เรื่องที่ ๖ รู้จักรักษาอารมณ์(ฝึกตนให้เป็นบัณฑิต)
ช่วงนี้น้องๆหลายคนที่เรียนจบแล้ว ก็เริ่มสมัครงาน บางคนก็ทำงานกันแล้ว งนับวันหลังจากนี้ไปก็จะต้องเจอแต่เริ่องที่ไม่มีในตำราเรียนมากยิ่งขึ้นบางคนยังปรับตัวไม่ไต้ ก็จะรู้สึกหนักหนาสาหัสจนเครียดไปทีเดียว ผมก็อยากจะแนะนำเรื่องการรักษาอารมณ์การทำงานให้ฟังสักเล็กน้อย จะได้มีเทคนิคไว้ใช้ในยามเจอแรงกดดัน
ผมจำได้ว่า ในช่วงที่เริ่มทำงานใหม่ๆ หรือเพิ่งเปลี่ยนแผนกเข้ามารับงานใหม่ภาระหน้าที่การงานที่สุมเข้ามาในแต่ละวัน มักจะมีทั้งปัญหาเล็กปัญหาใหญ่ที่ทำให้ผมได้ปวดหัว ด้องแก้ไขกันไปไม่หยุดหย่อน ใครที่รักษาอารมณได้ ไม่หงุดหงิดไปกับปัญหา ผมก็น้บถือเขาว่าเก่งมากๆผมมักจะได้รับกำลังใจจากท่านเหล่านี้ว่า มีปัญหาก็แก้กันไป วันหนึ่งปัญหาก็คงหมดไป หรือไม่ก็ลดน้อยลงกว่าเก่า
ผมเห็นด้วยกับที่ทุกท่านพูด เพราะถ้าตราบใดยังมีคนคิดแก้ปัญหา ย่อมดีกว่า มีแด่คนหนีปัญหาแน่นอน
มีข้อสังเกตอันหนึ่งก็คือ ปัญหาที่เข้ามาหาเรานั้น โดยมากมาจากคนปัญหาคนจึงหนักกว่าปัญหางาน เพราะว่า คนมักสร้างปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหาเข้ามาใหัแก้ไข ถ้าผู้บริหารหลักไม่แน่น อารมณ์ไม่มั่นคง สติปัญญาไม่เฉียบแหลมพอที่จะแยกแยะได้ว่า อะไรคือปัญหาที่แท้จริง ที่นั่นจะมีปัญหาจุกจิกเต็มไปหมด แล้วก็กลายเป็นคนมีอารมณ์หงุดหงิด โดยไม่รู้ตัว
คนที่ทำงานใหญ่พังมาเยอะต่อเยอะ ก็ตรงที่ความจุกจิกจู้จี้เกินไปนึ่แหละ เพราะจะทำให้แยกเรื่องหลักเรื่องรองไม่ออก เลยไปเอาเรื่องที่ไม่ใช่ปัญหา มาเป็นปัญหา เรื่องเลยบานปลายอย่างหาทางแก้ไม่ได้ เพราะว่ามองปัญหาผิด
ปัญหาคนเกิดจากนิลัยไม่ดีและนิสัยไม่ดีเกิดจากวินิจฉัยไม่ถูกต้อง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า ถ้าอยากเป็นคนมีวินิจฉัยดีก็ต้องเลือกคบคนให้เป็น อย่าคบคนพาล ให้เลือกคบคนดี ดังนั้น ใครที่ได้คนดีมีเมื่อเป็นมิตร คือเป็นคนที่มีทั้งกำลังความคิด กำลังความสามารถ และกำลังความดีแล้วโอกาสที่จะมีวินิจนัยดีๆ ก็มีมากเพราะได้เห็นตัวอย่างของวินิจนัยที่ดีๆ
ผมเอง เมื่อต้องรับมือกับปัญหาหนักๆ รอบด้าน ทั้งเรื่องงานของตัวเองที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกวัน ไหนจะเรื่องคนที่ต้องดูแลรับผิดชอบในฐานะหัวหน้างาน ต้องรับผิดชอบทั้งการทำงาน และความประพฤติของเขาประคับประคองไห้เดินไปเป้าหมายที่ต้องการ ในระยะเวลาที่กำหนดและต้นทุนที่จ่ากัด บางทีก็ชักจะเป๋ๆ ไปเหมือนกัน
ต้นเหตุที่ทำให้วินิจฉัยเป๋ๆ ไป ก็เพราะต้องเอาเวลาตัวเอง ไปอดทนสารพัดอารมณ์ของคนอื่น เพิ่อให้งานมันเดินหน้า ถ้าทนไม่ได้งานก็ไม่เดิน แต่บางครั้งก็ทานไม่ไหว อยากหนีไปเหมือนกัน แต่ว่าถ้าหนีไปแล้ว ปัญหาก็จะมืแต่เพิ่ม แล้วงานที่ทำมาทั้งหมดก็จะพัง เลยต้องกัดฟันล้กันไป เพื่อเห็นแก่อนาคต ยกเว้นว่า ใครที่เขามีความสามารถ
มากกว่า จะเข้ามารันผิดชอบงานนี้ ก็จะรีบยกให้เขาเลย งานจะได้ไปไวกว่าที่เราทำ แต่จนแล้วจนรอด ก็ได้แต่พึ่งตัวเองต่อไปทุกที
ผมเอง ก็ถีอว่าโชคดีที่อยูใกล้ผู้ใหญ่ ท่านคอยเป็นกัลยาณมิตรให้ท่านคอยหากุศโลบายมาเตือนสติให้ผมไต้คิดว่า "แรงกดดันมันจะมากขนาดไหน ดุณต้องรักตัวเองให้มาก อย่าให้อารมณ์เสียเด็ดขาด เดึ๋ยวพลาด แล้วฟังกันหมด"
แล้ววิรีรักษาอารมณ์ที่ท่านเมตตาแนะนำผมก็คือ การฝึกสมาธิ
ท่านบอกว่า “ในภาวะที่ต้องอดทนอะไรหลายๆ อย่าง คุณต้องมีสมาธิให้มากๆ ในศาสนา'พุทธสอนวิธีฝึกสมาธิไว้หลายวิธี แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกฝึกวิธีไหน มีข้อสำคัญอยู่ว่า จิตคุณต้องนิ่งเป็นสมาธิอยู่ในตัว
"ของทุกสิ่งทุกอย่าง จุดที่ทรงพล้งมากที่สุด คือ จุดศูนย์ถ่วงนั่นคือตรงกลางมวลทุกชนิด คนเราก็จัดเป็นมวลวัตถุอย่างหนึ่งเหมือนกัน และจุดที่ใจทรงพล้งมากที่สุดก็คือ จุดที่อยู่กลางตัวของคนเรานึ่งบริเวณนั้น จะอยู่ตรงกลางท้อง เรียกร่า ศูนย์กลางกาย ลองสมมติให้ท้องของคุณว่างเปล่า แล้วเอาใจไปวางที่ตรงนั้น พร้อมกับไม่คิดอะไรเลยทำ ใจเฉยๆที่ตรงนั้น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ชั่วคราว ทำใจเฉยๆ ไว้ที่ตรงกลางตัวนั้น แล้วสมาธิจะรวมตัวเอง แล้วใจของคุณก็จะสงบ นิ่ง และเย็นแล้วความสุขก็จะเกิด พอคุณนั่งสมาธิเสร็จ ใจของคุณจะเกลี้ยง อารมณ์จะดีขึ้น แล้วคุณจะมองว่า ทุกอย่างเป็นปกติ นั่นก็แสดงว่า ทุกอย่างดีขึ้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป
"คุณคิดเสียว่า นี่คือ การพัฒนาจิตใจของตัวเองอีกขั้นหนึ่ง ถ้าคุณผ่านตรงไปได้ คุณจะเห็นหลายๆสิ่งที่กว้างกว่าคนอื่นๆเพราะว่าคุณได้ก้าวข้ามในสิงที่คนอื่นเขาทนไม่ได้มาแล้ว
แล้วว้นนี้ ผมก็ได้ฝึกสมาธิตามที่ผู้ใหญ่ท่านแนะะนำมา ทำให้ผมค้นพบตัวเองอีกหลายๆเรื่อง อย่างไม่น่าเชื่อ และนี่คงจะเป็นก้าวย่างสำคัญอีกก้าวหนี่งในชีวิตของผม ที่จะก้าวไปสู่การพัฒนาศักยภาพควบคู่ก้บการยกระดับความอดทนของตัวเองให้สูงขึ้น ไม่น่าเชื่อเลยว่า สมาธิจะทำให้คนเราพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์ขึ้นมาได้