เรื่องที่ ๒นักวิทยาศาสตร์กับศาสนาพุทธ(ช่วงที่ ๕ ฝึกตนให้เป็นบัณฑิต)
ฉบับนี้ผมขอนุญาตพาน้องๆ เข้าวัด มาฟัง
หลวงพ่อตอบปัญหากันบ้างครับ เพราะว่าหัวข้อ
วันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อน้องๆ โดยตรง
คือมีนักศึกษาคนหนึ่ง ถามหลวงพ่อท่านว่า นักวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นบุคคลผู้มีปัญญาใช่ไหมครับ แต่
ทำไมพวกนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก จึงล้วนแต่นับถือศาสนาอื่น ไม่ไดันับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นบ่อเกิดของปัญญา แล้วทำไมคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธจึงไม่มีปัญญา ถึงขนาดเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกกับเขาบ้างล่ะครับ ?
หลวงพ่อท่านก็กรุณาชี้ทางสว่างว่า
"เขาจะนับถือศาสนาอะไรหรือไม่นั้นไม่สำคัญ พระสัมมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า คนเราจะทำอะไรสำเร็จได้ ด้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๑. ฉันทะ
๒. วิริยะ
๓. จิตตะ
๔. วิมังสา
ใครทำอย่างนี้ก็จะได้รับความสำเร็จในสิงที่ตนต้องการ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม ถามว่าคุณสมบัติ ๔ ประการนี้ ในคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธมีกันมากน้อยแค่ไหน เป็นต้นว่า
๑. ฉันทะ คือ ความรักในงาน
คนไทยจำนวนไม่น้อยเป็นประเภทเช้าชามเย็นชามหรือเช้าช้อนเย็นช้อน ทำตามหน้าที่พอให้เวลาผ่านไปว้นๆ เพราะฉะนั้นพอให้ไปทำงานยากๆจึงยากที่จะทำสำเร็จได้
๒. วิริยะ คือ ความขยัน
ความขยันของเรายังไม่ถึงขั้นมุมานะคนไทยไม่ใช่ประเภทคนขยันนี่กล้าพูดได้เต็มปาก เพราะว่าสิ่งแวดล้อมของฟรีตามธรรมชาติมีมากทำให้เราสบายกันมาจนเคย
๓. จิตตะ คือ ควาบเอาใจจดจ่อ
คนไทยไมใช่คนทำงานแบบจดจ่อหรอก หลวงพ่อก่อนบวชเคยไปนั่งทำงานอยู่กับชาวประเทศ ซึ่งเป็นพวกทำงานวิจัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ไปทำอยู่กับเขา ๒ ปี พบว่ามีอยู่คนหนึ่ง อยู่กันมาเป็นปีๆแต่เราแทบจะไม่ได้พูดกันเลย เขาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องแบคทีเรีย บางทีเดือนทั้งเดือนหมอนีไม่กลับบ้าน เช้าขึ้นมาก็นั่งอยู่กับหลอดแก้วทดลองเดี๋ยวก็เขี่ยเชื้อเอาจากหลอดโน้นมาใส่หลอดนี้ เอาเชื้อจากหลอดนี้ไปใส่หลอดนั้น เดี๋ยวก็ไปนั่งส่องกล้อง พอนึกอะไรได้ก็รีบจดๆพอติดอะไรคิดไม่ออกเช้า ก็ยืนเอามีอไพล่หลัง ลอยหน้าลอยตาคิด บางทีตั้ง ๒-๓ชั่วโมง พอคิดได้ก็จดๆกับใครแกก็ไม่อยากพูดด้วย นักวิจัยคนนีแต่ละปีๆ มีงานค้นคว้าทดลองออกมาเป็นสิบๆ ชิ้น
คนไทยมีไหมที่จดจ่อจ้องทำงานแบบนี้ ที่จ้องมีเหมีอนกันคือจ้องจอ จ้องอยู่แต่ที่หน้าจอทีวี ส่องกล้องเหมีอนกัน แต่ส่องกล้องเล่นม้า กล้องดูแบคทีเรีย กล้องดูดาวไม่ชอบ ไม่เหมือนกันบางคนที่ตั้งใจทำงาน แต่ก็มักจะทำหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน เลยเอาดีไม่ได้สักอย่าง
เรามักเป็นกันอย่างนี้ แล้วจะเอานักวิทยาศาสตร์ที่ดีมาจากไหนนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของโลก เขาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา ไม่ได้อ่านพระไตรปิฎก แต่เขาใช้หลักธรรมในพุทธศาสนาเอาไปปฏิบัติงานโดยไม่รู้ตัว ส่วนของเราแม้จะประกาศตัวว่าเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ก็เป็นพุทธโดยทะเบียนในชีวิตประจำวันเราปฏิบัติตามหลักธรรมน้อยมาก
ก็ไม่เป็นไร วันใดวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราช่วยกันประกาศพระพุทธศาสนาไปได้ทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์สำคัญๆ ที่นับถือศาสนาพุทธก็มีขึ้นมาเอง เพราะพระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์แท้อยู่แล้ว
๔.วิมังสา คือ การปรันปรุงงาน หรือเข้าใจวิธีทำงานประสบผลสำเร็จ
คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบการปร้บปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างใหม่ ดูตามข่าวนังสือพิมพ์ก็แล้วกันจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรที่ไหน พอกระทบความเป็นอยู่เดิมๆ เข้าสักหน่อย ชวนกันเดินขบวนต่อต้านกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต ส่วนใครที่ชอบประดิษฐ์คิดคันอะไรใหม่ๆ ออกมาทั้งๆที่มีประโยชน์มาก แต่ออกข่าวไม่เท่าไรก็เงียบ เพราะขาดการสนับสนุนให้เอาไปทำประโยชนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
"พวกเราคนไทยนับถือพระพุทธศาสนากันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวด สติปัญญาก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่าชนชาติใด ท่านที่ประดิษฐ์คิดค้นสิงใหม่จนได้รับรางวัลระดับโลกก็มีอยู่ แต่ผลงานของท่านไม่แพร่หลาย ไม่มีคนสานต่อ เพราะคนไทยเราตั้งแต่ระดับผู้บริหารประเทศลงมา ปฏิบัติคุณธรรมในพระพุทธศาสนาไม่จริงจัง ปฏิบัติขาดๆเกินๆไม่ครบสูตรไม่เป็นไปตามขั้นตอน งานที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อมนุษยชาติจึงมักไม่สำเร็จ น่าเสียดายจริงๆ"
นี่ก็เป็นธรรมะที่ทำให้ผมได้ข้อคิดว่า ลำพังความรู้ทางโลกเพียงอย่างเดียว ก็คงไม่พอให้เราเอาดีได้ตลอดรอดฝังเป็นแน่ เพราะฉะนั้นเราจะต้องหมั่นศึกษาความรู้ทางธรรมอย่างสมํ่าเสมอควบคู่ไปด้วย หนทางวันข้างหน้าจะได้สะดวก ราบรื่น ปลอดภัย และประสบความสำเร็จโดยง่ายนั่นเอง