วิชชาเพื่อสรรพสัตว์
ในการศึกษาวิชชาธรรมกายนั้น วิชชาแรกที่ต้องเรียนคือ การระลึกชาติ ซึ่งเป็นการย้อนหลังสาวไปหาเหตุว่า ก่อนเรามาอยู่ตรงนี้ เรามาจากตรงไหนมาทำไม มาเมื่อไร มาเพื่อทำอะไร และทำไปถึงไหนแล้วดูอีกว่าจากนี้ต้องทำต่อไปอย่างไร ซึ่งคุณยายเองก็มีโอกาสได้ระลึกชาติหนหลังของท่าน โดยเห็นเป็นเรื่องราวว่าก่อนที่ท่านจะมาเกิด ท่านเป็นกายละเอียดมาจากที่ใด แล้วก็สืบสาวเรื่องราวย้อนหลังกลับไปได้อีกยาวไกลอย่างไร้ขอบเขตหลังจากเรียนเรื่องการระลึกชาติแล้วก็เรียนเรื่องกฎแห่งกรรม หรือ Law of Kamma เพื่อให้เราหายสงสัยในเรื่องกฎของการกระทำ เราจะหายสงสัยต่อเมื่อเข้าถึงพระธรรมกายและได้ศึกษาวิชชธรรมกายวิชชาเกิดขึ้นได้เมื่อเราเข้าถึงพระธรรมกายที่ละเอียดจากนั้นจึงเรียนเรื่องการปราบมารประหารกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ดูสาเหตุแห่งความทุกข์ของชีวิตตนจนกระทั่งรวมไปถึงชาวโลกและสรรพสัตว์ทั้งหลายเรียนโดยสาวกันไปจนถึงต้นเหตุว่า มาจากที่ไหนผลจึงเกิดอย่างนี้ ทำให้มีภพ มีชาติ มีการเวียนว่ายตายเกิด มีความแตกต่างในหลากหลายลักษณะทำไมจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ ทำไมหมู่มนุษย์จึงมีความแตกต่างในลักษณะของรูปกาย ลักษณะของความเป็นอยู่ ทรัพย์สมบัติ เชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณี หรือรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ มากมาย สิ่งเหล่านี้เป็นมาอย่างไรเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เดิมมีความแตกต่างกันหรือไม่
การศึกษาวิชชาธรรมกายจะดำเนินไปเช่นนี้และยังช่วยแก้ไขทุกข์ภัยของมนุษย์รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งคำว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นครอบคลุมทุกชีวิต ทั้งในภพสาม คือ มนุษย์ เทวดา พรหมอรูปพรหม ในอบายกระทั่งถึงโลกันตนรก ซึ่งเป็นที่ขังสัตว์นรก ตรวจดูอีกว่าใครเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้สร้างอย่างไร เป็นอย่างไร แล้วจึงแก้ไขทั้งทุกข์โศก โรคภัย เศรษฐกิจตกต่ำ แม้แต่สงครามที่เกิดขึ้นก็พยายามป้องกันไม่ให้เกิด แก้ไขสารพัดเรื่องในโรงงานทำวิชชา ซึ่งอาจดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ทั้งหมดก็เป็นความจริง เป็นสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ คุณยาย และผู้ทำวิชชาได้กระทำกันตลอดมาการศึกษาวิชชาธรรมกายเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง ผู้ศึกษาจะต้องมีจิตบริสุทธิ์และไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง ไม่เกาะเกี่ยวกับเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ จึงจะสามารถรู้เรื่องราวภายในซึ่งเป็นสิ่งที่เหลือวิสัยและยากต่อการเข้าใจ การนึกคิดด้นเดา การหาหลักฐานอ้างอิง หรือการให้เหตุผลด้วยวิธีธรรมดาตามอย่างศาสตร์ของมนุษย์ทั่วไป เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการศึกษาค้นคว้าโดยนักการศึกษาแลปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาในครั้งพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเก็บใบไม้ขึ้นมาหนึ่งกำมือและถามพระภิกษุว่า ใบไม้ในกำมือของพระองค์กับใบไม้ในป่าประดู่ ส่วนไหนมีมากกว่ากัน ภิกษุตอบว่าใบไม้ในป่าประดู่มีมากกว่าใบไม้ในกำมือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่าสัพพัญญุตญาณของเรานั้น รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งปวง โดยไม่มีขอบเขตจำกัด แต่สิ่งที่เรานำมาสอนเธอนี้เป็นเพียงส่วนอันน้อยนิด เพื่อเป็นทางหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ภพทั้งสาม และกฎแห่งกรรม เป็นไปเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้งเท่านั้น วิชชาธรรมกายจึงเป็นทั้งใบไม้ในกำมือของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และใบไม้อื่นๆ ในป่าประดู่ลาย ซึ่งแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงทราบ แต่ก็ไม่ได้นำมาสั่งสอน เพราะพระองค์ทรงมุ่งหวังให้เหล่าสาวกหมดกิเลสแล้วเข้าสู่นิพพานเป็น
หลัก ดังนั้นวิชชาธรรมกายอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นประดุจใบไม้ในป่าจึงรู้กันอยู่แต่ในขอบเขตจำกัดของผู้ที่มีมโนปณิธานในการปราบมารและนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายไปสู่ที่สุดแห่งธรรม คือในหมู่ผู้ปฏิบัติในโรงงานทำวิชชาเท่านั้น นอกจากนี้แล้วก็รู้กันอย่างผิวเผินว่า ธรรมกาย คือพระรัตนตรัยภายใน เป็นที่พึ่งที่ระลึก มีอานุภาพสามารถพาไปเยือนนรกสวรรค์และนิพพานได้เท่านั้น