เก็บความประทับใจในวันเด็กกับนิทรรศการ " ผอ อี ผี"
วันนี้ วันเด็ก วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ.2563 ได้มีการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ในงาน "วันเด็กเเห่งชาติ'63 @ วัดพระธรรมกาย เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย"
ซึ่งในงานได้มีการลงทะเบียน เล่นเกม จับของขวัญ เเละมีออกร้านอาหารคาว-หวาน ขนม น้ำต่างๆ เเสนอร่อย ฟรี! นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการกฎเเห่งกรรม ประกอบการเเสดง ตอน " ผอ อี ผี" เปิดให้เข้าชมกัน
เด็กๆได้ทั้งความอิ่มหนำ สำราญ เเละได้รับของขวัญกลับบ้าน รวมทั้งเเง่คิด ธรรมะ เอาไว้สอนใจอีกด้วย
นิทรรศการกฎเเห่งกรรม ประกอบการเเสดง ตอน " ผอ อี ผี"
สถานที่ประกอบด้วย ห้องเเอร์ขนาดใหญ่ 3 ห้อง จุเด็กได้ราว 100 กว่าคน มีผู้บรรยาย นักเเสดง บรรยากาศ เเสง สี เสียง ให้ความรู้ธรรมะเรื่องกฎเเห่งกรรม นำมาฝาก ดังนี้....
..เกริ่นนำ..
"เราทุกคนเกิดมาต้องตาย หลังจากตายเเล้ว จะมีกายละเอียดออกจากร่าง คือ วิญญาณ หรือ ผี เมื่อตอนตายใหม่ๆ อาจจะมึนๆ งุนงง ลักษณะการตายจะมีหลายรูปเเบบ อาจมีเเบบหมดอายุขัย เจ็บป่วยตาย เเก่ตาย หรือเกิดอุบัติเหตุ เช่นถูกรถชนตาย หรืออาจเกิดจากการฆ่าตัวตาย เช่น ผูกคอตาย กระโดดตึกตาย กระโดดน้ำตาย ยิงตัวตาย ซึ่งวิธีการต่างๆล้วนเเล้วเเต่จะเป็นผีด้วยกันทั้งสิ้น "
ซึ่งเราได้พอมีความรู้มาบ้างเเล้วว่า ผีมี 3 ประเภท คือ
ผีประเภทที่ 1 คือ อดีตมนุษย์ที่เพิ่งจะละจากโลกนี้ หรือ พูดง่ายว่าเพิ่งตาย!
ผีประเภทที่ 2 พวกสัมภเวสี หรือที่พวกเรารู้จักกันในนามว่า “ผีเร่ร่อน”
ผีประเภทที่ 3 นั้นก็คือ พวกภุมมะเทวาระดับล่าง หรือพวกผีบ้านผีเรือน
..ห้องที่ 1 นี้เเสดงถึง :
- ผีประเภทที่ 1 อดีตมนุษย์ที่เพิ่งจะละจากโลกนี้ หรือ พูดง่ายว่าเพิ่งตาย!
อดีตมนุษย์ที่เพิ่งจะละจากโลกนี้ไป แล้วก็กลายไปเป็นกายละเอียดที่กำลังรอคอยการส่งผลของบุญและ บาปอยู่ว่าจะไปเกิดอยู่ในภพภูมิใด เช่นบ้างก็วนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ 3 วันบ้าง 5 วันบ้าง 7 วันบ้าง หรือเกินกว่านั้นบ้าง เป็นต้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า ผลของบุญและบาปที่พวกเขาได้เคยกระทำเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ จะได้ช่องส่งผลตอนไหน เมื่อครบ 7 วัน ถ้านึกถึงบุญไม่ออก เพราะว่าใจสับสน หรือไม่ค่อยทำบุญ ผู้ตายก็จะกลับไปที่เดิมที่ตนเองเสียชีวิต เมื่อถึงเวลา เจ้าหน้าที่จากยมโลกที่เราเรียกว่า ยมทูต มีลักษณะผมหยิก ตัวดำ ตาโปน นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง จะมารับตัวไป โดยวิธีการต่างๆ เช่น ล่ามโซ่ตรวน หรือใช้อาวุธคุมไปเฉยๆ แล้วแต่ความถือตัวของผู้ตาย หากเป็นพวกนายทหารมียศมาก ไม่เชื่อฟังก็จะต้องใส่โซ่ตรวนล่ามไปยมโลก หากดิ้นรนขัดขืน ก็จะถูกทุบตี ทำร้าย อย่างไม่มีปรานี
-ผีประเภทที่ 2 พวกสัมภเวสี หรือที่พวกเรารู้จักกันในนามว่า “ผีเร่ร่อน”
คือพวกกายละเอียดที่ไม่มีบุญมากพอที่จะไปบังเกิดอยู่ในสวรรค์ และก็ไม่มีบาปมากพอที่จะต้องไปตกนรก เมื่อ เป็นเช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาต้องกลายมาเป็นผีที่เร่ร่อนไปมาอยู่ภายในเมืองมนุษย์ และไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักเป็นแหล่ง หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่มีบุญพอที่จะมีเรือนเป็นของตัวเอง จนกลายเป็นพวกไม่มีบ้าน นั่นเอง
สำหรับรูปร่างลักษณะของพวกสัมภเวสีนั้น พวกเขาก็จะมีรูปร่างลักษณะคล้ายๆ กับคนที่อดๆ อยากๆ มีร่างกายซูบผอม และก็ต้องคอยอาศัยอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว หรืออาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผี หรือไหว้เจ้าในการประทังชีวิตไปวันๆ โดยพวกเขาจะกินโอชารสหรือส่วนละเอียดของอาหาร ส่วนว่าโอชารสของอาหารจะดีหรือไม่ดีนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของอาหาร กล่าวคือ ถ้าเป็นอาหารที่จัดไว้เพื่อเซ่นไหว้ โอชารสของอาหารก็จะดีและประณีตกว่าโอชารสของอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว และเมื่อพวกสัมภเวสีกินโอชารสของอาหารดังกล่าวเข้าไปแล้ว อาหารเหล่านั้นก็จะเหลือเพียงแค่ส่วนหยาบที่ปราศจากโอชารสของอาหารเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ ว่าอาหารส่วนหยาบนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่สารอาหารและรสชาติของอาหารได้สูญสลายหายไปแล้วนั่นเอง ส่วนอากัปกิริยาในการกินโอชารสของพวกสัมภเวสีนั้น พวกเขาก็จะใช้มือหยิบจับอาหารในส่วนละเอียดขึ้นมากินอย่างหิวกระหายเป็นปกติ
ส่วนว่า พวกเขาจะมีความหิวกระหายมากน้อยขนาดไหนนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า ในพื้นที่นั้นๆ มีอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว หรือมีอาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผีหรือไหว้เจ้ามากน้อยขนาดไหน คือถ้าหากมีอาหารดังกล่าวน้อย พวกเขาก็จะมีความหิวกระหายมาก แต่ถ้าหากมีอาหารดังกล่าวมาก พวกเขาก็จะมีความหิวกระหายน้อย และถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความหิวกระหายน้อยแล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้นความหิวกระหายของพวกเขา ก็ยังมีปริมาณที่มากกว่ามนุษย์ที่หิวโซแบบมากๆ มากๆ
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกสัมภเวสีจะไม่มีอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้ว หรืออาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผีหรือไหว้เจ้ามาหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็ยังสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ด้วยอำนาจแห่งวิบากกรรมที่มาหล่อเลี้ยงพวกเขาเอาไว้ เพื่อให้พวกเขาได้รับความหิวกระหายอย่างที่สุดนั่นเอง
ซึ่งสรุปจบตอนห้องที่ 1 คือ เราต้องมีที่พึ่งคือพระรัตนตรัย หากเรากลัวผี เเละผีจะหายไป เมื่อเราทำความดีเเละเเผ่เมตตา
...ห้องที่ 2 เเสดงถึง : ผีประเภทที่ 3 นั้นก็คือ พวกภุมมะเทวาระดับล่าง หรือพวกผีบ้านผีเรือน
ซึ่งนิทรรศการประกอบการเเสดง ประกอบด้วย
-ผีเเม่นาคที่เกิดในสมัยรัชกาลที่ 3 เเต่ที่ยังเป็นผีไทยที่วนเวียนอยู่เพราะจิตเป็นห่วงลูกเเละสามี
-ผีนางตานี จะสิงอยู่ในต้นกล้วย มีฤทธิ์บ้างเช่นให้หวย เเละทำให้กลัว เป็นต้น
- ผีนางตะเคียน จะสิงอยู่ในต้นตะเคียน มีฤทธิ์บ้างเช่นให้โชค ลาภ เเละทำให้กลัว เป็นต้น
- ผีบ้านผีเรือน หรือ เจ้าที่เจ้าทาง ซึ่งไม่ได้อยู่ในศาลพระภูมิ หากพียงสิ่งที่แค่เชื่อมถึงกันระหว่างมนุษย์เท่านั้น เพราะภพภูมิเขาอยู่ซ้อนกับมนุษย์
-ผีฟ้า มาเป็นเพราะมีความเชื่อ ศรัทธา นับถือ ไหว้ผี ผูกพันอยู่กับผีชอบในการร่ายรำ สืบทอดลูกหลานกันด้วยการมีความเชื่อนี้ส่งต่อๆกันรุ่นสู่รุ่น
-ผีปอบ เป็นผีที่เข้าสิงร่างมนุษย์ ก็เพื่ออาศัยร่างมนุษย์กินอาหาร โดยเฉพาะอาหารดิบๆ หรือ สัตว์เป็นๆหรืออาศัยร่าง เหมือนเป็นร่างทรง เพื่อยกระดับตัวเองว่ามีผู้นับถือมากๆ หรือเพื่อทำร้ายให้เจ็บป่วย หรือตาย เพื่อว่า ตายแล้วจะได้ไปเป็นบริวาร หรือสานุศิษย์ หรือตายแทนเพื่อตนจะได้ไปเกิดใหม่ ไม่ใช่ว่าจะเข้าสิงได้ทุกคน จะเข้าสิงร่างมนุษย์ที่มีวิบากกรรมทางนี้ คือ อดีตเคยนับถือผีเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกยามมีทุกข์ จนเป็นประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา มีจิตผูกพันกับผี และกรรมทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ เช่น ไหว้ผี
-ผีกุมารทอง วิบากกรรมที่ทำให้เป็นกุมารทอง คือ กรรมที่บางคนเคยทำแท้งสมัยเป็นมนุษย์ จึงทำให้ตายในท้อง แบบตายท้องกลม ตายทั้งแม่และลูก เมื่อตายแล้วก็กลายเป็นผีเด็ก และอีกวิบากกรรมหนึ่ง ตอนที่เป็นมนุษย์ชอบเรียนวิชาพวกนี้ด้วย ซึ่งก็เป็นภาพในอดีตชาติของตนครั้งยังเป็นมนุษย์ ที่ได้ไปผ่าท้องเอาเด็กออกมาทำตามขั้นตอนพิธีกรรม แล้วนำมาประกอบพิธีกรรม ส่วนศพของแม่ก็ใช้ด้วย เอาไปทำน้ำมันพราย จึงทำให้ต้องมาเป็นกุมารทอง ไม่ใช่ว่าจะนำมาทำกุมารทองได้หมดทุกคน ต้องมีวิบากกรรมที่เคยทำเขาไว้ คือวิบากกรรมทำแท้งจึงต้องมาตายในท้อง ตายแล้วร่างก็ออกมาเป็นผีเด็ก แล้วก็เคยไปเรียนวิชาพวกนี้มาก่อน จึงมีคนที่เรียนวิชานี้ นำไปประกอบพิธีกรรมแบบที่ตัวเคยทำ
ซึ่งสรุปจบตอนห้องที่ 2 คือ เราต้องมีที่พึ่งคือพระรัตนตรัย เเละเเผ่เมตตาให้ผู้ล่วงลับไปเเล้วเพื่อจะได้บุญจากเราเเล้วเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น
...ห้องที่ 3 เเสดงถึง : สวรรค์ชั้นที่ 1 หรือ ชั้นจาตุมหาราชิกา
-ยักษ์ เหตุที่เกิดมาเป็นยักษ์เพราะเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ทำบุญเจือด้วยโทสะความโกรธ มักหงุดหงิดรำคาญใจ มี 3 ประเภท
1.ยักษ์ชั้นต่ำ ที่บุญน้อยก็จะมีรูปร่างน่าเกลียด ผมหยิก ตัวดำ ตาโปน ผิวหยาบเหมือนกระดาษทราย นิสัยดุร้าย
2.ยักษ์ชั้นกลาง ส่วนใหญ่จะเป็นบริวารคอยรับใช้ของยักษ์ชั้นสูง
3.ยักษ์ชั้นสูง จะมีวิมานเป็นทอง มีรูปร่างสวยงาม มีเครื่องประดับ มีรัศมีแต่ผิวจะดำ ดำอมเขียว ดำอมเหลือง ดำแดงก็มี แต่ว่าดำเนียนมีอาหารทิพย์ มีบริวารคอยรับใช้ ปกติไม่เห็นเขี้ยว ยกเว้นเวลาโกรธจึงจะมีเขี้ยวงอกออกมา
-ครุฑ เหตุที่มาเกิดเป็นครุฑเพราะเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ทำบุญเจือด้วยโมหะ
กำเนิดครุฑมี 4 แบบคือ เกิดแบบโอปปาติกะ ชลาพุชะ อัณฑชะ และสังเสทชะมีที่อยู่ตั้งแต่พื้นมนุษย์ ป่าหิมพานต์ ป่าไม้งิ้ว จนถึงชั้นจาตุมหาราชิกา (ป่าไม้งิ้วอยู่ชั้นที่สองรอบภูเขาสิเนรุ ส่วนชั้นที่หนึ่งอยู่ในมหาสมุทรสีทันดร เป็นที่อยู่ของพญานาค)
ครุฑชั้นสูง เกิดแบบโอปปาติกะมีขนสีทอง มีเครื่องประดับแบบเทพบุตรเทพธิดา มีชีวิตอยู่เหมือนเทวดา แปลงกายได้จะเสวยสุทธาโภชน์ คืออาหารทิพย์แบบเทวดาครุฑบางประเภทผูกเวรกับนาค ก็จะกินนาคเป็นอาหาร บางประเภทก็กินผลไม้หรือเนื้อสัตว์ ครุฑบางประเภท ผูกเวรกับสัตว์นรกในยมโลก ก็จะสมัครใจไปเป็นเจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์สัตว์นรก
-นาค เหตุที่เกิดมาเป็นพญานาคเพราะเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ทำบุญเจือด้วยราคะ
พญานาคเป็นราชาแห่งงู จัดเป็นเดรัจฉานด้วย เพราะมีลำตัวไปทางขวางและไม่สามารถบรรลุธรรมได้
แต่ก็จัดอยู่ฝ่ายสุคติภูมิ อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา นาคแบ่งออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือ
1.ตระกูลวิรูปักษ์ พญานาคตระกูลสีทอง
2.ตระกูลเอราปถะ พญานาคตระกูลสีเขียว
3.ตระกูลฉัพยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง
4.กัณหาโคตมะ พญานาคตระกูลสีดำ
-คนธรรพ์ เหตุที่เกิดมาเป็นคนธรรพ์เพราะเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ทำบุญเจือด้วยกามคุณ
มีความถนัดในการดนตรี การละคร ระบำรำฟ้อน ศิลปะ วรรณกรรม กวีนิพนธ์ เมื่อมีเทวสมาคมครั้งใด
คนธรรพ์จะทำหน้าที่ขับกล่อมให้ความสำราญแก่หมู่ทวยเทพทั้งหลาย คนธรรพ์นี้
ซึ่งสรุปจบตอนห้องที่ 3 คือ เราต้องมีที่พึ่งคือพระรัตนตรัยหมั่นสั่งสมบุญ ทำความดีด้วยใจที่สะอาดบริสุทธิ์เเละจะเกิดบุญเป็นเครื่องชำระจิตให้ผ่องใส (เมื่อจิตผ่องใสย่อมไปสู่โลกสวรรค์)
ชมนิทรรศการจบเเล้ว..สอนตัวเองได้ว่า .. เราทุกคนต้องตาย อย่าลืมสั่งสมบุญให้มากๆนะคะ
โดย สิริกัลยาณมิตร