เรื่องที่ ๔ความรักในวันวาเลนไทน์ (ช่วงที่ ๓ เรื่องต้องคิด...ชีวิตมหาวิทยาลัย)
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีมาถึง เทศกาลหนึ่ง
ที่หนุ่มสาวไทยรับเอามาจากวัฒนธรรมตะวันตก
อย่างเต็มๆ ก็คือ เทศกาลวาเลนไทน์ และทุกๆ
ปีของเทศกาลนี้ มักทำให้ผมได้ข้อดีๆ กลับมาเสมอ
ผมเองเมื่อสมัยยังเรียนอยู่ใน ๑-๔ ก็เคยร่วมกับเพื่อนๆ ในภาควิชา ช่วยกันหาเงินรับน้องจากช่วงเทศกาลวาเลนไทน์นี้ ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ เป็นการฝึกทำงานเป็นทีมแบบร้อยกว่าคนอย่างเป็นระบบพร้อมกันซึ่งสนุกสนานมากครับ
วิธีการก็คือ พวกเราจะแยกย้ายกันเดินไปทุกคณะ เพื่อรับจัดส่งดอกไม้ทั่วมหาวิทยาลัยพอได้ยอดสั่งของ และทำทะเบียนจัดส่งได้ชัดเจนดีแล้ว เย็นวันที่ ๑๓ กุมกาฯ ก็มีตัวแทนรุ่นขับรถไปปากคลองตลาดเพื่อชื้อดอกไม้นานาชนิดมาจัดเป็นช่อ เป็นกระเช้า เป็นดอกเดี่ยวดอกคู่ตามที่มีผู้สั่งจองมา
ในคํ่าวันนั้น เพื่อนๆ ทั้งร่นจะมารุมช่วยกันจัดดอกไม้ตามยอดที่สั่งจนกระทั่งถึงเช้าตรู่วันที่๑๔ กุมกาพันธ์ ทันเวลาพอดี
วันนี้พวกเราก็ขออนุญาตอาจารย์ทุกวิชาว่า ขอหยุดเรียนหนึ่งวันเพื่อทำกิจกรรมหาเงินรับน้องแบบพร้อมเพรียงกันทั้งรุ่น คณาจารย์ท่านก็กรุณาอนุญาตให้หนึ่งวัน
พอแปดโมงเช้า นิสิตหญิงชายเริ่มทยอยมาถึงมหาวิทยาลัย ฝ่ายส่งดอกไม้ก็ออกทำงานเดินดินส่งดอกไม้ไปทั่วมหาวิทยาลัย ใครแอบหมายปองใคร เขียนคำอวยพรแบบเกํไกํขนาดไหน วันนั้นคนรับก็ยิ้มกันแก้มปริล่ะครับ
พวกเราสนุกมากครับ เพราะนั่นเป็นการทำงานเป็นทีมครั้งแรกของเด็กป็หนึ่ง ที่มีพื้นฐานทางบ้านแตกด่างกันอย่างสินเชิง บางคนรวยล้นฟ้า แด่บางคนแสนลำบาก ยากจน แต่งานนั้นก็ทำให้พวกเรารู้จักกันและรักกันมากขึ้น
หลังจากส่งดอกไม้หมดแล้ว คิดบัญชีทักด้นทุนเบ็ดเสร็จ ปรากฏว่าได้กำไรมาตั้งแสนกว่าบาท ลองคิดดูสิครับว่า เด็กปี ๑ อายุเฉลี่ย ๑๘ปีทั้งนั้น สามารถช่วยกันทำงานวันเดียว ได้เงินตั้งแสนกว่าบาท มันน่าภูมิใจขนาดไหน
แต่ในเบื้องหลังความสำเร็จที่ผมและเพื่อนๆ ประทับใจมากกว่าเงินก็คือ การได้เห็นทุกคนมีความสุขจากการทำงานเป็นทีม รอยยิ้มเหล่านี้แหละ ที่ไม่มีใครสามารถใช้เงินสร้างขึ้นมาได้ เพราะทุกอย่างเกิดมาจากความร่วมแรงร่วมใจของทุกคน และนั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้เรียนรู้การบริหารงานแบบนอกตำราเรียนร่วมกัน
ความรู้พวกนี้ ต้องได้มาจากการทำงานล้วนๆ ไม่มีใครเขียนไว้ในตำราหรอกครับ และนี่ก็เป็นก็เป็นประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้รับจากวาเลนไทน์ปี พ.ศ. ๒๕๓๖
มาถึงวาเลนไทน์ปีนี้ คือ พ.ศ.๒๕๔๖ ผมและเพื่อนก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากแล้ว มุมมองเรื่องเทศเรื่องเทศกาลวาเลนไทน์ ก็ย่อมเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา แล้วก็ค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องความรักที่มักมักจะปราศจากการยับยั้งชั่งใจของหนุ่มสาวสมัยนี้อีกด้วย เพราะกำลังนิยมใช้อบายมุขตำงๆเป็นเป็นตัวกระตุ้นจิตใจให้กล้าบ้าบิ่นในเรื่องความรัก ผลสุดท้ายเลยกลายเป็นรักที่เลยเถิด เสียหายกันทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย เห็นแล้วก็อดเป็นห่วงแทนเจ้าตัวไม่ได้
นอกจากนี้ ผมยังกลัวว่า รักที่เลยเถิดของค่ำคืนวันวาเลนไทน์จะกลายเป็นสิงที่สรัางปัญหาสังคมปัญหาสังคมตามมาอีกนับไม่ถ้วน
เพราะฉะนั้น ฉบับนี้ก็เลยมีข้อคิดธรรมะมาฝากกันคร้บ อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ใช้เตือนจิตใจไม่ให้มองความรักเพียงด้านเดียว แต่ต้องมองให้เห็นด้านที่เป็นโทษของมันด้วย เวลาจะรักใครจะได้คิดใคร่ครวญให้ดีมิใช่เอาอารมณ์รักเป็นใหญ่กว่าเหตุผล ต้องมองถึงความรับผิดชอบในสิ่งตำงๆ ที่จะตามมาด้วย
พระอาจารย์ท่านบอกว่า
"ก่อนจะไปรักใคร เราควรรู้ก่อนว่า ความรักที่แท้จริงโดยปราศจากราคะเจือปน ก็คือความรักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อชาวโลก ซึ่งเป็นความรักที่อยากจะให้ปุธุชนคนธรรมดาหมดกิเลส และแตกต่างจากความรักของหญิงชายที่แอบแฝง ไว้ด้วยวัตถุประสงค์ในเรื่องกาม
ความรักระหว่างหญิงชายคือด้นเหตุแห่งความทุกข์ที่แฝงมาในรูปของความสุขเหมือนยาพิษที่ถูกเคลือบไว้ด้วยนํ้าตาล เพราะเมื่อความรักเกิดเนในบุคคลใดแล้ว ก็ทำ ให้เกิดความกังวล ห่วงใย เกิดความหวงแหนในคนรัก กล้วไปว่าเขาจะเป็นอื่น คือยิ่งรักก็ยิ่งห่วง ยิ่งห่วงก็ยิ่งหวง ยิ่งหวงก็ยิ่งหึง เมื่อยิ่งหึงก็ยิ่งเป็นทุกข์ ใครมีรักหนึ่ง อย่างน้อยก็ทุกข์หนึ่ง มีรักเป็นร้อยก็ทุกข์เป็นร้อย พุดง่ายๆ มากรัก ก็มากนํ้าตา
เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่มีรักก็ไม่ต้องเสียนํ้าตาและจะเป็นคนมีความสุขที่สุด อย่าว่าแต่ความรักระหว่างหญิงกับชายเลย แม้แต่ความรักระหว่างสายเลือดระหว่างพ่อ-แม่-ลูก ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ได้คือเมื่อถึงคราวต้องล้มหายตายจากกันไป ก็ทำ ให้เป็นทุกข์อยู่ดี"
แล้วพระอาจารย์ท่านก็ให้ "ข้อคิดสำหรับคุณลูก" เนึ่องในวันวาเลนไทน์แก่ผมอีกว่า
"ในวันนี้ขอให้กลับไปรักคุณพ่อคุณแมให้มากเป็นพิเศษ กว่าวันอื่นๆเพราะกว่าท่านจะเลี้ยงเรามาได้ขนาดนี้ ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันหลายรอบเพี่อปกป้องชีวิตเรา
เมื่อกล้บไปหาท่านแล้วก็ขอความกรุณาให้ท่านช่วย ชี้แนะด้วยว่าเรามีข้อบกพร่องอะไรบ้างและโปรดอธิบายวิธีแก้ไขให้เราเข้าใจด้วย เพราะที่ผ่านมาเราอาจจะเคยดื้อ อาจจะเคยทำให้คุณพ่อกับคุณ ลำบากใจอยู่บ้าง แต่วันนี้พร้อมแล้วที่จะรับฟังคำสอนจากท่าน"
แล้วพระอาจารย์ท่านก็ให้ข้อคิดสำหรับ"คุณพ่อคุณแม่" ไว้อีกด้วยซึ่งผมขออนุญาตเล่าแถมให้น้องๆ ฟังด้วยก็แล้วกัน เพื่อจะได้รู้ว่า ในมุมมองของพ่อแม่นั้นท่านรู้สึกต่อเราอย่างไรในเรื่องนี้
พระอาจารย์ท่านบอกว่า
"ประการที่ ๑ ในกรณีที่ลูกของเรายังเป็นวัยรุ่น และกำลังคิดจะมีแฟน ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่คนในวัยนี้ จะต้องมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ตามประสาโลก จะห้ามไม่ให้เขามีคนรัก แล้วมาบวชเป็นพระทุกคนคงจะไม่ได้ แต่ว่าจะปล่อยไปเลย โดยไม่ให้ข้อคิดประจำใจแก่ลูกเลยก็ใช่ที่
ในกรณีอย่างนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักมองโลกให้ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริงว่า
หากลูกจะรักจะใคร่กับใครอย่างไรก็ตามที ในความรักความใคร่ของตัวเองนั้น จะต้องอยู่ในกรอบของศีลธรรม ของขนบธรรมเนียมประเพณีอันตีงาม อย่าไปทำอะไรผิดศีลผิคธรรมเข้า เพราะมันจะเป็นแผลตัว แผลใจ ทั้งซาดินั้และชาติหน้าต่อไปอีก
ส่วนคนที่ชอบพอรักใคร่กันอยู่แล้ว ก็ควรจะใข้วันนั้ เป็นรันเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยกันทั้งคู่ เพื่อว่าต่อไปเมื่อร่วมหอ ลงโรงกันในรันข้างหน้า จะไตัรัอักใข้หล้กธรรมถนอมน้ำใจกัน
ประการที่ ๒ ในวันวาเลนไทน์นี้ คุณพ่อคุณแม่ควรแนะนำ หรือสนับสนุนให้ลูกที่เป็นหนุ่มเป็นสาวพาคู่รักคู่หมายไปตักบาตรทำบุญที่วัดไปฟังเทศน์ ไปนั่งสมาธิร่วมกัน เพื่อเป็นการเช็คความรู้ในเรื่องศีลธรรมก่อนจะมีครอบครัวด้วยว่า แต่ละคนมีมากน้อยเพียงไร พร้อมกับต้องอธิบายให้เขาฟังว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ว่าคนเราที่จะอยู่ด้วยกันได้จะแต่งงานเป็นคู่ครองกันได้โดยเหตุ ๒ ประการ คือ
๑) ในอดีตชาติเคยทำบุญร่วมกันมา พอชาตินี้มาพบหน้ากัน ก็รักก็ชอบกันทันที สักษณะนี้เรียกว่า ผูกกันด้วยบุญ
๒) ชาติที่แล้วไม่เคยพบกัน แต่ว่าชาตินี้มาสนิทสนมคุ้นเคยกัน ก็เข้าลักษณะมาสร้างบุญใหม่ร่วมกันในชาตินี้ ก็เลยทำให้อยู่ร่วมกันครองคู่กันได้ เป็นลักษณะเอาบุญผูกใจซึ่งกันและกันไว้
คนโดยทั่วไปไม่มีใครรู้หรอกว่า ชาติที่แล้วเป็นอะไรกัน ชาติที่แล้วไม่ไม่เป็นไรชาตินี้ รักใครชอบพอใครก็ทำบุญร่วมกับเขาไว้ อย่างน้อยบุญใหม่นี แม่ไม่ได้เป็นคู่ครองกันก็ได้เป็นเพื่อนคู่หูกัน เป็นกลุ่มเป็นพวกเดียวกันไปอีกจนตลอดชาติ
เพราะฉะนั้น ต่อไปหากวันวาเลนไทน์มาถึง เราก็ใช้วันนี้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเราให้ได้ เพราะวันนี้ ทั้งคนแก่และคนหนุ่มคนสาว จะได้มาเข้าวัดพร้อมกัน แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็จะไม่ต้องผิดหวังกับลูกๆวัยรุ่นอีกต่อไป ถ้ารีบปลูกผิงความคิดมุมมองที่ถูกต้องอย่างที่แนะนำมาเสียตั้งแต่วันนี้"
"นี่ก็เป็นข้อคิดที่พระอาจารย์ท่านเอามาเตือนสติในวันวาเลนไทน์"