เรื่องคอรัปชั่น

วันที่ 12 พย. พ.ศ.2562

เรื่องคอรัปชั่น

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ขณะนั้นข้าพเจ้ายังรับราชการอยู่ มีสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้พบเห็นอยู่เป็นประจํา เป็นที่น่าอเนจอนาถใจ จะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง

 

วันนั้น ข้าพเจ้าไปหาเพื่อนซึ่งเป็นข้าราชการชั้นโท (เดี๋ยวนี้ถึงแก่กรรมไปแล้ว) ได้ทราบว่าเช้าวันนั้นเขาจะต้องเดินทางไปตรวจราชการต่างจังหวัดซึ่งอยู่เลยจังหวัดอยุธยาขึ้นไป และตรวจตามรายทางไปเรื่อย ไปกันทางเรือ พอดีข้าพเจ้ามีธุระด่วนจะต้องรีบติดต่อเห็นว่ายังมีเวลาพอไปหาได้ทัน จึงไปที่ท่าเรือซึ่งเป็นที่เฉพาะจอดเรือของราชการ พวกข้าราชการผู้ใหญ่ที่จะไปตรวจราชการยังมาไม่ถึง เพื่อนของข้าพเจ้าจ่ายตลาดมีอาหารการกินมากมายล้นเหลือที่จะไปทํากินในเรือ รวมทั้งสุรายาเมาเพียบพร้อมซึ่งไม่แปลกนัก แต่มีสิ่งที่ผิดปกติที่ทําให้ข้าพเจ้าตกใจจนพูดไม่ออกคือ มีเด็กสาวรุ่นๆ ไม่ต่ำกว่า ๕-๖ คน ลักษณะแต่ละคนดูออกว่าเป็นโสเภณี ข้าพเจ้าอ้าปากค้าง ชี้มือไปที่เด็กสาวเจนชีวิตพวกนั้น เหมือนถามเพื่อนว่า “พวกนั้นก็ไปตรวจราชการเหมือนกันหรือ” เพื่อนรีบลากข้าพเจ้าไปคุยกันตามลําพังทางท้ายเรือ พูดว่า

 

“นี่เธอ นี่เรื่องธรรมดา เค้าต้องเอาเรื่องงานราชการบังหน้ายังงี้แหละ ความจริงไม่ได้ไปตรวจงานอะไรหรอก เค้าเพียงแต่หาความสุขใส่ตัวกันเท่านั้น”

 

“นี่นายเรา... (ออกชื่อ) เป็นคนเลวถึงขนาดนี้เทียวรึ เสียแรง หลงนับถือ” ข้าพเจ้าคราง

 

 

เฮ้ย ไม่ใช่ นายเรายังดีอยู่ แต่นายเค้าไม่อยากให้ถูกตัดงบประมาณที่ขอไปน่ะ เค้าเลยต้องจัดการตรวจราชการแบบนี้ เอาเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนเสนอเรื่องให้กรมเราไปเลี้ยงดูแล้วก็ปูเสื่อให้เสร็จ ทําอย่างนี้งบประมาณของเราก็ไม่ถูกตัดไงล่ะ เจ้าหน้าที่พวกที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างนี้แล้ว เค้าก็ไปช่วยเขียนเหตุผลสนับสนุนการของบประมาณของเราไงล่ะ รู้มั้ย ไอ้สายงานไหนที่ไม่รู้จักฉลาดยังงี้ งบประมาณก็ถูกตัดอยู่ อย่างนั้นแหละทุกปีเลย” เพื่อนขยายความ

 

ข้าพเจ้าเพิ่งถึงบางอ้อ พร้อมกับพูดกระทบเพื่อนว่า

 

“อ้อ นี่ต้องให้ข้าราชการชั้นโทไปหุงข้าวเลี้ยงกะหรี่ด้วยรึไง”

 

เพื่อนห้ามเสียงลั่น

 

“เงียบหน่อยซิ เดี๋ยวโดนดีทั้งสองคน นายนี่มันปากโป้งโผงผางจัง”

ข้าพเจ้าพูดธุระแล้วรีบลากลับ ขืนอยู่เดี๋ยวต้องเห็นหน้าพวกข้าราชการบ้ากามพวกนั้น จะพลอยให้หมดความนับถือ แต่กระนั้นข้าพเจ้าก็ลดความนับถือเจ้านายของตนเองไปมาก เมื่อข้าพเจ้าต้องอ่านเรื่องที่มีการเสนอไปตรวจราชการทั้งเหตุผล ทั้งการเบิกเงิน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ ค่าใช้สอย ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าน้ำมันเรือ ฯลฯ ล้วนแต่โกหกทั้งสิ้น จุดมุ่งหมายก็เพื่อเรื่องติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ก็บิดเบือนไปอ้างความหย่อนสมรรถภาพของหน่วยงานที่ต้องไปตรวจตราโน่น คนละเรื่องกันเลย

 

เรามาพูดกันในแง่ที่ว่า พวกข้าราชการคอรัปชั่นพวกนี้ เขียนรายงานบิดเบือนต่างๆ เขามีบาปหรือไม่ก็ต้องตอบว่ามี มีบาปเต็มที่แน่นอน ทั้งมุสาวาท (โกหก) ทั้งอทินนาทาน (ฉ้อโกง) ถ้าอย่างรายที่ข้าพเจ้ายกตัวอย่างต้องเพิ่มกาเมสุมิจฉาจาร (ชู้สาว) และสุราเมรัยรวมทั้งปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์) เข้าไปอีก เพราะมีการเตรียมเบ็ดติดเรือไปตกปลาแก้เหงาด้วย เรียกว่าผิดศีล ๕ กันทุกข้อในการเดินทางอ้างว่าตรวจราชการครั้งนั้น

 

การนําเงินภาษีอาการของราษฎรมาใช้จ่ายไปในทางไม่สมควรต่างๆ หรือโกงมาเป็นสมบัติของตัวเอง ตกอยู่ในข่ายอทินนาทานทั้งสิ้น ถ้าร้ายแรงมากมีโทษถึงตกนรก พ้นจากนรกต้องมาเกิดเป็นเดรัจฉานที่ต้องทํางานใช้หนี้ประชาชน เช่น เป็นวัวควายทําไร่ไถนาเลี้ยงประชาชน หรือถูกฆ่าเป็นอาหารของผู้คน หรือใช้เป็นพาหนะ ใช้ทํางาน เช่น ลากซุง เทียมเกวียน ลากรถ ขึ้นมะพร้าว ฯลฯ ได้ค่าจ้างเพียงอาหารกินไปวันหนึ่งๆ แรงงานส่วนที่เกินไปก็เป็นการช่วยเลี้ยงมนุษย์

 

เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็น่าเห็นใจข้าราชการอยู่ไม่น้อย ถ้าต้องทํางานอยู่ในหมู่พวกที่ส่วนใหญ่คอรัปชั่นกันเป็นปกติ ถ้าไม่ทําเหมือนๆ พวกเขา จะซื่อตรงอยู่ตามลําพังก็จะถูกมองเป็นคนประหลาด อย่างเช่น ครั้งที่ข้าพเจ้าไปราชการทางเมืองเหนือ แล้วเกิดเจ็บป่วยเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันในรถไฟเมื่อ ๒๕ ปีที่แล้ว ต้องเข้าไปโรงพยาบาลทําการผ่าตัดที่เชียงใหม่ กลับมาข้าพเจ้าขอคืนเงินเบี้ยเลี้ยงต่อทางราชการทั้งหมดโดยชี้แจงว่า ตลอดเวลา ๑๐ วันที่ไปราชการนั้น ข้าพเจ้ามิได้ทํางานให้ราชการเลย กลับไปนอนอยู่ในโรงพยาบาลเสีย จําได้ว่าท่านหัวหน้าแผนกคลังกล่าวกับข้าพเจ้าว่า

“ตั้งแต่ผมทํางานในหน้าที่ควบคุมการเบิกจ่ายเงินของกรมนี้มาผมยังไม่เคยเจอใครเหมือนคุณ คุณเป็นคนแรกคนเดียว นอกนั้นแล้วมีแต่จะเบิกกันให้มากกว่าความเป็นจริงทั้งสิ้น ถ้าในวงราชการมีคนอย่างคุณ บ้านเมืองจะเจริญมากทีเดียว

 

เวลานั้นข้าพเจ้าเพิ่งเข้ารับราชการได้ประมาณ ๕-๖ ปี ฟังแล้วข้าพเจ้างุนงง ข้าพเจ้ามิได้ทําความดีพิเศษอะไรเลย เพียงแต่นําเงินส่วนที่ไม่ควรมีสิทธิ์ได้ คืนต่อทางการไป ทําไมต้องได้รับคํายกย่องเสีย มากมาย คิดในใจขณะนั้นว่า

 

“เอ๊ะ... ทําไมคนอื่นเค้าไม่ทําอย่างเรากันหรือนี่ แล้วทําไมเค้าต้องโกงเอาเงินหลวงไป ทําไมเค้าไม่อาย เมื่อไม่อายตัวเองก็ควรอายคนอื่นบางซี อย่างน้อยคนที่เขาลงชื่อเสนอเรื่องผ่าน หรือคนอนุมัติเค้าก็ต้องรู้ว่าเรื่องจริงหรือมุสาขี้โกง

 

นี่ก็ยกมาให้เป็นตัวอย่างอีกว่า การทุจริตคดโกงในวงงานราชการนั้นกลายเป็นสภาพปกติ คนซื่อตรงกลายเป็นคนผิดปกติ จึงเป็นเรื่องยากที่จะคิดแก้ไขโดยวิธีธรรมดา จะต้องใช้หลักธรรมทางพระศาสนานั่นแหละช่วยแก้ไข จะใช้แต่เรื่องการลงโทษย่อมแก้ไม่สําเร็จ คนโกงจะหาทางหลีกเลี่ยงด้วยอุบายและหลักฐานทุจริตอื่นๆ ถ้าพวกเขาแก้ด้วยใจของเขาเอง ให้มีหิริโอตตัปปะเกิดขึ้นภายในใจ รู้บาปบุญคุณโทษด้วยตนเองก็จะละเว้นการทําผิดศีลโดยไม่ต้องมีใครควบคุม ป.ป.ป. (สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ) ก็ไม่ต้องทํางานให้เปลืองเงินภาษีของราษฎรที่นํามาใช้จ้างเป็นเงินเดือนอย่างทุกวันนี้

แต่เราจะมีรัฐบาลยุคไหนสมัยใดที่จะคิดแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เห็นแต่แก้กันที่ปลายเหตุตลอดมา บ้านเมืองจึงมีแต่ตกต่ำเดือดร้อน ไม่มีที่สิ้นสุด

 

เรื่องบาปที่ทําให้ต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉานทํางานใช้หนี้คืนให้ประชาชน เช่น เกิดเป็นสัตว์ต่างๆ ที่มนุษย์ได้ใช้แรงงานก็ตาม ได้กินเนื้อเป็นอาหารก็ตาม เป็นของที่เรามองเห็นด้วยตา พอเชื่อถือได้ว่าเป็นไปได้จริง หรือเมื่อมาเกิดเป็นคนก็เป็นคนยากจนขัดสนลําบากตรากตรําอย่างนี้ก็พอมองเห็นอยู่ แต่ที่เกิดเป็นสัตว์นรก จะเชื่อได้เพียงใดว่า บาปช่วยส่งให้ลงนรกได้

 

ถ้าท่านผู้ใดสงสัยดังนี้ ข้าพเจ้าก็ใคร่ขอเชิญชวนให้ท่านฝึกปฏิบัติธรรม ทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา เฉพาะที่จะทําให้เกิดตาทิพย์ หูทิพย์ มองเห็นภาพสัตว์นรกและได้ยินเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ผู้มีกรรมเหล่านั้น ต้องทําสมถภาวนาหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าสมาธิ โดยวิธีใช้กสิณแสงสว่างเป็นอารมณ์กรรมฐาน (ดังเช่นการฝึกสมาธิเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกาย ซึ่งใช้ดวงแก้วหรือองค์พระแก้วใสกําหนดเป็น อารมณ์ เรียกว่า กสิณแสงสว่าง เพราะดวงแก้วสามารถรับแสงสว่าง ๆ จากรอบทิศ ใช้ดวงแก้วสว่างๆ นั้นเอง เป็นบริกรรมนิมิต)

เมื่อเจริญภาวนาจนเห็นดวงนิมิตชัดเจน แล้วเจริญต่อให้เห็นดวงธรรม จนเห็นกายในกายผ่านเข้าไปทางศูนย์กลางกายจนถึงกายธรรม ในดวงธรรมของกายธรรมนั้นเองที่เราสามารถอธิษฐานให้ธรรมกาย พาไปรู้เห็นเหตุการณ์ในภพภูมิต่างๆ เช่น เรื่องพวกที่ทํากรรมมุสาวาทให้เกิดโทษต่อผู้คนส่วนรวม มีโทษหนักถึงตกนรกนั้น เราสามารถใช้กายธรรมไปดูถึงนรกขุมนี้ได้ เมื่ออธิษฐานจิต กายธรรมก็จะพาไปถึงนรกขุมดังกล่าว การทรมานที่นั่น จะเป็นการดึงลิ้นสัตว์นรกออกมาตัดบ้าง ใช้เหล็กที่เผาไฟจนร้อนแดงนาบให้ลิ้นไหม้ จนกระทั่งลิ้นหลุดออกจากปาก บางทีก็ถูกนายนิรยบาลใช้เข็มเล่มโตเย็บริมฝีปากบนและล่างให้ติดกัน

 

การกล่าวมุสาเป็นการทําด้วยปาก (ทางวาจา) การทรมานก็จะต้องสาสมกัน โดยรับโทษที่ปาก เจ็บปวดได้รับทุกข์สาหัส แล้วก็จะตาย พอตายก็เกิดใหม่ทันที เกิดแล้วก็ต้องรับโทษอยู่ดังนี้ไม่รู้จบ พวกที่มุสาด้วยการเขียนนี่ยังไม่ได้มีผู้ใดไปดูผลกรรม คงจะต้องใช้สิ่งที่เขียนเช่น ปากกา ดินสอ หรือของแหลมๆ เป็นอาวุธทิ่มแทงตนเองให้เจ็บปวดรวดร้าวไป เพราะตอนเป็นมนุษย์ใช้ปากกาเขียนทําร้ายผู้อื่น

ส่วนที่ชักชวนผู้คนให้เข้าใจผิดไปตามคํามุสาของตน กั้นบุญกุศลของผู้อื่น มีมิจฉาทิฏฐิอย่างแรง ทําลายงานของศาสนา บ่อนทําลายชาติอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เผยแพร่บทความข้อเขียนของตนเพื่อใส่ร้าย ทําลายผู้บริสุทธิ์ พวกนี้ตกมหานรกก็ยังเป็นโทษที่เบาไป ควรไปอยู่ถึงโน่น คือเป็นสัตว์ตัวใหญ่เป็นภูเขา เกาะอยู่ขอบจักรวาล มีแต่ความมืดสนิท และห้อยหัวเหมือนค้างคาว เมื่อคิดผิดจากความเป็นจริง ก็ต้องเอาหัวห้อยลงให้ตรงข้ามกับสัตว์ปกติ เมื่อหิวจัดก็จะค่อยๆ ไต่ไปตามขอบจักรวาล พอจับถูกตัวพวกเดียวกัน ต่างฝ่ายก็จะคว้ากันมากินเพราะคิดว่าเป็นอาหาร เกิดการยื้อแย่งต่อสู้กันเอง ขาที่เกาะขอบจักรวาลก็จะหลุดลง ตัวก็ตกลงไปในทะเลน้ำกรดเย็นเฉียบ น้ำกรดก็กัดเนื้อตัวละลายตายไป แล้วก็เกิดใหม่เป็นตัว มีชีวิตห้อยหัวอยู่อย่างเดิมอีก ทุกข์ทรมานไปอย่างเดิม วนเวียนอยู่อย่างนี้อีกนานแสนนาน

ที่นี่เรียกว่า โลกันตริยนรก สัตว์นรกในที่นี้ตัวใหญ่โต เพื่อให้สาสมกับความชอบเป็นใหญ่สมัยเมื่อยังเป็นมนุษย์ เมื่อตัวใหญ่มากเวลาเกิดทุกข์ถูกทรมานเพราะสิ่งใดก็ต้องรับทุกข์มากไปตามส่วน สถานที่เหล่านี้เมื่อเรายังไม่เห็นอย่าเพิ่งทุ่มเถียงกันว่าไม่มี คนฉลาดจะต้องพยายามพิสูจน์ วิธีพิสูจน์มีอยู่ เป็นคําสอนของพระบรมศาสดาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ไม่ใช่คิดวิธีการอะไรขึ้นมาใหม่เอง เหมือนมีคนบอกเราว่า เมืองเชียงใหม่มีอยู่ เราไม่เคยไปจะเถียงว่าไม่จริงก็เรียกว่าคนดื้อ คนมีปัญญาต้องเก็บเงินทองเป็นค่าเดินทางไปดู

 

ส่วนพวกที่ปฏิเสธการเห็นนรกก็เรียกว่า เป็นคนโง่อีกเหมือนกัน จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามโดยไม่ยอมพิสูจน์ข้อเท็จจริงเลยไม่สมควร พิสูจน์ให้ทั้งรู้ทั้งเห็นเองโดยถ่องแท้แล้ว ย่อมทําให้ศรัทธาในการสร้างสมอบรมบารมีในชาตินี้ของตนเข้มแข็งมั่นคงยิ่งขึ้น มิใช่สร้างอย่างขอไปที

ขอให้เรามาลงมือปฏิบัติธรรมกันเถิด ปฏิบัติด้วยวิธีทั้งรู้ทั้งเห็นจะได้สิ้นความสงสัย ใจของเราเมื่อปฏิบัติให้ถูกวิธี จะสามารถใช้ได้ดังปรารถนา อย่ามัวปล่อยให้ใจตกไปเป็นทาสของกิเลสอยู่เลย เรายึดมาเป็นของเรา เอาคืนกลับมาใช้งานเรื่องทําให้สิ้นสุดภพชาติกันดีกว่า เพราะเราแต่ละคนต่างก็มีเวลาอยู่ในโลกนี้น้อยเต็มที

 

จากหนังสือ จากความทรงจำเล่ม2

อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.011118181546529 Mins