เมื่อต้องเผยแผ่

วันที่ 21 กค. พ.ศ.2560

เมื่อต้องเผยแผ่

 

 

                        ผู้ทําหน้าที่เผยแผ่วิชชาธรรมกายในยุคของพระเดชพระคุณหลวงปู่นั้นมีทั้งพระภิกษุและอุบาสิกาแม่ชีบางท่านก็มีโอกาสในการศึกษาวิชชาธรรมกายอยู่ในโรงงานทําวิชชาด้วย ยกตัวอย่างเช่นคุณยายทองสุขสําแดงปั้น ซึ่งท่านมีความถนัดในการเผยแผ่มาก

                        คุณยายทองสุขมีอัธยาศัยชอบพูดคุยช่างเจรจา เป็นบุคลิกที่แตกต่างจากคุณยายจันทร์ ที่เป็นคนพูดน้อย แต่ภายในท่านเหมือนกัน จะเห็นได้ว่าผู้ทําหน้าที่รบกับพญามารจะมีอัธยาศัยอย่างหนึ่ง ส่วนผู้ทําหน้าที่เผยแผ่ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง อย่างไร ก็ตามทั้งสองฝ่ายต่างต้องเกื้อกูลกัน โดยฝ่ายทําวิชชา มุ่งเข้าไปสู่ภายใน ส่วนฝ่ายเผยแผ่ขยายไปสู่ภายนอก

                        อันที่จริงแล้วคุณยายทองสุขก็รักการทําวิชชามาก ท่านไม่ปรารถนาที่จะออกจากโรงงานทําวิชชา ไปเผยแผ่ เพราะเกรงว่าจะรู้วิชชาไม่เท่ากับผู้อื่น แต่พระเดชพระคุณหลวงปู่จําเป็นต้องส่งคุณยายทองสุขไป เพราะแต่ก่อนท่านส่งพระภิกษุไปทําหน้าที่เผยแผ่ จนเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของญาติโยม เป็นเหตุให้มี ประชาชนมาปฏิบัติธรรมด้วยนับพันคนในสมัยนั้น ซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะเป็นผู้มีการศึกษาทางด้าน ปริยัติเป็นอย่างดีด้วย แต่เมื่อส่งไปแล้วล้วนหายไปหมด ไม่หวนกลับมาหาท่านอีกเลย หลวงปู่ก็รําพึงว่าพญามารมันเก่งที่สามารถเอาไปได้

                        หลวงปู่รําพึงในโรงงานทําวิชชาว่า “เออ พ่อส่งไก่ไปขัน ก็ไม่กลับมาหาพ่อเลย เห็นทีจะต้องส่งเป็ดไป” ไก่ในที่นี้หมายถึงพระภิกษุ ส่วนเป็ดหมายถึงอุบาสิกาแม่ชีซึ่งเวลาร้องออกมาแล้วไม่ดังเท่าไก่ เพราะไก่ขันดังกว่ามาก แต่ในเมื่อส่งไก่ไป แล้วไม่กลับมาท่านก็ปรารภผ่านช่องที่เจาะเอาไว้ว่า “พ่อต้องเอาเป็ดไปขันแล้วละ สุขเอ๋ย” แล้วท่านก็บอกคุณยายทองสุขว่า “สุข... ทิศนี้ไม่มีใครไปได้หรอก นอกจากสุขนั่นแหละ วิชชาธรรมกายจะได้ ขยายออกไป” หมายความว่าผู้ที่จะออกไปเผยแผ่วิชชาธรรมกายในที่นั้นให้ประสบความสําเร็จได้ ต้องเป็นคุณยายทองสุขเท่านั้น คุณยายทองสุขซึ่งนั่งอยู่อีกซีกหนึ่งในหมู่อุบาสิกาแม่ชีก็ตอบว่า “ไม่เอาลูกไม่ไป” ท่านกราบเรียนหลวงปู่ว่าไม่อยากไปจริงๆ ทั้งร้องไห้เพื่อขอความเห็นใจพร้อมให้เหตุผลต่างๆ แต่พระเดชพระคุณหลวงปู่ก็นิ่งๆ เฉยๆ

                         อันที่จริงคุณยายทองสุขก็ไม่อยากขัดคําสั่งของหลวงปู่ เพราะปกติแล้วท่านจะอยู่ในโอวาท แต่เนื่องจากกําลังศึกษาวิชชาธรรมกายจนกระทั่งถึงจุดสําคัญ แล้วอยู่ๆ ก็ได้รับคําสั่งให้ออกไปเผยแผ่ ท่านจึงอิดออดและหลีกเลี่ยงที่จะต้องไป ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่ก็ทราบดีว่าไม่อยากไป แต่ท่านก็นิ่ง

                         เมื่ออยู่กันตามลําพัง คุณยายจันทร์จึงหารือกับคุณยายทองสุขว่า “พี่ๆ ไปเหอะ แล้วเดี๋ยวฉันจะเขียนแล้วส่งให้เอง” คือคุณยายจันทร์อาสาที่จะให้คนที่รู้หนังสือจดวิชชาที่พระเดชพระคุณหลวงปู่สั่งแล้วก็ส่งไปให้คุณยายทองสุขศึกษาและทําตามไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน “อือ... อีก้าง กูไม่ไป” คุณยายทองสุขก็ยืนยันคําเดิม

                         ในที่สุดเมื่อกาลเวลาผ่านไปนับเดือนแล้วพระเดชพระคุณหลวงปู่ก็ยังคงย้ําคําเดิมในที่ทําวิชชา ว่า “สุข...ทิศนี้ไม่มีใครไป นอกจากสุขนี่” คุณยายทองสุขก็หลีกเลี่ยงมาตลอดจนกระทั่งวันหนึ่งบารมี ในการเผยแผ่ของท่านเต็มเปี่ยมแล้ว ท่านจึงตัดสินใจว่าจะไป แล้วกราบเรียนหลวงปู่ว่า “งั้นลูกไป จะไปทําตามที่หลวงพ่อสั่งให้ไปเจ้าค่ะ”

                          ในขณะนั้นแม้คุณยายทองสุขจะมีอายุ 50 กว่าปีและผ่านการครองเรือนทางโลกมาแล้ว แต่เมื่อท่านตอบตกลงที่จะไปเผยแผ่โดยรับคําว่า “ลูกจะไปลูกจะสู้” พระเดชพระคุณหลวงปู่ก็ตั้งคําถามขึ้น เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ท่านได้ส่งไก่คือ พระภิกษุออกไปเผยแผ่ แต่เมื่อเจอโลกภายนอกก็หมดอารมณ์ขัน หายหน้าไปไม่กลับมา ท่านจึงถามลองใจคุณยายทองสุขว่า “สุข ถ้ามึงไปเจอคนสวย(หน้าตาดี) แล้วมึงจะทําไง...สุข ถ้ามึงไปเจอคนรวย แล้วมึงจะทําไง...สุข ถ้ามึงไปเจอคนใจดีแล้วมึงจะทําไง” ได้ยินดังนั้น คุณยายทองสุขก็ตอบว่า“หลวงพ่อเจ้าขา ถ้าลูกสู้ไม่ได้ลูกยอมตาย” “เอ้อ มันต้องอย่างนั้นสิวะเดี๋ยวพ่อมีของจะให้เป็นกระเป๋าตั้งแต่สมัยพ่อเรียนบาลีเนี่ย เอาไว้ใส่ใบลาน กระเป๋านี้ดีทีเดียวนะ แล้วก็มีมุ้ง เอ็งเอาไปนะ แล้วก็เงิน 20 บาท ถ้าเหลือเอ็งเอามาคืนนะ” ท่านก็สั่งอย่างนี้

                           จากนั้นพระเดชพระคุณหลวงปู่ก็ให้คุณยายทองสุขเลือกคนไปเป็นเพื่อนด้วยหนึ่งคน ไว้สําหรับเป็นพี่เลี้ยง คุณยายทองสุขก็กราบเรียนท่านว่าขอเลือกแม่ชีเธียรไปเป็นเพื่อน ซึ่งหลวงปู่ก็ทักว่าแม่ชีเธียรยังไม่เห็นธรรมะ แต่คุณยายทองสุขก็ยังยืนยันว่า จะเอาแม่ชีเธียรไปด้วยให้ได้เมื่อได้ยินดังนั้น หลวงปู่ก็นิ่งไปสักพัก แล้วก็ตอบว่า “เออ.. มันก็จะไปเห็นธรรมะกลางทาง เอาไปได้” แล้วคุณยายทองสุขก็ได้ ออกไปเผยแผ่วิชชาธรรมกายพร้อมกับแม่ชีเธียรซึ่งได้เห็นธรรมะระหว่างเดินทางดังหลวงปู่ว่าไว้จริงๆ

                            เมื่อคุณยายทองสุขออกไปทําหน้าที่เผยแผ่ท่านก็เป็นนักเผยแผ่ที่เก่งกาจมาก ทั้งๆ ที่อ่านและเขียนหนังสือไม่ได้แต่ท่านก็ประสบความสําเร็จ ท่านจะต้องออกเดินทางไปโดยไม่อยู่กับที่ กลับมาวัดได้ไม่นานแล้วก็ออกไปอีก ไปๆ มาๆ อยู่เช่นนี้แต่เมื่อถึงเวลาที่หลวงปู่วัดปากน้ําต้องการให้คุณยายทองสุขกลับ ท่านก็ใช้ให้คุณยายจันทร์ไปตามด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนใคร ท่านไม่ได้ส่งจดหมาย ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ เพราะในสมัยนั้นเทคโนโลยีต่างๆ ยังไม่เจริญเท่าสมัยปัจจุบัน วิธีการตามตัวคุณยายทองสุขคือ พระเดชพระคุณหลวงปู่จะพูดกับคุณยายว่า “ลูกจันทร์ ไปตามสุขมา สุขมันไปนานแล้ว”คุณยายก็นั่งหลับตาตามในสมาธิ แล้ววันรุ่งขึ้นคุณยายทองสุขก็จะรีบออกเดินทางกลับมาทีเดียว เมื่อคุณยายทองสุขได้พบกับคุณยายของเราก็ดีใจมากท่านบอกว่า “อีก้างเอ๊ย กูล่ะคิดถึงมึงจังเลย กูต้องรีบมาว่ะ กูอยู่ไม่ได้โว้ย” แล้วคุณยายทั้งสองก็จะแลกเปลี่ยนวิชชาความรู้แบ่งปันประสบการณ์กันไป

                           สําหรับคุณยายจันทร์นั้น โดยธรรมชาติแล้วคุณยายไม่ค่อยชอบไปไหน ท่านชอบอยู่ในโรงงานทําวิชชา แล้วพระเดชพระคุณหลวงปู่ก็มักจะไม่ให้ ออกไปไหนด้วย แต่ก็มีอยู่บ้างที่ท่านส่งคุณยายจันทร์ออกไปทําหน้าที่ข้างนอก คุณยายทองสุขและคุณยายจันทร์ก็เคยออกเดินทางไปด้วยกัน นับเป็นการสร้างบารมีที่สนุกสนานเพราะได้ออกไปต่างจังหวัด ซึ่งนานๆ ครั้งคุณยายจันทร์จะได้รับอนุญาตให้ออกเดินทางเช่นนี้

                           การไปต่างจังหวัดก็เป็นการเดินทางไปสอนธรรมะ ไม่ใช่การท่องเที่ยวอย่างสะดวกสบาย ท่านต้องไปอาบน้ํากลางทุ่ง คุณยายเคยเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ขณะที่อาบน้ําอยู่กลางทุ่งนั้น อยู่ๆ ก็มีเสียงดัง “เป๊ง!” เมื่อคุณยายมองไปตามเสียง ก็เห็นตะปูงอๆ หล่นอยู่ พอท่านจะเดินเข้าไปหยิบ คุณยายทองสุขก็ร้องทักว่า “อย่าไปหยิบ นั่นเขาปล่อยของมาแบบลมเพลมพัด” แต่ของไม่สามารถเข้าพวกท่านได้ตะปูงอๆ นี้สามารถปล่อยเข้าคนได้แต่ไม่ใช่ว่าจะเข้าได้ทุกคน ต้องเป็นผู้ที่มีวิบากกรรมดึงดูดเข้าไป แล้วมันจะเข้าไปโตในร่างกาย คุณยายเล่าว่า ประเดี๋ยวก็มีเสียง “เป๊ง เป๊ง” ดังขึ้นอีกหลายครั้ง ท่านจึงเก็บรวบรวมมาได้ถุงหนึ่ง แล้วก็นํามาถวายพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ํา

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.013360468546549 Mins