เรื่องเปรตมาบอก
เรื่องของเปรตเรื่องนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้พบโดยตรงด้วยตนเองเพียง แต่เคยรู้จักกับผู้ที่ตายไปเป็นเปรต ขอให้ชื่อเรื่องว่า เปรตนางแป้ (ชื่อจริงก็คล้ายๆ คำนี้)
เมื่อปลายๆ ปี ๒๕๓๐ นี่เอง ข้าพเจ้าไปซื้อผลไม้จากเพื่อน รุ่นน้อง เป็นชาวหมู่บ้านเดียวกัน ขายอยู่ตรงซอกทางเดินเข้าตลาดพรานนก ฝั่งตรงข้ามธนาคารกรุงเทพ เขาเรียกข้าพเจ้าว่า "พี่" เพราะนับถือข้าพเจ้ามาก ทั้งข้าพเจ้าก็รักเขามากที่ยอมเชื่อฟังข้าพเจ้า เลิกจากอาชีพขายปลามาขายผลไม้แทน
ได้บอกข้าพเจ้าว่า
"พี่ นางแป้มันตายแล้ว วันเผาศพมันมีเรื่องประหลาด" นางแป้นี่เป็นน้องสะใภ้ผู้พูด
"มีอะไรประหลาด" ข้าพเจ้าซัก มีความรู้สึกว่าให้ประหลาดแค่ไหน ข้าพเจ้าก็ต้องตอบได้
"ในวันงานเผานะพี่นะ ในวัดมีแต่กลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งไปทั้งวัดเลยเหม็นจริงๆ กระทั่งกินข้าวปลาอาหารกันไม่ลง ดูที่โลงศพก็ไม่มีอะไรรั่ว อุดยา สนิท ดมดูก็ไม่มีกลิ่น พากันเที่ยวดมหาที่ไหน ก็ไม่เจอต้นกลิ่น
ทีนี้พอเผาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ศพก็ไหม้ไฟไปแล้ว กลิ่นก็ยังอยู่ ผู้คนทนกันไม่ไหวรีบลากลับกันไปหมด ลูกสาวคนตายก็รีบกลับบ้าง เอารูปถ่ายของแม่กลับบ้าน ปรากฏว่ากลิ่นตามมาด้วยตลอดทาง ก็ช่วยกันดมดู
ที่รูปถ่าย ที่รูปมีกลิ่น พอมาถึงบ้านกลิ่นก็เข้ามาคลุ้งอยู่ในบ้าน ลูกสาวเลยเอะใจว่า คงเป็นกลิ่นของแม่ จึงบอกว่า "แม่ แม่ นี่แม่ตามมาจากวัดหรือ ทำไมทำกลิ่นเหม็นยังงี้ หนูทนไม่ไหว แม่ออกจากบ้านไปเถอะนะ ไปอยู่ที่อื่นเถอะ ไม่ไหวแล้ว" ลูกก็บ่นซ้ำๆ ซากๆ อย่างนี้
สักครู่ใหญ่กลิ่นก็จางลง แต่ออกไปอยู่ที่กอหญ้าใหญ่ข้างทาง ซึ่งไม่ห่างจากบ้านมากนัก ตรงนั้นมีทางคนเดินผ่าน ใครเดินไปเดินมาก็จะต้องได้กลิ่นรุนแรงแทบสะอึกทุกคน ต่างพากันมองหน้าหาว่าจะมีสุนัขตายอยู่บ้างรึเปล่า หรือมีอะไรๆ เน่าบ้าง ก็ไม่เห็นมี พอมีผู้คนโวยวายว่า นี่มันกลิ่นเดียวกับที่ไปเผาศพนางแป้ที่วัด ลูกสาวก็ไป พิสูจน์ดู ก็เห็นว่าเป็นกลิ่นเดียวที่อยู่ในบ้านเมื่อกี้นี้จริงๆ
"นี่มันเป็นอะไรกันน่ะพี่" เล่าจบแล้ว เพื่อนก็ถามข้าพเจ้า
"อย่างนี้เค้าเรียกว่าเจ้าแป้มันไปเกิดเป็นเปรตชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นเหม็นเน่าน่ะ เปรตมันมีเป็นสิบๆ ชนิดแหละ บางพวกมีแต่กระดูก บางพวกมีแต่เนื้อ บางพวกมีขนเป็นเข็มเป็นอาวุธ นี่พวกเจ้าแป้นี่เป็น เปรตชนิดมีกลิ่น"
ข้าพเจ้าตอบ นึกถึงคนตายซึ่งอายุน้อยกว่าข้าพเจ้ามาก อาชีพคือ เที่ยวหาบขนมจีนขาย เวลาข้าพเจ้าพักอยู่กับบิดาในสมัยก่อนเคยซื้อกินบ่อยๆ ต่อมารู้ว่าทำไม่สะอาด ไม่นึกถึงคนกินว่าจะท้องเดินท้องเสียอย่างใด จึงเลิกซื้อกิน
"เจ้าแป้นี่มันทำเวรอะไรนักหนาฮึ ถึงต้องเป็นเปรตยังงี้"
ข้าพเจ้าซักเพื่อน ความจริงผู้ตายไม่ใช่น้องสะใภ้แท้ๆ เพียงแต่สามีของนาง เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเพื่อนของข้าพเจ้า "อ้อ แล้วแก้เรื่องกลิ่นเหม็นยังไงล่ะ เพื่อนบ้านมิแย่ไปตามๆ กันรึเนี่ย" ข้าพเจ้าถามต่อ
"พวกลูกๆ เค้าก็ไปพูดตรงกอหญ้าที่ส่งกลิ่นนั่นแหละ พี่ว่าจะไปทำบุญที่วัดให้นะ จะได้หายเหม็น"
"แล้วหายมั้ยละ" ข้าพเจ้าซัก
"ก็หายไปนะพี่"
ฟังคำตอบแล้วก็โล่งอก นึกว่าไปเกิดที่อื่น เลิกเป็นเปรตเหม็นๆแต่เปล่า อีกหลายเดือน ดูเหมือนจะเป็นตอนปีใหม่ ๒๕๓๑ นี่เอง เมื่อพบกับเพื่อนอีกครั้งในการไปทำบุญปล่อยปลา เพื่อนก็บอกว่า
"พี่ พี่ ตอนนี้นางแป้มันเกิดเป็นผีตัวสูงโย่ง มองไม่เห็นลำตัว ท่อนบนเลย"
"ใครเห็นล่ะคราวนี้" ข้าพเจ้าถาม
"ผัวมันเป็นคนเห็นเองเลยพี่"
"เล่าไปเลย พี่จะฟัง จะได้จำเอาไปเล่าให้ผู้คนที่พี่ต้องไป บรรยายธรรมตามที่ต่างๆ ฟังด้วยเป็นธรรมทานนะ หนูก็ได้บุญด้วย พี่ก็ได้ แต่สงสัยเจ้าแป้มันจะไม่ได้ เพราะมันไม่รู้เรื่อง" ข้าพเจ้าว่า แล้วก็นิ่งคอยฟังอย่างสนใจ
มีอยู่วันนึงตอนเย็นใกล้ค่ำ โพล้เพล้ เจ้าปี (ชื่อ มมติของสามีนางแป้) มันคิดถึงเมีย มันนั่งร้องไห้อยู่ที่เชิงบันไดบ้าน ปากมันก็ส่งเสียงเรียกออกมา ไม่ต้องกลัวใครเห็น เพราะไม่มีใครอยู่เลยทั้ง ๓-๔ บ้าน ในกลุ่มนั้น คนบ้านอื่นๆ ยังไม่กลับจากไร่อ้อยกันสักบ้านเดียว
"แป้เอ๊ย เอ็งอยู่ที่ไหน ข้าคิดถึงเหลือเกิน ตั้งแต่เอ็งตายไปแล้วนี่ ข้าต้องนั่งแกร่วอยู่คนเดียว กับข้าวกับปลาทำกินเองก็ไม่อร่อยเหมือนเอ็งทำให้กิน ลูกๆ มันก็ยุ่งอยู่กับเรื่องผัวเรื่องเมีย เรื่องลูกของพวกมันกันหมด ไม่มีใครคิดถึงข้าเล้ย เงินทองที่มีอยู่ก็กำลังจะหมด นี่หมดแล้วข้าคงอดตาย ไปขอข้างลูกคนไหนมันคงจะไม่ให้กิน แป้เอ๊ย ข้าคิดถึงเอ็งจริงๆ เอ็งอยู่ไหนมาหาข้าบ้าง"
คนเล่าหยุดพักเหนื่อยเล็กน้อยแล้วถามว่า
"พี่ พี่ ผีมันได้ยินเสียงคนเรียกด้วยหรือ"
ข้าพเจ้าตอบว่า "ถ้าผีนั้นอยู่ใกล้ๆ หรือกระแสจิตเค้ารับได้ เค้าก็ได้ยิน เพราะเค้ามีกายละเอียดกว่าพวกเรา ไม่ใช่ได้ยินอย่างเดียวนะ เค้าเห็นเราด้วย มีแต่เรามองไม่เห็นเค้า ไม่ได้ยินเค้าพูด"
"มิน่า เจ้าปีมันเล่าว่า พอมันนึกถึงเมียมันเท่านั้น มีเงาวูบมายืนทะมึนอยู่ข้างหน้า ตอนแรกคิดว่าเงาต้นไม้ ก็เงยหน้าขึ้นมอง ก็ไม่มีต้นไม้อะไรอยู่ตรงหน้า เป็นที่ว่างเปล่า เห็นแต่เงาดำนั้นสูงลิ่ว ลิ่ว ขึ้นไป
ไม่เห็นท่อนบนเลยว่าเป็นตัวอะไร แล้วหมาก็หอนกันใหญ่ เงานั้นก็มีอาการโยกเยก โยกเยก ย้ายไปย้ายมา ทั้งที่เวลานั้นไม่มีลมพัดสักนิดเดียว เจ้าปีมันมองอย่างสงสัยเต็มที่ คิดไปคิดมามันก็คิดได้ว่าหรือว่านางแป้มาแล้ว พอคิดเท่านี้แหละ วิ่งเผ่นอ้าวขึ้นบ้านไปนอนคลุมโปงตัวสั่นงันงกเลย" เล่าจบคนเล่าก็หัวเราะ คนฟังคือข้าพเจ้าก็หัวเราะตามไปด้วย ทั้งขำทั้งสมเพช คิดถึงผี เรียกให้มาหา พอมาจริงๆ กลับทั้งกลัวทั้งเกลียด
อย่างตอนต้นที่ส่งกลิ่นเหม็นในบ้านลูกสาว ลูกสาวก็ไล่ให้ออกไปให้พ้นจากบ้าน นึกไปแล้วก็น่าอนาถใจ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็รักใคร่ผูกพันกันดีพอตายลง ไม่มีใครยอมให้อยู่ในบ้านด้วย เปรตรายนี้นอกจากปรากฏร่างให้สามีเห็นแล้ว ยังไปเข้าฝันเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งแต่เดิมเป็นคนประพฤติผิดศีลข้อ ๓ คือ นอกใจสามีไปมีชู้ จนต้องเลิกกับสามีมาอยู่กับชู้ ต่อมาคงจะคิดถึงเรื่องบาปกรรมได้ จึงสนใจทำบุญให้ทานอยู่บ่อยๆ สตรีนั้นเล่าให้เพื่อนของข้าพเจ้าฟังว่า เขาเห็นคนตายในความผัน มีร่างกายสูงมากจนมองไม่เห็นหน้า แหงนขึ้นดูเท่าไรก็ไม่เห็น เห็นแต่ท่อนขาทั้งสอง เท้าไม่เหมือนเท้าของคน มีลักษณะแบนๆ แผ่ออกเหมือนแผ่นเท้าของเป็ด
แต่ในฝันนั้นรู้ว่าเป็นเปรตของนางแป้ เพราะจำเสียงได้แม่นยำ ทั้งร่างนั้นยังออกชื่อสามีและลูกๆ ด้วยจึงมั่นใจว่าใช่
"นางแป้มันฟ้องว่า ทั้งลูกทั้งผัว ไม่มีใครทำบุญใส่บาตรให้เลยตั้งแต่ตายแล้วนี่ ได้กินตอนที่ตายใหม่ๆ เท่านั้น เพราะมีการทำศพจึงทำบุญทำทานกัน หลังจากนั้นก็ไม่ได้กินอีกเลย มันมาหาฉันนี่ มันขอให้ฉันอุทิศส่วนบุญเวลาตักบาตรให้มันกินมั่ง" ผู้หญิงที่เป็นเพื่อนผีเล่าให้เพื่อนข้าพเจ้าฟังมาดังนี้
จากนั้นข้าพเจ้าให้เพื่อนเล่าถึงบาปอกุศลที่นางเปรตแป้ทำอยู่ สมัยยังไม่ตาย เพื่อนำมาคิดเทียบเคียงกับความรู้ทางปริยัติและปฏิบัติ
เพื่อนจึงเล่าให้ฟังถึงประวัติต่างๆ ดังนี้
นางแป้เป็นแม่หม้ายมาจากทางจังหวัดเพชรบุรี มาเที่ยวที่หมู่บ้านที่ข้าพเจ้าและเพื่อนอยู่ ได้เกิดรักใคร่ชอบพอกับนายปี ซึ่งก็เป็นพ่อหม้ายมีลูกติด เลิกกับภรรยานานแล้ว ลูกที่มีอยู่โตแล้ว ไปรับจ้างทำงาน
อยู่ที่อื่น
นายปีกับนางแป้ประกอบอาชีพทำขนมจีนขาย นายปีทำอยู่ที่บ้านส่วนนางแป้เป็นคนหาบไปขายตามหมู่บ้านต่างๆ มารดาของนายปีมีฐานะร่ำรวย อาชีพของนางคือออกเงินให้กู้เอาดอกเบี้ยค่อนข้างแพงกว่าทางธนาคาร ไม่ใคร่ต่ำกว่าเท่าตัว เช่น ทางธนาคารเอาดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ ๕ ลึง แม่ของนายปีจะต้องเอาถึง ๓ บาท ดังนี้เป็นต้นหรือถ้าหากไม่มีทรัพย์สินมาค้ำประกัน ก็มักต้องเสียดอกเบี้ยถึงร้อยละ ๑๐ ต่อเดือน
นางตี้ ซึ่งเป็นแม่นายปีอายุถึง ๘๐ ปีเศษ ก็ต้องวานสะใภ้ช่วยเก็บดอกเบี้ยให้ด้วย ในเวลาที่ไปขายขนมจีนผ่านตามบ้านลูกหนี้ นางแป้เก็บได้แล้วก็คดโกงเอาเสียเองบางส่วนอยู่เสมอ เพราะถือว่า แม่ของสามีอายุมากไปทวงเองไม่ไหว
สามีภรรยาคู่นี้แม้จะมีบ้านหลังเล็กอยู่ข้างหน้าเรือนใหญ่ของแม่แต่ไม่เคยให้อะไรๆ แก่แม่เลย ไม่ว่าจะเป็นขนมสักชิ้น แกงสักถ้วย รวมไปถึงลูกชายวัยเพียง ๘-๙ ขวบของตนก็ยังแอบขโมยเงินของย่าเรื่อยมา จนเป็นหนุ่มก็ยังกระทำอยู่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ผู้เป็นย่ามาก
พ่อแม่ก็ไม่อบรมสั่งสอนลงโทษลูก กลับเห็นดีเห็นงามด้วย ต่อมาทั้งนายปีนางแป้และลูกชายลูกสาวเห็นว่านางตี้มีอายุมากแล้ว ถ้าปล่อยให้ตายไปโดยไม่มีพินัยกรรม พี่ๆ น้องๆ ของนายปีที่อยู่ในที่ต่างๆ ก็จะกลับมาขอแบ่งสมบัติ ทั้งสามจึงทำดีเอาใจนางตี้จนตายใจ ยอมทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติต่างๆ ตลอดจนบ้านเรือนไทยสองหลังแฝดก็เขียนยกให้หลานสาวคนเล็กลูกของนายปีนางแป้
เมื่อพ่อแม่ลูกครอบครัวนี้หลอกผู้เป็นย่าได้ สมใจแล้ว ก็ปล่อยปละละเลยไม่ดูแลนางตี้อีกต่อไป แม้นางตี้จะขอให้ช่วยดูแลเวลาเจ็บไข้ ได้ป่วยอย่างไรทุกคนก็เพิกเฉย ท้ายที่สุดเมื่อมีการทะเลาะกันขึ้นในเย็นวันหนึ่ง คนเหล่านี้ก็ช่วยกันไล่นางตี้ออกจากบ้านของนางตี้เอง อ้างว่าเขียนพินัยกรรมยกให้หลานสาวแล้ว นางตี้จะต้องหมดสิทธิ์ เรียกว่าใช้กฎหมายไม่จริงมาขู่
นางตี้เสียใจมากออกปากสาปแช่งต่างๆ ชาวบ้านบางคนที่รู้กฎหมายอดทนอยู่ไม่ได้จึงชี้แจงให้นางตี้ทราบว่า ถ้ายังไม่ตายก็สามารถเปลี่ยนพินัยกรรมได้ นางตี้จึงเปลี่ยนพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติให้หลานชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกของลูกสาวอีกคนของนาง ตอนเย็นวันที่นางแป้รู้ข่าวว่าแม่สามีเปลี่ยนพินัยกรรมนั่นเอง นางแป้ก็ตกใจจนหมด ติ เมื่อฟื้นขึ้นก็ถึงกับเป็นอัมพาต เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ พูดไม่ได้ ทุรนทุรายทุเรศทุรังผ้าผ่อนไม่ยอมนุ่ง อยู่เป็นแรมเดือน จึงถึงแก่ความตาย
ชีวิตนางแป้ปกติก็เป็นคนโลภจัด การขายขนมจีนของนาง นางไม่ต้องซื้อผักต่างๆ ที่ใช้กินแกล้มกับขนมจีน นางจะใช้วิธีเด็ดเอาจากไร่ จากสวนที่ชาวบ้านปลูกไว้โดยไม่ต้องขอ เรียกว่ามีอทินนาทานเหล่านี้
เป็นอาจิณณกรรม กระทั่งในวันพระมีผู้คนไปทำบุญที่วัด นางแป้นำขนมจีนไปขาย เพื่อให้ผู้คนซื้อทำบุญ แต่ตัวนางเองไม่เคยแบ่งขนมจีนแม้แต่คำเดียวเพื่อถวายพระภิกษุสงฆ์
คนที่มีจิตใจตระหนี่จัด ไม่เคยบริจาคทานไว้เลย แถมใจคอ ยังหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องอยากได้ของผู้อื่น จึงต้องไปเกิดเป็นเปรตอดอยากดังนี้
ถ้าจิตใจมีโทสะกล้าขึ้งเครียดโกรธเคืองเสมอ บางทีถึงขั้นทุบตีทำร้ายผู้ที่ตนไม่พอใจ ทำทุกข์ร้อนให้คนอื่นด้วยโทสะของตน ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนดีมีศีลธรรม บาปก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น พวกนี้ตายแล้วต้องตกนรก
ส่วนพวกที่มีโมหะกล้าแข็ง ไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีปัญญา ไม่อะไรๆ ตามเป็นจริง ก็จะไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง อสุรกายบ้าง
ยกตัวอย่างเช่น ชอบแต่งตัวให้สวยให้งาม ไม่รู้ตามเป็นจริงว่าร่างกายนั้นเป็นของไม่แน่นอนต้องเปลี่ยนแปลงเสื่อมสลาย ก็หลงตกแต่งจนเกินกว่าเหตุ ปล่อยพ่อแม่อดอยากไม่เลี้ยงดู แต่เอาเงินไปซื้อเครื่องสำอางราคาแพงๆ เพื่อตกแต่งร่างกายเกินจำเป็น ประเภทนี้ตายแล้วก็ต้องเป็นเดรัจฉานที่ชอบแต่งตัว หรือมีสีกายสวยงามเหมือนเสื้อผ้าที่ชอบแต่ง เช่น นกแก้ว นกหงส์หยกส่องกระจกกันทั้งวัน หรือพวกไก่ฟ้าพญาลอ นกยูง ฯลฯ
ถ้าลืมตัวคิดว่าตนเองใหญ่ มัวเมาประมาทในอำนาจวาสนา มีมิจฉาทิฏฐิ ใช้ยศศักดิ์ของตนทำร้าย ทำอันตรายเบียดเบียนผู้อื่นให้ต้องลำบากทุกข์ยาก ถ้าผู้ถูกรังแกเป็นผู้อยู่ในคุณธรรม คนประเภทดังกล่าว
ตายแล้วคงได้ไปเป็นอสุรกายชนิดมีโทษร้ายแรงในโลกันตริยนรก
จากหนังสือ จากความทรงจำเล่ม1
อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล
*ชื่อเรืองเดิม เปรตนางเเป้