เสด็จนครกบิลพัสดุ์ โปรดพระพุทธบิดาและชาวเมือง(ตอนที่ ๓)

วันที่ 30 เมย. พ.ศ.2547

 

 

.....ที่กรุงราชคฤห์ ซึ่งมีเศรษฐีราชคฤห์สร้างวิหารถวาย และได้หมั่นถวายทานอยู่เนืองนิตย์ เศรษฐีผู้มีนี้มีน้องเขยชื่อ อนาถบิณฑิกะ เป็นเศรษฐีอยู่กรุงสาวัตถี แคว้นโกศล เดิมมีชื่อว่า สุทัตตะ เป็นคนใจบุญตั้งโรงบริจาคทานแก่มหาชนและคนไร้ที่พึ่ง คนจึงเรียกชื่อใหม่ว่า อนาถบิณฑิกะ แปลว่า ก้อนข้าวของคนยากจน

.....อนาถบิณฑิกะมาหาราชคฤห์เศรษฐีเสมอๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งมาหาในขณะที่ราชคฤห์เศรษฐี กำลังสาละวนสั่งการให้ผู้คนในบ้านเตรียมการถวายทานพระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานในวันรุ่งขึ้น ท่านราชคฤห์ไม่ได้ใส่ใจต้อนรับอนาถบิณฑิกะเท่าที่เคยทำ อนาถบิณฑิกะแปลกใจมาก จึงถามว่าจะมีงานมงคลใหญ่ มงคลสมรส หรือบูชามหายัญ หรือเชิญพระเจ้าพิมพิสารพร้อมเหล่าบริวารมาเลี้ยง

.....ราชคฤห์เศรษฐีตอบปฏิเสธชี้แจงว่า ได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขมาฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น

.....อนาถบิณฑิกะได้ยินคำว่า “พระพุทธเจ้า” ดีใจจนตกตะลึง ย้อนถามพี่ภรรยาให้พูดซ้ำใหม่ถึง ๓ ครั้ง แล้วกล่าวว่า คำว่าพระพุทธเจ้านั้น เป็นคำที่หาฟังได้ยากมากในโลก ตนเองใคร่ขอไปเฝ้าในเวลานั้น ราชคฤห์เศรษฐีชี้แจงว่า เป็นเวลาค่ำคืนไม่สะดวก ให้รอตอนเช้าเสียก่อน

.....อนาถบิณฑิกกระวนกระวายใจใคร่ได้พบเห็นพระบรมศาสดาจนนอนไม่หลับตลอดคืน รีบเดินทางออกไปตั้งแต่ยังไม่ทันสว่าง พระบรมศาสดาตรัสอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ เศรษฐีได้ธรรมจักษุเป็นพระโสดาบัน กราบทูลประกาศตนเป็นอุบาสก ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

.....ภายหลังจากภัตตกิจที่บ้านราชคฤห์เศรษฐีแล้ว อนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลเชิญพระบรมศาสดาเสด็จพร้อมเหล่าภิกษุสงฆ์ไปยังกรุงสาวัตถี แคว้นโกศลบ้าง พระองค์ทรงรับนิมนต์

.....ภิกษุนันทะ พระอนุชาตามเสด็จไปกรุงสาวัตถีด้วย แต่มีพระทัยเร่าร้อนใคร่สึกกลับไปหาเจ้าสาวอยู่ตลอดเวลา พระบรมศาสดาจึงทรงบันดาลด้วยพุทธานุภาพพาเจ้าชายนันทะไปยังภพดาวดึงส์ ระหว่างทางทรงชี้ให้ภิกษุนันทะดูนางลิงที่หนีไฟไหม้ป่าออกมาได้ นั่งอยู่ที่ตอไม้ มีหูขาด จมูกแหว่ง ผิวหนังถูกไฟลวก ขนหลุดกระดำกระด่างน่าสมเพชเวทนา

.....ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระบรมศาสดาทรงชี้ให้พระนันทะทอดพระเนตรเหล่าเทพธิดาที่งดงามที่ยิ่งกว่าหญิงในเมืองมนุษย์หลายเท่า มีฝ่าเท้าแดงดังเท้านกพิราบ รับสั่งถามว่า

.....“นันทะ นางฟ้าเหล่านี้ เมื่อเทียบกับเจ้าหญิงชนบทกัลยาณีแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง”

.....พระนันทะทูลตอบว่า

.....“ถ้าเทียบกันแล้ว นางชนบทกัลยาณีเหมือนนางลิงพิการที่เห็นตัวนั้น พระเจ้าข้า”

.....ความสวยงามของร่างกายนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เราเห็นสิ่งที่สวย เพราะยังไม่เห็นสิ่งที่สวยกว่ามาเปรียบเทียบ ถ้าหลงใหลติดข้องอยู่ในเรื่องเหล่านี้แล้ว จะข้องอยู่ไม่จบสิ้น

.....พระบรมศาสดาตรัสรับรองว่า ถ้าพระอนุชาทรงตั้งพระทัยปฏิบัติธรรม พระองค์ทรงสัญญาว่าจะพานางฟ้ามามอบให้

.....พระนันทะตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างดีนับจากเวลานั้น เหล่าภิกษุที่ทราบเรื่องพากันล้อเลียนขำขันเรียกท่านว่าเป็นลูกจ้างพระบรมศาสดา พระนันทะรู้สึกอายมาก เพราะภิกษุอื่นๆ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพื่อให้สิ้นอาสวกิเลส แต่ท่านจะปฏิบัติเพราะเห็นแก่กิเลส จึงพากเพียรเต็มที่ยิ่งขึ้น บรรลุเป็นพระอรหันต์ในเวลาไม่นานนัก สำหรับสามเณรราหลุบรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว

.....ที่นครสาวัตถีของแคว้นโกศล พระบรมศาสดาทรงประกาศพระศาสนาได้รุ่งเรืองเป็นอันมาก ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธามีตั้งแต่พระราชาผู้ครองแคว้น คือพระเจ้าปเสนทิโกศล และพระนางมัลลิกา พระมเหสี อนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาอุบาสิกาวิสาขา เป็นต้น คนเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญในการใช้ทรัพย์จุนเจือพระศาสนา อนาถบิณฑเศรษฐีซื้อที่ดินของเจ้าชายเชตด้วยการเอาเหรียญทองคำปูเต็มพื้นดิน ยังขาดอยู่ตรงบริเวณซุ้มประตู เจ้าของที่ดินขอบริจาคโดยให้ใช้ชื่อตนเป็นชื่ออาราม วัดแห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า เชตวันมหาวิหาร หรือ เชตวนาราม ส่วนมหาอุบาสิกาวิสาขาลืมห่อเครื่องประดับกายมีค่าที่สุดไว้ในวัด พระอานนท์ซึ่งเป็นพระพุทธอุปัฏฐากเก็บรักษาไว้ให้ นางเห็นว่าเป็นของที่พระภิกษุจับต้องแล้ว จึงมีกุศลจิตประกาศขาย นำทรัพย์มาสร้างเป็นวัดอีกแห่งหนึ่งชื่อ บุพพาราม

.....อย่างไรก็ตาม แม้จะเสด็จจาริกไปยังแคว้นใดๆ พระบรมศาสดมักเสด็จกลับยังกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธเสมอ

 

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0010669668515523 Mins