วัดแดนศักด์สิทธิ์เพื่อการบรรลุธรรม
วัดคือสถานที่ชนิดใด
วัด ไม่ว่าจะตั้งอยู่ ณ สถานที่ใดๆ ย่อมเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธทั้งที่เป็นบรรพชิตและคฤหัสถ์ หากใครเข้าไปสัมผัสถึงความร่มรื่น สะอาด สงบ ความน่าเคารพกราบไหว้ของพระรัตนตรัย ทั่วบริเวณ ย่อมก่อให้เกิดบรรยากาศแห่งการประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมาจับใจ พร้อมที่จะละชั่ว ประพฤติชอบ ประกอบความเพียรอย่างเคร่งครัด เพื่อทำใจให้ผ่องใสทันที
เป้าหมายแท้จริงในการสร้างวัด
วัดทั้งน้อยและใหญ่ ไม่ว่าจะสร้าง ณ แห่งหนตำบลใด โดยเฉพาะวัดในประเทศไทย ต่างมีเป้าหมายหลักๆ ๔ ประการ คือ
๑.เพื่อเป็นสถานที่สร้างพระภิกษุดี มีคุณภาพให้พระพุทธศาสนา รวมทั้งเป็นที่อยู่อาศัย และทำการอบรมสั่งสอนประชาชนไปพร้อมๆกันด้วยโดยย่อ วัดคือสถานที่สร้างพระให้เป็นพระดีตามพุทธประสงค์
๒.เพื่อเป็นสถานที่สร้างประชาชนในชุมชนนั้นๆ ให้เป็นพุทธศาสนิกดีทั้งหญิงและชาย โดยอาลัยพระภิกษุในวัดนั้นๆ ที่ได้ร้ปการอบรมดีแล้ว ช่วยเมตตา สั่งสอน อบรมให้ โดยย่อคือเป็นโรงเรียนสอนศีลธรรมในพระพุทธศาสนาให้แก่มหาชนทุกระดับ รวมทั้งพระภิกษุเองด้วย
๓.เพื่อเป็นสถานที่ประพฤติปฏิบัติธรรมร่วมกันทั้งชุมชน ตั้งแต่ให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ เจริญภาวนา ฯลฯร่วมกัน ตลอดจนร่วมประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนา เช่น มาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชาเข้า-ออกพรรษา เป็นต้น
๔.เพื่อเป็นสถานที่ปลูกฝังวัฒนธรรมการสร้างบารมีร่วมกันอย่างเป็นปึกแผ่นของชาวพุทธอย่างทั่วถึงพร้อมเพรียงทั้งประเทศ โดยยึดหลักการปฏิบัติตนตามหน้าที่ประจำทิศ ๖ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดมิตรแท้ หรือพลเมืองดี พร้อมๆกันทั้งประเทศ โดยไม่ต้องพื่งพารัฐบาล
วัดเป็นรากฐานการศึกษาและสังคมสงเคราะห์ประจำท้องถิ่น
นับตั้งแต่โบราณกาลมา ชาวพุทธต่างตระหนักว่า
๑.คนเราอยู่ลำพังคนเดียวไม่ได้ ต่างต้องพื่งพาอาศัยกันและกัน
๒.ความรู้ที่เกิดขึ้นกับคนพาลนั้น ย่อมมีแต่นำความวิบัติเสิยหายมาสู่บ้านเมือง เพราะต่างใช้ความรู้ไปในทางที่ผิด
๓.บุญเท่านั้น เป็นที่พื่งอันแท้จริงทั้งโลกนี้และโลกหน้า
๔.การสร้างบุญเป็นทีม ย่อมได้บุญมาก ชักนำให้เกิดความสามัคคีของชุมชนได้รวดเร็วมาก
ชาวพุทธจึงนิยมสร้างวัดไว้ประจำเกือบทุกๆ ชุมชน ในชุมชนใหญ่ๆ สร้างไว้ถึง ๓-๔วัดมีทั้งวัดที่สร้างโดยกษัตริย์ประจำแคว้น เศรษฐีประจำเมือง ชาวบ้านประจำถิ่น
เพราะเหตุนี้ การมีวัดเป็นโรงเรียนสอนศีลธรรมประจำท้องถิ่น การมีพระภิกษุเป็นครูสอนศีลธรรมประจำท้องถิ่น การฝึกหัดบุตรหลานให้รู้จักร่วมกันสร้างบุญใหญ่ด้วยการทำทานรักษาศีล เจริญภาวนา การร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ที่วัดตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็น
ศาสนกิจเหล่านี้ ยิ่งมีมากยิ่งทำมากเท่าใด ยิ่งเป็นเหมือนหลักประกันความร่มเย็นเป็นสุขของครอบครัว ชุมชน สังคมในท้องถิ่นนั้นๆ มากเท่านั้น เพราะเมื่อความรู้เกิดขึ้นกับคนดีแล้ว ย่อมแสดงว่า บ้านเมืองย่อมมีแต่ "มิตรแท้" มากกว่า "มิตรเทียม" มีคนใจบุญมากกว่าคนใจบาป
เมื่อท้องถิ่นทุกแห่งมีแต่มิตรแท้อยู่เป็นจำนวนมาก อาสาสมัครที่จะทำงานด้วยความเสียสละเพื่อท้องถิ่น ด้วยหัวใจรักบุญกุศลย่อมมีอยู่จำนวนมาก ความทุ่มเทชีวิตจิตใจด้วยความรักบ้านเกิดเมืองนอน จึงกลายเป็นแรงผลักด้นให้เกิดการพัฒนาบ้านเมีองไปสู่ความเจริญรุ่งเรีอง มีทั้งความเจริญก้าวหน้าในการประกอบสัมมาอาชีพ และความเจริญร่มเย็นเป็นสุขในการอยู่ร่วมกันด้วยศีลธรรมประจำใจ
วัดในท้องถิ่นใดที่มีศักยภาพในการสร้างคนในชุมชนให้เป็น"มิตรแท้" วัดแห่งนั้นย่อมกลายเป็น "ศูนย์กลางการสร้างอาสาสมัครพัฒนาท้องถิ่น" ไปโดยอัตโนมัติ
วัดยิ่งมีอาสาสมัครประจำท้องถิ่นอยู่มากเท่าใด ย่อมกลายเป็น "ศูนย์กลางการสร้างมิตรแท้ให้แก่สังคม" ไปโดยอัตโนมัติ
เมื่อสังคมได้รับประโยชน์จากการสร้างมิตรแท้ของวัดเพิ่มมากขึ้นเท่าใด วัดจึงไม่ได้มีฐานะอยู่แค่เป็นโบราณสถานที่เก็บของเก่าประจำท้องถิ่นเท่านั้น แต่กลายเป็น "ศูนย์กลางสถาบันการศึกษาประจำท้องถิ่น" ไปโดยอัตโนมัติ โดยท่าหน้าที่วางรากฐานศีลธรรมลงไปในจิตใจคนในท้องถิ่นนั้นๆ ในทุกระดับการศึกษาทุกระดับฐานะความเป็นอยู่ เพื่อให้คนในท้องถิ่นนั้นๆประกอบสัมมาอาชีพด้วยความสงบ ต่างดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขและเป็นคนดีของสังคม พร้อมที่จะโอบอุ้มหอบหิ้วกันและกันป่าเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม บังเกิดเป็นบุญกุศลต่อๆ ไป
วัดเป็นรากฐานการพัฒนาบ้านเมือง
ชาวพุทธในยุคก่อน แม้ไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ท้นสมัยเหมือนยุคนี้ แต่จับประเด็นความเจริญรุ่งเรืองของสังคมได้ถูกต้องว่า การพัฒนาที่แท้จริงต้องเริ่มจากการพัฒนาใจของประชาชนส่วนใหญ่ให้ละอายความชั่ว กลัวความบาป ร้กบุญกุศลยิ่งด้วยชีวิต จึงใช้วัดเป็นศูนย์กลางการปลูกฝังศีลธรรมให้กับประชาชนทั้งบ้านทั้งเมือง
ด้วยเหตุนี้ นอกจากจะท่าให้วัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำชุมชน ประจำท้องถิ่น ประจำประเทศแล้ว ยังทำให้ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาในยุคนั้น กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ประจำทวีปขึ้นมาทันที
แม้แต่ประเทศไทยเองก็เช่นกัน ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นดินแดนทองของพระพุทธศาสนาที่เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของวัดวาอารามที่น่าเลื่อมใส การทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาถือเป็นเรื่องปกติของคนทั้งบ้านทั้งเมือง อบายมุขก็อับเฉา ซบเซา การสร้างวัดวาอารามเพื่อเป็นโรงเรียนสอนการศึกษาและศีลธรรมประจำหมู่บ้าน ถือเป็นเรื่องปกติที่ต้องช่วยกัน หมู่บ้านใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละแห่งจะต้องมีวัดใหม่ๆประจำหมู่บ้านเกิดขึ้นด้วยเสมอดังปรากฏหลักฐานคือ วัดวาอารามที่สร้างขึ้นมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ซึ่งมือยู่จำนวนหลายหมึ่นวัดที่หลงเหลืออยู่ตามหมู่บ้านหลายหมื่นแห่งตราบมาถึงทุกวันนี้
ทั้งนี้ เพราะเมื่อคนส่วนใหญ่ในบ้านเมืองเป็น "ผู้มีศีลธรรม"แล้ว แม้มิใช่ญาติโดยสายโลหิต ย่อมกลายเป็น "มิตรแท้" ต่อกัน
เมื่อผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเป็น "มิตรแท้" ต่อกันโดยญาติธรรมแล้ว ย่อมทำในสิ่งที่ตรงกับ "หัวใจการศึกษา" ที่กส่าวว่า
"ความรู้ที่เกิดขึ้นกับคนดีนั้น ย่อมมีแต่นำความเจริญรุ่งเรืองมาให้ เพราะมีแต่จะใช้ ความรู้ไปในทางที่ถูกที่ควร"
ผลที่ตามมาก็คือ บรรยากาศของการส่งเสริมศีลธรรม ย่อมเกิดขึ้นทั่วบ้านทั่วเมือง อบายมุข ซึ่งเป็นอาชีพที่หากินบนความวิบ้ติของผู้อื่น จะไม่ถูกปล่อยให้ระบาดท่วมบ้านท่วมเมืองเป็นอันขาด
ความก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจและความร่มเย็นด้านศีลธรรมได้เจริญรุ่งเรืองไปคู่ก้น ผู้คนก็มีศีลมีธรรม มีปกติยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายไหว้ก่อน ไม่หน้าหงิกหน้างอใส่ก้น ไม่คิดจ้องจะกินเลือดกินเนื้อกันวัดวาอารามก็ไม่ถูกทิ้งร้างมีแต่สร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้มีจำนวนเพียงพอกับประชากรในหมู่บ้าน
การเลี้ยงชีพของคนส่วนใหญ่ในยุคนั้น ก็ไม่เอารัดเอาเปรืยบก้น มีแต่สงเคราะห์ช่วยเหลือก้น การจัดการระบบเศรษฐกิจของบ้านเมีอง ก็วางแผนเพิ่อความอยู่รอดร่วมก้น ไม่ใช่แบบปลาใหญ่ไล่กินปลาเล็ก ประชาชนทั้งประเทศก็มีความรักก้นเหมีอนพิ่น้อง เพราะต่างก็เต็มใจที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ยินดีที่จะอิ่มด้วยกันอดด้วยกัน และตังใจไปสวรรค์อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาก้น
การเสียสละเพิ่อประโยชน์สุขของคนส่วนรวมในบ้านเมืองนื้จึงเป็นสิ่งที่ทำด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่การขู่เข็ญบังคับ เพราะทำด้วยความรักความห่วงใยพิ่น้องร่วมชาติของตน และไม่ใช่เป็นการทำเพียงลำพังคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นการช่วยกันคนละไม้คนละมีอ "ความสามัคคี"จึงเกิดขึ้นเป็นปีกแผ่นทั้งบ้านทั้งเมีองโดยมีสายบุญ สายธรรมเป็นเครื่องร้อยรัดมัดใจ
บ้านเมืองที่มีแต่ความสามัคคีนั้น จะเกิดขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อมี"วัดเป็นศูนย์กลางการสร้างมิตรแทัให้กับสังคม" เพราะฉะนั้น วัดที่เป็นวัดตรงตามพุทธประสงค์ยิ่งมีจำนวนมากเท่าใดยิ่งเป็นการเพิ่ม "สถาปันการสศีกษาด้านศีลธรรมสำหรับสร้างมิตรแห้ให้แก่บ้านเมือง" มากเท่านั้น
วัดเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรือง
ด้วยเหตุที่วัดเป็นทั้งรากฐานการศึกษาประจำท้องถิ่นและรากฐานการพัฒนาบ้านเมืองนี้เอง วัดจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านจิตใจ
บ้านเมืองในยุคใดที่มีวัดจำนวนมากทั้งน้อยและใหญ่ ชูช่อฟ้าไสว ตั้งใจอบรมสั่งสอนประชาชน พระภิกษุก็ท่องบ่นพระธรรมคัมภีร์กันทั้งวัด ย่อมแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทั้งเศรษฐกิจและจิตใจของผู้คนในประเทศนั้นว่ามือยู่มากมหาศาลขนาดไหนๆ คัตรูหมู่ร้ายใดๆ ย่อมครั่นคร้าม
ในทางตรงกันข้าม บ้านเมืองในยุคใดที่มืวัดเสื่อมโทรมรกร้างอยู่มาก ย่อมแสดงถึงความทรุดโทรมตกตํ่าทางด้านศีลธรรมการท่ามาหากินย่อมฝืดเคือง มหาชนย่อมจมอยู่ในอบายบุขทั้งบ้านทั้งเมือง
บ้านเมืองใดที่มือบายมุขระบาด บ้านเมืองนั้นย่อมมีแต่ความแตกแยก ประชาชนย่อมไร้สีลธรรมแม้อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ก็ประพฤติต่อกันเยี่ยงคัตรู อาณาจักรใหญ่ๆ จึงถึงกาลล่มสลายหายไปจากแผนที่โลกครั้งแล้วครั้งเล่า
ดังนั้นการสร้างวัดทั้งน้อยและใหญ่ทั้งใกล้และไกลบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองเหมาะแก่การประพฤติปฏิบัติธรรมตามอริยประเพณีจึงเป็นเรื่องที่ชาวพุทธทุกคนต้องศึกษา ให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จะได้ช่วยกันสร้าง-พัฒนา-รักษาวัดประจำท้องถิ่น ให้เป็นโรงเรียนสอนศีลธรรมที่เหมาะสมกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน ทั้งนี้เพื่อให้ครอบครัว ชุมชน สังคมในท้องถิ่นนั้นๆ มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ลูกหลานชาวพุทธในย่านนั้นๆ ก็จะได้เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ ผู้มีความรู้ ความสามารถ มีศีลธรรมประจำใจย่อมนำความรู้วิชาการทางโลกไปสร้างความดีให้เกิดความเจริญกัาวหน้าทางด้านเทคโนโลยี และความเจริญรุ่งเรืองของศีลธรรมในจิตใจ โดยไม่ยอมให้สถานประกอบอบายมุขทั้งหลายเป็นแหล่งเพาะคนพาล ซึ่งเป็นต้นตอแห่งมิตรเทียมลอยหน้านำความวิบัติเสียหายมาทำลายความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของท้องถิ่นและประเทศชาติในภายหลังนั่นเอง