เรื่องที่ ๒ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสมาธิ (ช่วงที่ ๖ บัณฑิตย่อมฝึกจิตให้ผ่องใส)
ในตอนที่ผ่านมา ผมได้เล่าถึงประโยชน์ของการฝึกสมาธิไปบ้างแล้ว สำหรับในตอนนี้ ผมก็ขอเล่าถึงเนี้อหาในส่วนที่ลึกนี้งฃองสมาธิให้มากยิ่งๆขึ้นไปโดยผมได้ไปค้นคว้าข้อยมูลเบื้องด้นมาจากหลายแหล่งแต่ในที่สุดพบว่า บทความเรื่อง "ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสมาธิ" ให้ข้อมูลได้ซัดเจนที่สุด จึงได้คัดลอกมาจากหนังสือ "คนไทยต้องรู้"ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อ๓๐กว่าปีที่แล้ว โดยหลวงพ่อพระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว) ผมหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกสมาธิเบื้องต้นของบัณฑิตทุกท่านนะครับ
เพียงแต่เห็นผู้อื่นนั่งหลับตาทำสมาธิให้ใจสงบ คนส่วนมากก็มักจะนึกเลยไปถึงสุดยอดแห่งความปรารถนาของพระภิกษุ ผู้กำลังบำเพ็ญเพียรเพื่อละกิเลส คือ นิพพาน แต่หารู้ไม่ว่า วิธีที่จะทำใจให้บรรลุนิพพานนั้นจะต้องทำอย่างไรบ้างจะต้องวางใจไว้ตรงไหนต้องนึกแรงนึกค่อย นึกเร็ว นึกช้าอย่าไร แตกต่างกับการหลับตาธรรมดาหรือไม่ เมื่อนำมาคิดก็เป็นเรื่องของการเดา ถ้าเชื่อผู้อื่นบอกเล่าก็เป็นเรื่องของคนหูเบา ครั้นจับต้นชนปลายไดไม่ถูก ก็ทึกทักเอาว่าพระพุทธศาสนาสอนให้หลงงมงาย จึงสมควรต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำความสงบใจให้ถูกต้องเสียก่อน มิฉะนั้นเราเองนั่นแหละคือคนที่งมง่ายที่สุดในโลก
ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า ขณะที่นักเลงการพนันกำลังจั่วไฟ นักบิลเลียดกำลังแทงลูกบิลเลียด มือปีนกำลังจ้องยิงคู่อาฆาต คนทรงกำลังเชิญผีเข้า พวกเสพติดกำลังสูบกัญชา พวกร้อนวิชากำลังปลุกตัวหรือพวกโจรกำลังมั่วสุมวางแผนก่อโจรกรรม ฯลฯ บุคคลเหล่านี้ต่างมีใจจดจ่ออยู่กับสิงที่เขากำลังกระทำทังสิน ไม่ว่ารอบๆ บริเวณนั้นจะมี เหตุการณ์อย่างไรเกิดขึ้นก็ยากที่จะทำให้เขาเหล่านั้น เบนความในใจไปได้หลายคนจึงพากันเช้าใจผิดคิดว่า บุคคลหลงผิดเหล่านั้น มีสมาธิมันคงดีหาทราบไม่ว่าสมาธิในพระพุทธศาสนา หมายถึง การที่สามารถทำใจให้มั่นคง ไม่วอกแวก และต้องก่อให้เกิดความสงบเย็นกายเย็นใจด้วย ถ้าใจไม่วอกแวก แต่พกเอาความร้อนใจไว้ช้างใน เช่น พกเอาความโลภ อยากของผู้อึ่นจนเต็มอก ดังพวกนักเลงการพนัน พกเอาความพยาบาทไว้จนหน้าเขียว เหมือนพวกมือปีน หรือพกเอาความหึงไว้ตนกระทั่งยอมให้ผีเข้าเหมือน พวกคนทรงอย่างนี้ พระพุทธศาสนาถือว่าไม่ใช่สมาธิ ถ้าจะถือก็เป็นสมาธินอกลู่นอกทาง ที่เรืยกว่ามิจฉาสมาธิ ซึ่งไม่ควรฝึก ไม่ควรสนใจ เพราะมีแต่โทษถ่ายเดียว
สมาธิที่ถูกมีอยู่ ๒ ประเภท ควรสนใจไว้ให้มาก เพราะมีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันเมื่อสนใจฝึกได้ดีแล้วจะมืแต่ความเย็นกายเย็นใจ
ประเภทแรก เป็นการทำสมาธิของนักบวชนอกพระพุทธศาสนาสมาธิประเภทนี้ได้มีอยู่ก่อนพุทธกาลแล้ว พวกฤๅษีชีไพรต่างๆแม้อาฬารดาบสและอุทกดาบส ที่เจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษาอยู่ด้วยในสมัยแรกๆก่อนตรัสรู้ ก็ฝึกฝนสมาธิประเภทนี้
ประเภทที่สอง เป็นการทำสมาธิของนักบวชในพระพุทธศาสนาซึ่งพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้นเอง โดยพระองค์ทรงนำวิธีการฝึกสมาธิของพวกฤๅษีชีไพรในสมัยนั้น มาดัดแปลงแกไขใหม่ให้ถูกต้องรักยิ่งขึ้น แล้วทรงสอนให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติตามแต่ประชาชนส่วนใหญ่ในปัจจุบันต่างยังไม่เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างสมาธิทั้งสองประเภทนี้ ดังนั้นจึงมีบางคนหลงกลับไปฝึกสมาธิตามวิธีเดิมของพวกนอกศาสนาอยู่อีก กลายเป็นถอยหลังเข้าคลองไป
การฝึกสมาธิของพวกนอกศาสนาพุทธ ส่วนมากนิยมฝึกการเอาวัตถุเป็นที่ตั้งจิต หรือที่เรืยกกันทั่วไปว่า ฝึกกสิณภายนอก วิธีง่ายๆ คือสร้างวัตถุขึ้นมาชิ้นหนึ่งเป็นแฝนกลมๆ ที่เรืยกว่า กสิณ เช่น เอาดินปันเป็นแฝนกลมๆ ขนาดเส้นฝาเส้นศูนย์กลางประมาณ ๑ คีบ หนาประมาณ๑ นี้ว วางไว้เบื้องหน้าของผู้ฝึก ครั้นจำลักษณะของกสิณได้แม่นยำแล้วก็หลับตานึกถึงกสิณด้วยการเอาจิตไปตั้งที่กสิณนั้น พร้อมกับภาวนา คือท่องในใจ เป็นการประคองใจไม่ได้คิดเรื่องอื่นด้วยคำว่า ปฐวีๆๆๆ (หรือดินๆๆๆ) เป็นต้น
เบื้องแรก ขณะหลับตานึกถึงกสิณ เนื่องจากใจยังสงบไม่พอกสิณนั้นก็เป็นเพียงมโนภาพมืด ครั้นปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ จนชำนาญจากมโนภาพมืดก็กลายเป็นมโนภาพสว่างเห็นภาพกสิณนั้นชัดเจนเหมือลืมตา(เพราะสิงทั้งหลายย่อมสำเร็จไต้ด้วยใจ) ยิ่งชำนาญมากขึ้นเท่าใด ก็สามารถพลิกแพลงใช้ประโยชน์จากกสิณที่ไต้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น นอกจากใช้ดินเป็นกสิณแล้ว ก็สามารถใช้วัตลุอย่างอื่นทำเป็นกสิณแทนได้ เช่นใช้นํ้าใสๆ ใส่ชัน ใช้วงกลมสีเขียวๆ ลืแดงๆ หรือลูกแก้วใสๆที่เจียระไนเป็นรูปทรงกลม เป็นต้น
การฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา ไต้ตัวอย่างมาจากพวกฤๅษีชีไพรดังกล่าวแล้ว ดังนั้น ทั้งวิธีทำกสิณ ขนาดของกสิณ และคำภาวนาจึงเหมือนก้น แต่เปลี่ยนตำแหน่งฐานที่ตั้งจิตเสียใหม่ แทนที่จะเอาจิตไปตั้งที่กสิณนั้น กลับเอาจิตมาตั้งไว้ตรงดูนย์กลางกายของตนเอง แล้วนึกถึงกสิณนั้นๆ
ความแตกต่างระหว่างสมาธิทั้งสองนี้ คือ สมมติว่า นาย ก. ฝึกสมาธิด้วยการเพ่งกสิณนํ้าตามแบบของฤๅษี ส่วนนาย ข. ฝึก เพ่งกสิณนํ้าตามแบบพระพุทธศาสนา เมื่อเอานํ้าใสๆ ใส่ลงไปในบาตรสำหรับใช้เป็นกสิณแล้ว ทั้งนาย ก. นาย ข. ก็นั่งอยู่เบื้องหน้ากสิณนํ้านั้น ต่างคนต่างนั่งหลับตานึกให้เห็นภาพวงกลมนํ้า พร้อมก้บภาวนาประคองใจ (ในใจ) ว่า "อาโปๆๆๆ" "(ซึ่งแปลว่านํ้าๆๆๆ) ขณะภาวนาว่า "อาโปๆๆๆ" และบริกรรมนิมิต คือ นึกให้เห็นกสิณนํ้าอยู่นั้น นาย ก. ก็นึกเอาจิตไปตั้งที่นํ้าในบาตร ส่วนนาย ข. นึกเอากสิณนำไปตั้งไว้1นกลางกายของคนเมื่อทั้งสองคนนี้ฝึกนึกถึงกสิณจนชำนาญแล้ว มโนภาพมืดๆ ของวงกลมนํ้า ก็กลับเป็มโนภาพสว่าง เห็นวงกลมนํ้านั้นสว่างชัดเจนขึ้นคล้ายๆกับลืมตาดูดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ นาย ก.จะเห็นนิมิตวงกลมนํ้าสว่างสดใสเยือกเย็นลอยอยู่เบื้องหน้าตนเอง ในระยะใกล้บ้างไกลบ้าง ส่วนนายข. จะเห็นนิมิตวงกลมนํ้าลอยนิ่งๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกาย เหล่านี้เป็นความแตกต่างและคล้ายคลืงกันของการฝึกสมาธิทั้งสองประเภท ซึ่งยังไม่มากนักในเบื้องต้น
ครั้นฝึกทำความสงบใจต่อไป ความสงบ ความชัดของกสิณความสุขกายสุขใจที่ไต้ร้บ และที่สำคัญที่สุดคือความเห็นหรือทิฐิจะค่อยๆแตกต่างกันขึ้นเรื่อยๆ นิมิตวงกลมนํ้าของนาย ก. จะไม่อยู่นิ่งเป็นที่ ประเดี๋ยวจะลอยอยู่ใกล้ ประเดี๋ยวจะลอยไปไกล ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ลุ่มๆ ดอนๆ ปรับภาพได้ยาก และในขณะที่ทำการฝึกก็มักจะเกิดนิมิตลวงเสมอ เช่น เห็นภาพเหตุการณ์เก่าๆ ในอดีตที่ลืมไปนานแล้วและ ภาพอื่นๆ อีกจนสับสนๅนวายปะปนกับนิมิตจนแยกกันไม่ค่อยออก(ยกเว้นผู้ที่มีความชำนาญ) ทั้งนี้เพราะการเห็นนิมิตของผู้ฝึกสมาธินอกพระพุทธศาสนานั้น เห็นเหมือนใช้ไฟฉายส่องดูว้ตถุชึ่งอยูในทีไกลๆจึงอาจเกิดความผิดพลาดได้ง่าย (เช่น ถ้าเราดูผลแตงโมผ่าชีกที่ตังไว้ไกลๆโดยมองด้านตรงข้ามที่ไม่ถูกผ่า ก็จะเห็นว่าเป็นแตงโมเต็มผลอยู่)เนื่องจากว่าเอาจิตไปตั้งไว้นอกกายแต่แรกจนเคยชินนั่นเอง แต่มักจะไม่รู้ตัว ในที่สุดก็หลงตัวว่าเป็นผู้วิเศษ ดังเช่นอาฬารดาบส และอุทกดาบสหลงว่าอรูปภพนั้น คือนิพพานเป็นต้น
ถ้านาย ก. ประสงค์จะเจริญวิปัสสนาก็ทำได้ยาก เพราะวิปัสสนาเป็นเรื่องของการพิจารณาภายในตัว ดังนัน การฝึกสมาธิของพวกนอกพระพุทธศาสนาจึงเสียเวลามาก เสี่ยงอันตราย และเกิดปัญญาน้อย ดังมีเรื่องเล่าว่า ฤๅษีตนหนื่งนั่งทำสมาธิอยู่ในป่า ไม่ยอมไหวติงกายเป็นเวลานานปี จนกระทั่งนกกระจาบไปอาศัยทำรังอยู่ที่เครา แต่ฤๅษีตนนั้นก็ยังไม่สำเร็จธรรมอันใด จึงเลิกฝึกสมาธิ กลับไปอยู่บ้านกับลูกเมียตามเดิมอีก
ผู้เขียนเอง สมัยที่ยังฝึกสมาธิด้วยการตั้งจิตไว้นอกกาย ดังเช่นพวกฤๅษีชีไพรนั้น เคยถูกนิมิตลวงรบกวนอยู่เสมอๆ บางครัง รบกวนติดต่อกันตลอดทั้งว้นบ้าง ทั้งคืนบ้าง ทังสัปดาห์บ้าง เช่น นิมิตเห็นเสือตัวใหญ่ขนาดม้าวิ่งผ่านหน้าไปมาเป็นฝูงๆ บ้าง กระโจนเข้าขบกัดบ้างบางครั้งก็พากันมาให้ขี่เชื่องๆ บ้าง ครั้งกำหนดสติวางเฉยเสียได้ นิมิตก็หายไป แต่ถ้าเผลอสติก็กลับมารบกวนใหม่อีก บางทีก็นิมิตเห็นวัวควายและเป็ดไก่ที่เคยฆ่าไว้เข้ามารุมจิก ดี ขวิด เหยียบ ดินบนตัก หรือเห็นสัตว์เหล่านันอยู่ห่างๆ แต่เลือดโทรมกาย บางทีก็มารุมล้อมขอความเมตตาบ้าง ถ้าแผ่เมตตาให้ก็หายไปเป็นพักๆ แล้วก็มารบกวนใหม่อีกพาให้ใจเศร้าหมอง {ขณะอยู่ในสมาธิร้สืกเฉยๆ) บางครั้งนิมิตเป็นตนเองในอดีตชาติว่าเคยเกิดที่ใดบ้าง (มีทั้งถูกต้องตามความเป็นจริงและคลาดเคลื่อน) บางทีก็เห็นว่ากระดูกตนเองที่เกิดในชาติภพต่างๆ เหล่านั้น เข้ามารวมกันเป็นกองสูงท่วมภูเขาบ้าง ซึ่งก็เป็นนิมิตที่ดีสำหรับเตือนใจไม่ให้ประมาท แต่ถ้าคุมสติไม่อยู่ บางคนอาจตกใจกลัวจนเสียสติก็ได้
ครั้งหนึ่ง ขณะที่กำลังนั่งสมาธิและจิตกำลังสว่างไสว ก็นิมิตเห็นเป็นหญิงสาวผู้หนึ่งสวยมาก ยืนอยู่เบื้องหน้าห่างกันแค่เอื้อม ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นใครสวยเท่าผู้หญิงคนนี้เลย แต่เนึ่องจากกำลังอยู่ในสมาธิจึงรู้สีกเพียงแต่ว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งและไม่สนใจเธอ ยิ่งมีจริตมารยามากขึ้น ถึงกับถอดเสื้อผ้าทิ้งหมด ผู้เขียนก็ยังอุเบกขาวางเฉยอยู่นั่นเองครันเฉยหนักเข้าหญิงผู้น้นก็แก่ลงๆอย่างรวดเร็วกลายเป็นหญิงชราที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก ยืนร้องครวญครางดิ้นไปมา แล้วเนื้อหนังฺของเธอก็หลุดล่อนลงไปกองบนพื้น เหลือแต่โครงกระดูกสีมอๆ คล้ายกับเพิ่งเขี่ยออกมาจากเชิงตะกอน ผู้เขียนกำลังจะเปล่งอุทานว่า เราชนะแล้ว เราเห็นแล้วซึ่งความไม่เที่ยงของสัตว์โลกว่า ในที่สุดก็จะเหลือแต่โครงกระดูกสีมอๆไว้ถมดินเท่านั้น ทันใดนั้นนี้วทั้งห้าในมีอขวาของโครงกระดูกก็กลับเกร็งแข็งที่เหมือนกรงเล็บปีศาจแทงเข้ามาเต็มแรงที่ใบหน้าหมายเอานัยน์ตาทั้งสองข้างเป็นเป้า ถึงอย่างนั้นผู้เขียนก็ยังไม่สะดุ้งกลัวร้สีกเฉยๆ แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตา ครั้นออกจากสมาธิ นั่งอยู่ในถํ้ามืดๆตามลำพังแล้วกลับร้สีกหวาดๆ ว่ามีใครคนหนึ่งจ้องจะควักลูกนัยน์ตากว่าจะหายหวาดระแวงได้ก็ประมาณหนึ่งปี (นิมิตต่างๆ ดังกล่าวเป็นเพียงส่วนย่อยที่ผู้ฝึกแบบฤๅษีชีไพรมักจะต้องพบ)
อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าการฝึกสมาธิแบบนอกพระพุทธศาสนาจะไร้ประโยชน์เสิยทีเดียว เพราะสามารถเป็นอุปการะต่อการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนาได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น การที่พระภิกษุปัญจวัคคีย์ สามารถมีดวงตาเห็นธรรมได้ทันทีที่พระพุทธเจ้าเทศน์จบก็เพราะมีพี้นฐานการทำสมาธิแบบนี้มาก่อน ครั้นขณะฟ้งพระธรรมเทศนาก็เปลี่ยนฐานที่ตั้งจิตมาไว้ภายในตัว เกิดสัมมาสมาธิได้ทันที
ส่วนนายข.เนื่องจากตั้งจิตไว้ถูกที่ตั้งแต่เริ่มแรก เมื่อเห็นนิมิตวงกลมนํ้าเกิดขึ้นในตัววงกลมนั้น ก็จะนื่งอยู่ที่กลางกายไม่หายไปไหนยิ่งทำในหยุดนื่งได้ถูกส่วน นิมิตวงกลมนำนันก็จะหายไปเอง แต่จะเกิดวงกลมใหญ่ขึ้นมาแทนที่เรียกว่าปฐมมรรค หรีอดวงธรรม ธรรมทั้งหลายที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก ก็จะปรากฏออกมาให้เห็นตามความเป็นจริงจากกลางดวงธรรมนั้นเอง นาย ข.จะไม่ประสบกับนิมิตลวงด้งเช่นนายก.เพราะการเห็นของนาย ข.นั้นเป็นการเห็นรอบตัว คือเห็นทังด้านซ้ายด้านขวา ด้านหน้า ด้านหสัง ด้านล่าง ด้านบน พร้อมๆ ในเวลาเดียวกัน และการเห็นเช่นนี้เห็นเสมือนเอาตัวเข้าไปอยู่ในนั้นด้วยมิใช่มองจากที่ไกลๆการเห็นชนิดนี้จึงเป็นเรื่องเฉพาะตัว ผู้เห็นเองจึงจะเข้าใจ ดังนั้นการฝึกสมาธิของนายข.จึงมีอุปสรรคน้อย และเกิดปัญญามาก
หากนาย ก. ต้องการปฏิบัติธรรม ทำความสงบใจรุดหน้าอย่างนาย ข.บ้างก็ไม่ยากจนเกินไป เพียงแต่เปลี่ยนฐานที่ตั้ง่จิตมาไว้ที่กลางกายก็ใช้ได้ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่าส่วนมากผู้ที่ฝึกสมาธิแบบฤาษีชีไพร มักจะเกิดทิฐิเหนียวแน่น ไม่ยอมเปลี่ยนฐานที่ตังจิตง่ายๆ หลงยึดการฝึกฝนสมาธิของตนเองว่า วิเศษแล้ว ถูกต้องแล้ว ดังเรื่องราวที่ปรากฏในพระไตรปิฎกว่า แต่ละครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพวกเดียรถีย์ พวกชฏิล พระองค์จะต้องเสียเวลาไมใช่น้อยในการกำจัดทิฐิเดิมของพวกเหล่านั้น
สรุป
สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิในพระพุทธศาสนา เกิดขึ้นจากการน้อมจิตเข้าไปตั้งที่ศูนย์กลางกายของตนเอง ทำให้จิตสะอาด สงบ ว่องไว และมีความเห็นถูก
สมาธิของพวกนอกศาสนา หรือพวกฤๅษีชีไพร เกิดจากการประคองรักษาจิตไว้ที่นิมิตนอกกาย ทำ ให้จิตสะอาด สงบสว่างได้พอควรแต่ยังมีความเห็นผิดอยู่
มิจฉาสมาธิ คือ ครามหมกมุ่นอยู่ในอารมใดอารมณ์หนึ่งที่เป็นอกุศล ห้ามฝึกเด็ดขาด