็กอยู่ก็ไม่ได้ เดี๋ยวอดตายกันทั้งบ้าน คุณพี่มีทางไหน ช่วยฉันบ้างมั้ยคะ ช่วยแค่เอาเด็กไปให้ใครก็ได้ ถ้าทิ้งไว้มันต้องตายแน่ๆ กว่าพวกน้าๆ มันจะกลับจากโรงเรียน แล้วอีกอย่างเงินซื้อนมกระป๋องจะเลี้ยงก็ไม่มี แม่ของมันก็ต้องไปทํางานแต่เช้าค่ะ”

     “อ้าว ไม่เสิร์ฟอาหารที่เก่าแล้วเหรอ กลางวันจะได้ให้ลูกกินนม ตัวเองไปทํางานกลางคืน คุณจะได้ช่วยเลี้ยงตอนกลางคืนไงล่ะ ข้าพเจ้าออกความเห็น

    “ต้องเลิกทํางานที่นั่นแล้วค่ะ เพราะมันไปตบตีกับผัวและนังเมียน้อยของมันที่นั่น เถ้าแก่เค้าเลยไล่ออกหมดทั้งสามคนเลย”

     ข้าพเจ้าฟังเรื่องราวถี่ถ้วนแล้ว ก็รับปากว่าจะหาหนทางช่วยเหลือ ได้ผลอย่างไรจะไปบอก

     รุ่งขึ้นข้าพเจ้าขับรถไปทํางาน ครุ่นคิดเรื่องของทารกที่เล่าแล้ว จะเอาไปยกให้กรมประชาสงเคราะห์ดี หรือว่าจะไปถามตามคนรู้จักที่เห็นสมควรดี คิดไปคิดมาก็ตั้งใจว่าจะเอาไปให้กรมประชาสงเคราะห์ ก็มาติดปัญหาที่ว่า ไม่ใช่เด็กกําพร้า เป็นเด็กมีแม่ มีตามียาย

      คงจะเป็นด้วยอํานาจบุญเก่าของเด็ก แกจะต้องเป็นคนที่เคยสร้างบุญด้วยการทําทานไว้ในอดีตชาติ ทําให้มีคนรู้จักที่เป็นคนใจดีท่านหนึ่ง โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าในเช้าวันนั้น พูดเรื่องให้ข้าพเจ้าไปรับเงินทุนช่วยเหลือนักเรียนขาดแคลนที่เขายินดีบริจาคเป็นประจําทุกเดือนและท้ายที่สุดมีคําพูดว่า

      “อาจารย์คะ อาจารย์ทํางานเกี่ยวข้องกับคนยากจนอยู่ยังงี้ อาจารย์พอจะเห็นครอบครัวไหนที่เค้ามีลูกมากๆ เลี้ยงไม่ไหว ขอให้เพื่อนดิชั้นซักคนบ้างมั้ยคะ แต่ต้องเป็นเด็กเล็กๆ จําความอะไรไม่ได้นะคะ เพราะเค้าจะเอาเข้าทะเบียนบ้านเป็นลูกจริงของเค้าเลย แต่งงานมาเป็น ๗-๘ ปีแล้วไม่มีลูก สามีเค้าเป็นหมันค่ะ”

     เหมือนเทวดาดลใจ ข้าพเจ้าซักถามถึงฐานะความเป็นอยู่อาชีพ ตลอดจนนิสัยใจคอของครอบครัวนั้นอย่างละเอียด ได้รับคําตอบทุกอย่างเป็นที่พอใจ สามีเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ภรรยามีอาชีพเปิดร้านรับตัดเสื้อผ้า ข้าพเจ้าตกลงรับปากว่ารุ่งขึ้นจะนําเด็กไปให้ถึงบ้านคนรู้จักที่โทรศัพท์ผู้นั้น ให้เขาติดต่อผู้ต้องการลูกไว้ให้เรียบร้อย

    เย็นนั้นข้าพเจ้ากลับมาบอกสตรีขายขนมคนดังกล่าว รุ่งขึ้นเช้าเธอก็อุ้มหลานมาให้ ไม่มีเบาะรองนอน มีผ้านุ่งเก่าๆ ของยายเด็กรองมา ตัวของทารกเล็กมากจนน่ากลัวเลี้ยงไม่รอด ลักษณะหนังหุ้มกระดูก มีแต่ ดวงตาที่เคลื่อนไหวได้แสดงความมีชีวิต ยายของเด็กบอกว่าตั้งแต่เกิดมา เด็กไม่เคยร้องออกเสียงเลย ข้าพเจ้าพูดกับลูกสาวว่า

    “โรงเรียนหนูหยุดเทอมใช่มั้ยลูก แม่วานอุ้มน้องคนนี้นั่งข้างหลังรถหน่อยนะ แม่ขับรถด้วยดูเด็กด้วยไม่ถนัด ลูกไปเอาผ้าห่มผืนที่ใช้รองรีดผ้า แล้วก็เอาผ้าขาวที่แม่ใช้คลุมเข่าเวลานั่งสมาธิที่ซักแล้วอยู่ใน
ตะกร้าปูทับข้างบน ใช้แทนเบาะรองนอนให้น้องตัวเล็กนี้ "

     ข้าพเจ้าพูดกับลูกสาวอายุ ๑๓ ปี โรงเรียนที่แกเรียนอยู่ปิดเทอม ลูกสาวข้าพเจ้ารีบทําตามอย่างเต็มใจสีหน้าของแกแสดงความสงสาร เด็กเต็มที่

         ขณะเดินทาง เสียงลูกสาวของข้าพเจ้าปรารภขึ้นว่า

         “แม่ขา เด็กคนนี้ยายเค้าบอกว่าไม่เคยร้องเลย แม่ว่าแกเป็นเด็กพิการรึเปล่าคะ”

       “แม่ก็ไม่รู้นะลูก แต่ดูแล้วก็ผิดปกติอยู่ ฟังยายเค้าเล่า ปล่อยให้หิวแค่ไหนก็ไม่ร้อง แม่สงสัยว่า ตอนแม่ของเด็กตั้งท้องคงจะทะเลาะกับสามีด้วย สงสัยแกคงกินยาให้เด็กแท้งก็ได้ ยาอาจทําลายประสาท และความเจริญบางส่วนของร่างกาย เดี๋ยวเย็นนี้แม่จะกลับไปถามเขาดู”

       ข้าพเจ้านําเด็กไปมอบให้คนรู้จักที่พูดกันทางโทรศัพท์ไว้แล้ว ใกล้ๆ เวลาเลิกงาน ท่านผู้นั้นก็โทรศัพท์แจ้งข่าวให้ข้าพเจ้าทราบ

       “อาจารย์คะ เพื่อนของดิชั้นมารับเด็กไปแล้วเมื่อสักพักนี่เอง เค้าเห็นเด็กผอมมาก เลยพาไปหาหมอที่คลินิกเด็กเลยคะ”

    แม้จะทราบว่าคนรับเลี้ยงเอาใจใส่เด็กมากขนาดเพิ่งเห็นก็รีบพาไปให้แพทย์ดูแลก็ยังไม่วายเป็นห่วง ข้าพเจ้าจึงสอบถามถึงบ้านช่องของผู้รับเลี้ยงดู เย็นวันนั้นข้าพเจ้าได้ขับรถไปที่บ้านของเขาด้วยตนเอง ทางย่านพระโขนง บ้านอยู่ในซอยลึกประมาณ ๒-๓ กิโลเมตร เจ้าของบ้านยังไม่กลับมา ข้าพเจ้ายืนคุยกับเด็กลูกจ้างอยู่นอกประตูรั้ว ซักถามความเป็นอยู่ อุปนิสัยใจคอของผู้รับเลี้ยงเด็ก ได้รับคําตอบและชี้แจงเป็นที่พอใจทุกอย่าง ฐานะดี ใจดีมีเมตตา และต้องการมีลูกมาก จึงคลายความเป็นห่วงลง

          ตอนเย็นโพล้เพล้กลับมาถึงบ้าน แม่ของทารกมานั่งรอข้าพเจ้ายู่แล้ว อาการของเด็กสาว ไม่ขายลูกก็เหมือนขาย เพราะเธอมาขอเงินข้าพเจ้าซื้อเครื่องแต่งกายไปทํางาน

         “นี่ป้าเอาเงินส่วนตัวของป้าให้หนูนะคะ ที่เกินอยู่ก็ให้หนูไปเป็นค่ารถค่ากิน จนกว่าจะได้รับเงินเดือน ป้าเอาลูกของหนูไปให้คนใจบุญเลี้ยง ป้าไม่ได้ขอค่าอะไรเค้าเลยค่ะ เค้ารับเลี้ยงเป็นลูกก็เป็นบุญของเด็กแล้ว เพราะมีฐานะดี อยู่กับเรา เราเลี้ยงเหมือนเค้าไม่ได้ นี่พอได้ตัวเค้าก็รีบพาไปให้แพทย์ดูแลรักษาทันที ป้าว่าลูกของหนูผิดปกติ ไม่ยอมร้องไห้ ไม่มีเสียงอะไรๆ เลย เป็นใบ้รึเปล่าก็ไม่รู้ ตอนตั้งท้องหนูกินยาขับให้ลูกแท้งรึเปล่า ป้าถามจริงๆ”

          เธอหน้าซีดนิ่งเงียบไปครูใหญ่ แล้วจึงสารภาพเสียงเบาๆ ก้มหน้าพูดว่า 

       “ค่ะป้า หนูกินยาให้แท้งก็ไม่แท้ง จะไปจ้างหมอเอาออกก็ไม่มีเงิน หนูแกล้งหกล้มก้นกระแทกหลายครั้งก็ไม่แท้ง มันเป็นอันตรายถึงเด็กในท้องหรือคะ ถามอย่างไม่รู้เรื่องจริงๆ

       “เป็นซิคะ ยาพวกนั้นทําอันตรายได้มาก ก็เด็กอยู่ในท้องเราน่ะ ตัวของแกเล็กนิดเดียว เป็นตัวอ่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นพิษยา หรือการหกล้มแรงๆ กระทบกระเทือนเด็กโดยตรงทั้งสิ้น”

         แม่เด็กจากข้าพเจ้าไปนานแล้ว ข้าพเจ้านั่งนิ่งคิดอะไรต่ออะไร ไปเงียบๆ อยู่ตรงที่เดิม

         เฮ้อ สมัยนี้การได้เกิดเป็นคนนี่ ไม่ใช่เกิดได้ง่ายๆ วิทยาการสมัยใหม่มีวิธีคุมกําเนิดมากมาย มียากิน ยาคุม ยาเหน็บ ยาฉีด ใส่ถุงยางอนามัย ฯลฯ รอดจากการคุมกําเนิดมาได้ ถ้าเป็นที่ต้องการของผู้ให้กําเนิด ก็แล้วไป พอรอดตัว ถ้าไม่เป็นที่ต้องการ จะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่พร้อม เช่น ยังไม่ได้แต่งงาน ชิงสุกก่อนห่าม ถูกข่มขืน พลั้งเผลอ ฐานะเศรษฐกิจไม่ดี มีปัญหาแตกแยกอย่างรายที่เล่านี้ เด็กในครรภ์จะถูกทําลายด้วยวิธีการต่างๆ ขนาดสามีภรรยาคู่หนึ่งบ้านอยู่ไม่ห่างจากบ้านข้าพเจ้านัก มีความพร้อมทุกประการ ตัวสามีเองก็ปรารถนามีลูก แต่ภรรยากลับเกรงเรื่องมีลูกแล้วร่างกายตนเองจะไม่สวยงามอย่างเดิม พอตั้งครรภ์ทีไร ก็ให้หมอตําแยเถื่อนมาทําแท้งทุกครั้ง ดูเหมือนจะถึง ๔ ท้อง ท้ายที่สุดสามีทนไม่ไหว จึงแอบไปมีภรรยาใหม่เป็นแม่ม่ายมีลูกติด ๔ คน เท่ากับลูกที่ทําแท้งไปพอดี จึงได้เลิกร้างกับภรรยาที่รักความสวย มากกว่าลูกผู้นี้ไป

          ผู้ขอเด็กไปเลี้ยงมาขอพบข้าพเจ้าอีก ๒-๓ วันต่อมา เพื่อขอคํามั่นสัญญา

       “สามีของดิชั้น ให้มาขอคํายืนยันจากอาจารย์ว่า อาจารย์จะไม่บอกพ่อแม่ที่แท้จริงของเด็กว่าลูกของเค้าอยู่ที่ไหน เราสองคนจะเอาเด็กเข้าในทะเบียนบ้านว่าเป็นลูกของเราเลยค่ะ แต่กลัวพ่อแม่ของเด็กจะ แสดงตัวให้เด็กรู้ตอนเด็กโตแล้ว ทําให้เกิดปัญหาภายหลังวุ่นวาย”

       “ดิชั้นเข้าใจค่ะ คิดห่วงเรื่องนี้อยู่แล้ว ถ้าไม่ป้องกันแต่ต้นคงมีปัญหาแน่ พอเด็กโตน่ารักน่าเอ็นดูเค้าอาจไปขอเงินคุณใช้ คุณก็ต้องเสียรำคาญไม่ได้ พูดไปแล้วอาจเข้าทํานองขู่ก็ได้ว่าถ้าไม่ให้เงิน ก็จะบอก ความจริงให้เด็กรู้ข้าพเจ้าพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจและสบายใจกลับไป

      ตอนต้นข้าพเจ้าได้ทราบข่าวว่าสตรีผู้รับเลี้ยงเด็ก เลี้ยงด้วยตนเอง มีลูกจ้างเป็นผู้ช่วย ต่อมาอีกประมาณ ๑ เดือน เธอโทรศัพท์บอกข้าพเจ้าว่า

     “อาจารย์คะ ดิชั้นพาเด็กไปให้แพทย์ตรวจ แพทย์บอกว่าเป็นเด็กปัญญาอ่อน ตอนนี้สุขภาพของเด็กอ่อนแอมาก ดิชั้นจึงจ้างเลี้ยงที่เนิสเซอรี่ค่ะ มีหมอและพยาบาลดูแลพร้อม เดือนละ ๑,๖oo บาท”

      ข้าพเจ้าฟังแล้ว รู้สึกไม่สบายใจ จึงตอบเธอว่า

     “ดิชั้นไม่ทราบจริงๆ เพียงแต่นึกสงสัยว่าทําไมเด็กร้องไห้ไม่เป็น รู้สึกเสียใจมาก คุณจะคืนให้ดิฉันก็ได้นะคะ จะได้ขับรถไปรับตัวแกกลับน่ะค่ะ"

     ตอบไปแล้ว ข้าพเจ้าคิดถึงว่าถ้าเธอตัดสินใจคืนเด็กให้ ข้าพเจ้าเองก็คงไม่มีปัญญาเลี้ยงเหมือนเธอ ในเวลานั้น การรับเลี้ยงเด็กอ่อนตามบ้าน ส่วนใหญ่ค่าจ้างเลี้ยงเดือนละ ๑๕๐ บาทเท่านั้น (ข้าวแกงจานละ ๑ บาท) ฐานะของเธอดีมาก เลี้ยงเด็กด้วยค่าจ้างถึงเดือนละ ๑,๖๐๐ บาท

 ข้าพเจ้าเคยดํารงตําแหน่งหัวหน้าแผนกศึกษาสงเคราะห์มา ในอดีตรู้จักผู้คนในวงการเด็กพิการทุกสาขา ตาบอด หูหนวก ปัญญาอ่อน พิการทางกาย ฯลฯ ก็คิดว่าจะไปฝากที่โรงเรียนปัญญาอ่อน เพราะเวลานั้นมีเพื่อนที่ชอบพอกันมากเป็นอาจารย์ใหญ่ แต่เสียงตอบทางโทรศัพท์ก็ทําให้สบายใจ และรู้สึกชื่นชมในน้ำใจของสตรีผู้นั้นยิ่งนัก เธอและสามี ช่างเป็นผู้มีน้ำใจประเสริฐที่หาได้ยากยิ่งจริงๆ

   “ไม่คืนอาจารย์หรอกค่ะ เพราะจดทะเบียนเป็นลูกแล้ว สามีดิชั้นก็บอกว่าไม่ต้องคืน ถึงพิการก็จะเลี้ยง เพราะคงเคยเกี่ยวข้องกันมาในชาติก่อนๆ ชาตินี้จึงบังเอิญให้ต้องมาพบกัน จะเป็นอย่างไรก็จะพยายาม เลี้ยงอย่างดีที่สุด เราสองคนจะนึกให้เหมือนเค้าเป็นลูกจริงๆ ของเราล่ะ อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง”

   พ่อแม่จริงๆ อีกหลายๆ คนยังไม่คิดเหมือนสามีภรรยาคู่นี้ ลูกเกิดมาปกติแท้ๆ ยังคิดทิ้ง คิดขาย คิดฆ่า นี่ไม่ใช่ลูกสักหน่อยกลับตั้งใจเลี้ยงอย่างดีที่สุด

   “ขอให้คุณทั้งสองคน มีแต่ความสุขความเจริญเถิด ข้าพเจ้านึกอวยพรให้คนทั้งสองอยู่ในใจ

   จากนั้นเราก็จากกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย จนกระทั่งพบกันอีกทีกลางเดือนมิถุนายน ๒๕๓๒ ห่างกันถึง ๑๔ ปี เด็กเป็นเด็กพิการ ร่างกายแคระแกร็นแต่ปัญญาไม่อ่อนมาก ใครพูดจาสิ่งใดรู้เรื่องทุกอย่าง ช่างคิด ช่างต่อว่า แต่พูดได้ไม่ชัด เมื่อเด็กวิ่งเล่นอยู่ห่างๆ ข้าพเจ้าถามแม่ของเด็กว่า

    “คุณอยากคืนเด็กให้ป้ารึเปล่าคะ ถ้าคืนป้าก็จะรับคืนค่ะ ทําให้คุณลําบากมานานถึง ๑๔ ปี คงหมดเงินไปมาก”

     “ไม่คืนอาจารย์หรอกค่ะ เลี้ยงแล้วก็รักแกค่ะ แกพิการก็จริง แต่พูดรู้เรื่องทุกอย่าง ตอนแรกก็ให้เข้าโรงเรียนพร้อมๆ กับเด็กปกติ แกก็เรียนได้ค่ะ ตอนหลังพวกเพื่อนๆ เค้าตัวโตขึ้นๆ แต่ตัวแกไม่โตเสียที จะเขียนจะอ่านก็ลําบากกว่าคนอื่น เป็นภาระกะครูเค้า ดิชั้นก็เลยจ้างครูมาสอนให้ที่บ้านเป็นพิเศษ ก็เรียนได้ดีค่ะ เรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู แม้จะสิ้นเปลืองมากก็จริง แต่ตั้งแต่ได้แกมาเป็นลูกดิชั้นทํามาหากินขึ้นมาก รายได้ดีเป็นอัศจรรย์ พ่อของแกก็ก้าวหน้าในหน้าที่ราชการมาก เราสองคนถือว่า เด็กคนนี้มาให้คุณ ค้ำคูนอุปถัมภ์เรานะคะ เดี๋ยวนี้เราอยู่กันอย่างสบายไม่เดือดร้อน อยู่กัน ๓ คนพ่อแม่ลูกเท่านี้แหละค่ะมีความสุข”

   "แกเป็นเด็กแปลกนะคะอาจารย์ ชอบให้ดิชั้นพาไปทําบุญที่วัด วัดไหนก็ได้ ชอบไปทั้งนั้น โดยเฉพาะที่วัดพระธรรมกายนี่ ชอบมากเป็นพิเศษ พอมาถึงจะวิ่งเล่นไปทั่ว เหมือนเป็นบ้านของแกเอง หลายปีมาแล้ว แกเคยเจ็บหนักจนหยุดหายใจน่ะค่ะ ดิชั้นเสียใจมาก จุดธูปเทียนอธิษฐาน ขอชีวิตแก ขอให้อยู่เป็นเพื่อนเราสองคนสามีภรรยา น่าแปลกนะคะ แกฟื้นขึ้นมาเองได้ แล้วยังไม่เจ็บหนักยังงั้นอีกเลย”

    ฟังคําบอกเล่าก็ให้รู้สึกเสียใจที่ไปถามเรื่องการคืนตัวเด็ก ถามให้เสียความรู้สึกเหมือนประมาทน้ํำใจของเขาไปได้ เขารักของเขาออกอย่างนั้น ขนาดตายแล้วยังไม่ยอม พลังแห่งความเมตตาอันเปี่ยมล้น ยมโลกยังยอมแพ้ ต้องคืนชีวิตเด็กมาให้

    ข้าพเจ้าเล่าเรื่องของเด็กพิการคนนี้ให้ท่านฟังเพื่อให้เห็นว่า การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใดๆ ก็ตาม ความทุกข์ที่มีอยู่ประจําภูมินั้นก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของสัตว์นั้นทันที

     เกิดเป็นสัตว์นรก ก็ต้องพบกับสิ่งทรมานทุกอย่างที่นั่น ไฟนรก น้ํำกรด ศาสตราวุธ สัตว์นรกกัดกิน ฯลฯ

     เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย ก็ต้องพบกับความหิวกระหาย ความทุกข์ยากในภูมินั้นๆ 

    เกิดเป็นเดรัจฉาน ก็ต้องพบกับความทุกข์ด้วยการหาอาหาร และการหนีตายจากภัยต่างๆ ฯลฯ

    เกิดเป็นเทวด พบกับทุกข์ใหญ่คือความพลัดพรากจากสมบัติทิพย์

    เกิดเป็นพรหม มีทุกข์เพราะมานะ ทุกข์เพราะประมาท

  เกิดเป็นมนุษย์ มีทุกข์ประจําคือ ต้องเผชิญต่อความแก่ เจ็บ ตาย ทุกข์เหล่านี้เป็นทุกข์แท้ๆ มีอยู่ประจําร่างกายของคนทุกคน ส่วนทุกข์จรก็มีอีกหลายอย่างมากมาย

    ความเกิดขึ้นที่เรียกว่า ชาติ นั้น เป็นที่ตั้งของทุกข์ทุกชนิด มีความเกิดขึ้นคราวใด ทุกข์ทั้งหลายก็ตามมาเป็นทิวแถวเมื่อนั้น ทุกข์ที่ตามมาได้แก่ ทุกข์ที่เป็นทุกข์แท้ๆ ทุกข์เพราะความแปรปรวนต่างๆ ทุกข์เพราะเกิดขึ้นประจําอยู่ในร่างกาย มีทั้งทุกข์ปกปิด ทุกข์เปิดเผย ทุกข์โดยอ้อม ทุกข์โดยตรง

   ทุกข์แท้ๆ ได้แก่ความรู้สึกเป็นทุกข์ทั้งทางกายและใจ

   ทุกข์จากความแปรปรวน ได้แก่ ความรู้สึกเป็นสุขที่อยู่กับเรา ตลอดไปไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง

   ทุกข์ประจําร่างกาย คือทุกข์จากความเสื่อมของร่างกาย เช่น เจ็บป่วย ปวดเมื่อย ความเร่าร้อนใจที่เกิดจากราคะ เกิดจากโทสะ เป็นต้น 

     ทุกข์ปกปิด เป็นทุกข์ที่คนอื่นมองไม่เห็น ต้องถามถึงจะทราบ เช่น ความเสียใจที่ถูกลงโทษ 

     ทุกข์เปิดเผย เป็นทุกข์ที่ไม่ต้องถามก็มองเห็น ดูจากอาการ ต่างๆ ที่แสดงออก เช่น ปวดฟัน 

      ความทุกข์ทั้งหมดเหล่านี้ ทุกข์ที่เป็นทุกข์แท้ๆ เรียกว่าทุกข์โดยตรง ส่วนทุกข์ชนิดอื่นๆ เรียกว่า ทุกข์โดยอ้อม

     เด็กคนที่ข้าพเจ้าเล่าให้ท่านฟังแล้วนั้น เขาพบทุกข์ในการเกิดเหมือนเราอยู่แล้ว ยังไม่พอ ยังถูกเบียดเบียนด้วยทุกข์จากการพยายามฆ่าของมารดาซ้ำเติมอีกทอดหนึ่ง จึงเป็นทุกข์ซ้ำซ้อนตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ท้องของแม่

    การเกิดขึ้น และจะมีทุกข์อื่นๆ ตามมาเหมือนเงาตามตัวนั้น ยังเป็นทุกข์โดยอ้อม คือ ยังมีเวลาผ่อนผัน ให้ทุกข์อื่นๆ มาถึงตามระยะเวลาที่ควรได้รับ

     สําหรับทุกข์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์นั้น เดิมทีเดียวข้าพเจ้าคิดว่า เด็กในครรภ์คงไม่มีความรู้สึกตัว แม่จะทําอะไรๆ ที่ร่างกายของแม่ ลูกในท้องคงจะไม่รู้เรื่อง ข้าพเจ้ามาเข้าใจว่าเด็กต้องรู้สึกแน่นอนเมื่อข้าพเจ้าตั้งครรภ์เอง ตอนครรภ์ค่อนข้างแก่ เด็กดิ์นได้ ข้าพเจ้าดื่มน้ำร้อนหน่อย เย็นหน่อย เด็กในท้องก็ดิ้นจนท้องโย้ไปเย้มา บางทีข้าพเจ้าแกล้งใช้มือกดบางส่วนที่ท้อง เด็กก็ดิ้นจนท้องข้าพเจ้าแข็ง แสดงว่าแกจะต้องมีความรู้สึกจึงมีปฏิกิริยาต่อต้านสิ่งที่ทําให้แกไม่สบาย

      เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าได้ร่วมอยู่ในคณะผู้ปฏิบัติธรรม ที่สามารถถอดใจเข้าไว้ในกายอื่นได้ จึงได้ทราบอย่างแจ่มแจ้งจากคําบรรยายความรู้สึกของผู้ปฏิบัติหลายคน ที่ระลึกถึงกายของตนเองย้อนหลังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงกายที่อยู่ในครรภ์ หลายคนเล่าความรู้สึกนึกคิดของตนเองในเวลานั้นได้อย่างละเอียดว่ามีความทุกข์สาหัสเพียงใด ทั้งที่ผู้คนเหล่านั้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่เดิมต่างก็พากันคิดอย่างเดียวกับข้าพเจ้า สมัยยังไม่มีลูกว่า เด็กในท้องไม่มีความรู้สึกเป็นทุกข์เป็นสุข

      ความจริงเราทุกคนมีความรู้สึกเจ็บปวด เป็นกันตั้งแต่อยู่ในท้องมารดาแล้ว เพียงแต่เวลานั้นความจําของเรายังทํางานไม่ดีพอ เจ็บปวดแล้วก็ลืม เราจําไม่ได้

   ใครก็ตามที่สามารถถอดความรู้สึกนึกคิดจากกายใน ปัจจุบันของตนเองเข้าไปใช้กายที่ระลึกย้อนหลัง ไปสมัยอยู่ในท้องของแม่ได้จะต้องเห็นพ้อง กับข้อความที่เขียนถึงความรู้สึกของทารก ในครรภ์ที่เล่าไว้ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาว่า

    “สัตว์นี้เมื่อจะเกิดในท้องของมารดา ไม่ใช่เกิดในดอกบัวพิเศษอย่างใด ความจริงแล้วเกิดตรงท้องของแม่ส่วนที่อยู่ระหว่างอาหารเก่า และอาหารใหม่ อาหารใหม่อยู่ข้างบน อาหารเก่าอยู่ข้างล่างข้างหน้าเป็น พื้นท้อง ข้างหลังเป็นกระดูกสันหลังของแม่ เป็นที่คับแคบ มืดทึบเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเป็นที่สุด น่าเกลียดเหลือกําลัง เหมือนหนอนที่อยู่ในปลาเน่า เหมือนขนมบูด เหมือนบ่อน้ำครำ

    พอเกิดอยู่ในครรภ์แล้ว ต้องถูกความร้อนในท้องแม่แผดเผาอยู่ เหมือนก้อนขนมถูกต้มถูกอบ จะยึดตัวหดตัวไม่ได้ทั้งสิ้น ทุกข์ร้อนเหลือประมาณ อยู่ที่นั่นถึง ๑๐ เดือน

   เวลามารดายืน เดิน นั่ง ลุก กลับตัว หรืออื่นๆ ที่เป็นอาการเร็วๆ เด็กในท้องก็จะทุกข์เจ็บปวดกระทบกระเทือนยิ่งนัก ถูกลากไปเหวี่ยงออก แกว่งไปมาต่างๆ เหมือนลูกแพะอยู่ในเงื้อมมือนักเลงสุรา (กําลังจะ ถูกฆ่าแกล้มเหล้า) เหมือนลูกงูอยู่ในมือหมองู เวลาแม่กินน้ำเย็น ทารกก็เหมือนอยู่ในนรกที่หนาวเย็นเวลาแม่กินน้ํำร้อนก็เหมือนทารกนั้นต้องนอนอยู่ท่ามกลางฝนถ่านเพลิง เวลามารดากินของร้อนของเผ็ด ของมีรสจัดต่างๆ ทารกก็เหมือนถูกลงโทษด้วยศาสตราอาวุธ

  ยิ่งถ้ามารดาคลอดเองไม่ได้ ต้องมีการผ่าการตัด ก็ยิ่งทุกข์หนักกันทั้งมารดาและทารก ถ้าเป็นการคลอดปกติ ลมกัมมัชวาตก็จะพัดตัวเด็กหมุนเอาศีรษะลงไปทางปากมดลูก ลมนั้นพัดรุนแรงเจ็บปวดกันทั้งสองฝ่าย ขณะคลอดออกมาก็เหมือนดันตัวช้างให้ลอดออกทางรูกุญแจ เจ็บปวดเนื้อตัวเหมือนภูเขาในนรกกระทบกันบดทับแหลกไปทั้งตัว

     พ้นท้องแม่ออกมาแล้ว ยังมาถูกแทงด้วยเข็ม ถูกผ่าตัดด้วยมีดโกน (ตัดสายสะดือ) มือคนที่มาจับตัว ผืนผ้าที่เอามารองตัว ทําให้ทั้งร่างกายเจ็บปวดทรมานเหมือนเป็นแผลเนื้ออ่อนทุกแห่ง”

     นี่ข้าพเจ้าเขียนชนิดเอาเนื้อความ นํามายืนยันไว้ว่า เป็นเรื่องตรงกันกับความเป็นจริง ทุกข์กันตั้งแต่อยู่กันในท้องแม่ น่าเสียดายที่พวกเราพากันลืมไปหมด จําความทุกข์ครั้งนั้นไม่ได้ จึงทําให้ประมาทมองไม่เห็นโทษของการเกิด

   นอกจากมองไม่เห็นทุกข์ตั้งแต่เกิดนั้นแล้ว ยังมองไม่เห็นอีกว่า การเกิดนำทุกข์อื่นๆ ตามมาอีกมากมายแค่ไหน ดูตัวอย่างเด็กที่ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังคนนั้น ตอนอยู่ในท้องแม่ถูกสารอันตรายจากยาพิษที่แม่ของแกกินเพื่อให้แท้ง ทําทุกข์เพิ่มให้อีกแค่ไหน คลอดออกมายังต้องถูกทิ้ง แม้จะมีอํานาจบุญจากการเคยทําทานติดตัวมาในอดีตชาติคุ้มครองรักษาให้ได้พบคนใจบุญรับไปเลี้ยง แต่ตนเองก็ต้องใช้หนี้กรรมจากเวร ปาณาติบาตบ้าง เวรสุราบ้าง ทําให้มาพิกลพิการต่างๆ ดังที่เล่าไว้

   นี่ยังไม่รู้เลยว่าถ้าพ่อแม่บุญธรรมของแกมีอันต้องตายก่อนไปเสียหมด และแกเองพิการปกครองทรัพย์สมบัติไม่ได้ ใครจะดูแลแก อาจถูกคดโกง หรือใครใจร้ายคิดฆ่าแกงเอาก็ได้ แม้บุญเก่าที่มีติดตัวมามีมาก แต่ใช้ไปทุกวันๆ ก็รู้จักหมด บุญใหม่ก็มีโอกาสทําได้เล็กน้อยเต็มที ทำร่วมกันกับพ่อแม่บุญธรรม รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง บุญก็บังเกิดขึ้นไม่ได้มากมายอะไร ในที่สุดจะอดตายหรือเปล่ายังไม่รู้

       สําหรับพวกเราที่เป็นคนโดยสมบูรณ์ แม้ว่าจะต้องทุกข์เพราะการเกิดมาแล้วและยังมีทุกข์อื่นๆ ตามมาอีกนับไม่ถ้วนอย่างก็จริง แต่เรามีโอกาสดีกว่าเด็กน้อยคนนี้ ตรงที่เรามีสุขภาพสมบูรณ์ มีสติปัญญาปกติ ควรใช้สิ่งที่เหนือกว่าเหล่านี้ สร้างสมอบรมบุญให้กลั่นเป็นบารมีให้ได้มากที่สุดในชีวิต จึงจะนับว่าไม่เสียชาติเกิด

      เด็กพิการมากอย่างนั้น ยังร้องให้พ่อแม่พาไปวัด ถวายอาหารพระ และนั่งพนมมือฟังผู้อื่นสวดมนต์ ถ้าเราไม่ทําให้ได้ยิ่งกว่านั้น ก็น่าอายเด็กพิการคนนี้


 
 
 
 
 
 
ชื่อเรื่องเดิม เด็กพิการ
Cr. อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม4
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0043457825978597 Mins