ธรรมะวันนี้ สัจกิริยา ตอนที่ ๑๐ สัมพุลาชาดก (ล.๖๑, น.๕๐๖, มมร.)
๗. คนอื่นทําสัจกิริยาเพื่อพิสูจน์ตนเองและช่วยผู้อื่น
๗.๑ สัมพุลาชาดก ว่าด้วยความซื่อสัตย์ของ
พระนางสัมพุลา (ล.๖๑, น.๕๐๖, มมร.) ความตอนหนึ่งว่า พระนางสัมพุลาได้ยินพระดํารัสของพระสวามีจึงทูลว่า “ข้าแต่พระทูลกระหม่อม หม่อมฉันจักเยียวยาทูลกระหม่อม ผู้ไม่ทรงเชื่อ ด้วยกําลังความสัตย์ของหม่อมฉันนั่นเทียว.”แล้วตักน้ํามาเต็มกระออม ทําสัจกิริยารดน้ําลงเหนือพระเศียรพระสวามีแล้วกล่าวคาถา ความว่า
“ขอความสัตย์ที่หม่อมฉันมิได้เคยรักบุรุษอื่นยิ่งกว่าทูลกระหม่อมเป็นความจริง ด้วยอํานาจสัจจวาจานี้ขอพยาธิของทูลกระหม่อมจงระงับดับหาย.”
เมื่อพระนางสัมพุลา กระทําสัจกิริยาอย่างนี้แล้วรดน้ํา ถวายเท่านั้นโรคเรื้อนของโสตถิเสนราชกุมาร ก็ระงับหายทันทีดุจสนิมทองแดงถูกล้างด้วยน้ําส้มฉะนั้น. ทั้งสองพระองค์เสด็จอยู่ในอาศรมนั้น สอง-สามราตรีก็ออกจากป่า ดําเนินไปถึงเมืองพาราณสีเข้าไปยังพระอุทยาน.
พระราชาทรงทราบว่า ‘พระราชโอรสกับพระสุณิสา กลับมาจึงเสด็จไปยังพระอุทยาน’ ตรัสสั่งให้ยกเศวตฉัตรถวายโสตถิเสนราชโอรส และให้อภิเษกพระนางสัมพุลา ไว้ในตําแหน่งอัครมเหสีในพระอุทยานนั่นเอง แล้วเชิญเสด็จสู่พระนคร.
เรื่องย่อ
สัมพุลาชาดก ว่าด้วยความซื่อสัตย์ของพระนางสัมพุลา
สถานที่ตรัส ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพระนางมัลลิการาชเทวี
เรื่องย่อความว่า
ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสีพ ระองค์มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งพระนามว่าโสตถิเสน เมื่อพระราชโอรสเจริญวัยขึ้นได้ทรงแต่งตั้งพระราชโอรสไว้ใน ตําแหน่งอุปราช พระอุปราชมีพระวรชายาทรงพระนามว่าสัมพุลา
ต่อมา พระอุปราชเกิดเป็นโรคเรื้อนตามพระวรกาย พวกแพทย์หลวงไม่สามารถจะถวายการรักษาให้พระองค์ หายจากอาการประชวรได้ เมื่อประชาชนทราบเรื่องได้พากันรังเกียจ จนในที่สุดองค์อุปราชทรงคิดที่จะไปตายในป่า จึงถวายบังคมลาพระชนกชนนีออกไปพํานักอยู่ในป่า
ส่วนพระวรชายาสัมพุลาแม้จะถูกพระสวามีสั่งให้กลับ ก็ยังตามเสด็จออกไปด้วยความเคารพรัก ในพระสวามีทรงเป็นยอดภรรยา ปรนนิบัติพระสวามีตลอดเวลา
วันหนึ่ง พระนางสัมพุลาเสด็จออกไปเก็บผลไม้ในป่า ในขณะที่พระนางลงไปสรงน้ําในลําธารแล้วขึ้นมาแต่งพระองค์ มีอสูรตนหนึ่งเห็นพระนางก็เกิดจิตปฎิพัทธ์รักใคร่ ตรงเข้ามาจับตัวพระนางพร้อมทั้งกล่าวขู่ว่า “ถ้าพระนางไม่ยอมเป็นภรรยาก็จะถูกมันจับกิน”
ในขณะนั้น พระนางรู้สึกเศร้าเสียใจต่อชะตากรรม ทรงรําพึงรําพันตัดพ้อต่อว่าเทพเจ้าทั้งหลายมีท้าวโลกบาลเป็นต้นทําให้อาสนะของท้าวสักกะ ที่เคยอ่อนนุ่มก็กลับแข็งกระด้างปานศิลา ท้าวสักกะจึงถือวชิราวุธเสด็จมา ประทับยืนอยู่บนศีรษะของยักษ์ แล้วตรัสขู่ยักษ์นั้นทันทีทําให้ยักษ์อสูรจําใจ ต้องปล่อยพระนางสัมพุลาแต่ท้าวสักกะไม่ทรงไว้วางใจ ในตัวอสูรจึงจองจําอสูรไว้ด้วยตรวนทิพย์แล้วปล่อยไว้ในภูเขาลูกที่๓ แล้วเสด็จกลับวิมาน
ฝ่ายพระนางสัมพหุลาเมื่อรอดจากอันตราย รีบเสด็จกลับอาศรมทันทีด้วยความเป็นห่วงในพระสวามีในขณะนั้น พระสวามีเกิดความระแวงหึงหวงที่พระนางกลับผิดเวลา จึงได้ไปซ่อนพระองค์เมื่อพระนางไม่เห็นสวามีก็ยิ่งกันแสงหนักขึ้น พระสวามีเกิดความสงสารจึงเสด็จออกมาจากที่ซ่อนพระองค์ พระนางจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระสวามีฟังแต่พระเจ้าโสตถิเสนไม่ทรงเชื่อ พระนางจึงใช้ความซื่อสัตย์ของตนเองรักษาพระสวามี โดยทรงตักน้ำเหนือเศียรพระสวามีแล้วอธิษฐานว่า
“ถ้าหม่อมฉันกล่าวความสัตย์ขอพระองค์จงทรงหายจากอาการโรคเรื้อนด้วยเถิด” พร้อมกับการอธิษฐานนั่นเอง พระอาการประชวรของพระเจ้าโสตถิเสนก็หายทันที
ทั้งสองพระองค์จึงพากันกลับเข้าเมือง พระราชบิดาโสมนัสยิ่งนักจึงยกราชสมบัติให้แก่อุปราช ส่วนตัวพระองค์ได้ออกผนวชเป็นพระดาบส ประทับอยู่ในพระราชอุทยานนั่นเอง
ฝ่ายพระเจ้าโสตถิเสนเมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ได้พระราชทานตําแหน่ง พระอัครมเหสีแก่พระนางสัมพลุลา ไม่ได้พระราชทานราชสักการะอย่างอื่น ทรงมัวเมาอยู่กับพระสนมอื่นๆทําให้พระนางสัมพุลา ต้องตรอมตรมพระหฤทัยจนต้องเสด็จไปเฝ้า พระสัสสุรดาบสทูลเล่าระบายความทุกข์ให้ฟัง
พระดาบสจึงให้คนทูลเสด็จพระราชาผู้เป็นพระราชโอรสมา และได้โอวาทตรัสสอนด้วยคาถานี้ว่า
“หญิงผู้เกื้อกูลต่อสามีเป็นหญิงหาได้แสนยาก สามีผู้เกื้อกูลต่อภรรยาก็หาได้ยากเหมือนกัน ดูก่อนพระราชาผู้เป็นจอมชน มเหสีของพระองค์เป็นผู้เกื้อกูลต่อพระองค์ด้วย มีศีลด้วยเพราะฉะนั้น ขอให้พระองค์ได้โปรดประพฤติธรรมต่อพระนางสัมพุลาด้วยเถิด.”
ฝ่ายพระราชาได้สดับพระราโชวาท ทรงได้พระสติสํานึกถึงพระคุณ ของพระมเหสีคู่ทุกข์ยากจึงทรงขอขมาโทษให้พระนางได้ยกโทษที่พระองค์ ได้กระทําผิดพลาดที่ไม่ทรงถนอมน้ำพระทัยพระมเหสีคู่ทุกข์ยาก
นับจากนั้นมา พระราชาและพระราชินีได้ทรงอยู่กันอย่างสมัครสมานสามัคคี ทรงบําเพ็ญกุศลธรรมมีการให้ทาน เป็นต้นเมื่อสวรรคตได้เสด็จไปตามกรรม ส่วนพระราชาดาบสทําฌานและอภิญญาให้บังเกิดแล้ว เมื่อมรณภาพได้ไปบังเกิดในพรหมโลกแล้ว
พระศาสดาทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้วตรัสว่า“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้แม้ในชาติก่อน พระนางมัลลิกาก็เคารพต่อสามีดุจเทพยดาเหมือนกัน”
ประชุมชาดกว่า
พระนางสัมพุลาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระนางมัลลิกา
พระเจ้าโสตถิเสน ได้มาเป็น พระเจ้ากรุงโกศล
พระดาบสผู้ราชบิดา ได้มาเป็น พระตถาคตเจ้า