บ่วงกาม - บ่วงกรรม
เรื่องอยากที่เป็นทางนำมาซึ่งความทุกข์อยากหนักให้แก่ชีวิตของคนเรา เห็นจะไม่มีอะไรเกินเรื่องอยากรวย อยากมีอำนาจ และอยากเกี่ยวกับเรื่องเพศ
ข้าพเจ้ารู้จักชายหนุ่มอายุเท่าลูกชายคนโตอยู่คนหนึ่ง เวลานี้ชีวิตของเขาหันมาเข้าวัดปฏิบัติธรรมแล้ว ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงชีวิตช่วงที่ยังไม่พบกัลยาณมิตรอย่างพระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้ง สองของ
วัดพระธรรมกาย อย่างคุณยายอาจารย์ และแม้อย่างข้าพเจ้าว่า ชีวิตในระหว่างเวลาสูญเปล่าเหล่านั้นมืดมนและมืดมัว ไม่รู้ว่าค่าของชีวิตคืออะไร คิดว่าเมื่อตนเองเกิดมาเป็นลูกผู้ชายแล้ว ต้องทำตัวให้มีอำนาจ ยิ่งใหญ่ให้ได้ ให้ใหญ่และดังระดับเจ้าพ่อ ให้มีผู้คนมาเป็นบริวารเป็นลูกน้องให้มากๆ
การมีลูกน้องจำนวนมากๆ ได้ จำเป็นที่ตนเองจะต้องอุปการะลูกน้องเป็นอย่างดี จึงจะได้รับความสวามิภักดิ์ ปัจจัยสำคัญที่จะใช้อุปถัมภ์พวกพ้อง เงินต้องมีให้มากไว้ มีเงินมากแล้ว เรื่องอื่นจะตามมาโดยง่าย
เมื่อไม่รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ อยากรวยเร็วๆ วิธีหาเงินที่ง่ายที่สุดจึงหนีไม่พ้นเรื่องอบายมุข เขาเปิดบ่อนการพนัน เก็บเงินค่าต๋ง (เหมือนเก็บค่าเช่า สถานที่ แต่เก็บทุกเกมที่เล่นจบลง) ซื้อหุ้นบาร์ หุ้นโรง
อาบอบนวด จนกระทั่งบ่อนเล่น สนุ้กเกอร์ ได้เงินมากมายตามต้องการจริงๆ คืนหนึ่งๆ รวมแล้วเป็นหมื่นๆ บางคืนถึง ๔-๕ หมื่น
ฟังเขาเล่าแล้ว ข้าพเจ้าจึงถามว่า
"คุณมีเงินมากๆ ยังงั้น มีความคิดในการใช้เงินในทางดีๆมั่งมั๊ย"
ถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเงินที่ได้มาจากการทำอกุศลมักไม่บันดาลใจเจ้าของเงินให้คิดทำกุศลเลย ไม่ว่ารายไหนรายนั้น ยกเว้นแต่จะทำเหมือนแก้บน คือมีข้อต่อรอง ไม่อยากให้มีเคราะห์กรรมเกิดแก่ตน ก็ทำบุญป้องกัน
อีกฝ่ายตอบว่า "ไม่มีเลยครับป้า ก็มันหุ้นอยู่ในสถานที่พรรค์ยังงั้น ผมก็ต้องไปดูแลกิจการอยู่แทบทุกคืน ผมก็ไปมั่วใช้บริการอยู่เป็นประจำ"
"เอ้อ ไอ้เรื่องบ่อนการพนัน ไม่ต้องเล่าให้ป้าฟังหรอก ป้าพอรู้เพราะสมัยเด็กๆ เคยวิ่งตามย่าไปขายขนมในบ่อน เห็นอยู่ว่าแต่ละคนที่ไปเล่น ล้วนแต่พก "ตัณหา" ความอยากรวยกันเข้าไปเพียบ จะเอาเงินของตนไปดูดเงินของคนอื่นกันทั้งนั้น หน้าตาแต่ละคนเคร่งเครียดเข้าหากัน โกงแบบไหนได้ก็โกงกันทุกรูปแบบน่ะแหละ ใช่ไหม รึว่าบ่อนของคุณไม่โกงล่ะ"
"บ่อนของผมก็โกงกันสารพัดแหละครับ ทำตำหนิที่ตัวไพ่ ใช้แม่เหล็กบังคับ ใช้เครื่องมือ ใช้อุบายร้อยแปด รวมทั้งหน้าม้า (หมายถึงคนที่นัดแนะกันไว้ให้ทำตามที่สั่ง เพื่อหลอกและตบตาคนที่เข้ามาเล่นให้หลงเชื่อเสียการพนันจนหมดตัว) ต้มตุ๋นสารพัดแบบ ความอยากรวย ทั้งของเจ้าของบ่อน ทั้งของคนเล่น ไม่มีคุณธรรมอะไรเหลือกันอยู่เลย
เรื่องศีลเหรอครับ ข้อเดียวก็ไม่มีเหลือ พอเงินหมดเข้า มันทำชั่วกันได้ทุกอย่าง จี้ปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ ลักขโมย ขายตัว โกหก กลุ้มหนักเข้าก็กินเหล้า มอมเหล้า มันเสียเงินไปง่าย เรื่องจะให้ไปหาเงินใหม่โดยวิธียากๆ นักเลงพนันมันไม่ทำหรอกครับ มันต้องไปหาวิธีง่ายๆ โดยวิธีทุจริตอย่างนี้แหละครับ"
"แล้วเรื่องโรงอาบอบนวด ผมก็จะเล่าให้ป้าฟัง ป้าจะให้ผมเริ่มต้นเล่าตรงจุดไหนดีล่ะครับ"
"อ้าว ป้าไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย เกิดมาไม่เคยเข้าไปเลย แค่บาร์แค่คลับยังไม่รู้จัก ไอ้โรงอาบนั่นไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้เป็นยังไง แค่นั่งรถผ่านหรือขับรถผ่านก็ให้รู้สึกทั้งเกลียดทั้งกลัว แม้แต่มองเข้าไปยังไม่กล้า
ยังกับกลัวไอ้ตัวเสนียดอะไรมันจะโดดเข้ามายังงั้นแหละ เป็นยังงั้นมานานแล้ว จนแก่ปูนนี้ก็ยังนึกรังเกียจไม่หายสักที รู้สึกเหมือนสถานที่เหล่านั้น เป็นที่ชวนแต่ให้คนทำบาป แล้วคุณจะให้ป้าถามคุณตรงจุดไหนกันล่ะคะ ก็มันไม่รู้ซักจุด"
อีกฝ่ายหัวเราะเอิ๊กอ๊าก "จริงซี ผมลืมไป งั้นผมค่อยเล่าเองก็แล้วกัน เริ่มที่เรื่องผู้หญิงก่อน มีหลายเกรดนะครับ มีพวกธรรมดาทั่วไป พวกนี้ไปนั่งคอยอยู่ในตู้กระจก ให้ผู้ชายไปเลือกว่าจะเอาคนไหน เราเรียกว่าตู้ปลาส่วนพวกที่สวยเนี้ยบขึ้นไปอีกหน่อย เกรดสูงขึ้นพวกนี้นั่งกันอยู่ที่โซฟาร์ หรือชุดรับรอง ส่วนพวกที่มีชื่อเสียงเป็นนางแบบ เป็นดารา พวกนี้เกรดสูงกว่าเพื่อน อยู่ในห้องต่างหาก ราคาก็เป็นตามเกรด เรื่องค่าชั่วโมง นี่ สถานที่เค้าเก็บอยู่แล้วส่วนเรื่องจะออกไปนวดพิเศษกันนอกสถานที่ ให้ตกลงราคากันเอง"
"อ้อ แล้วที่เค้าทำงานในสถานที่เนี่ย ต้องทำเวลาให้ครบจำนวนชั่วโมงอะไรกันมั้ย รายได้เอาจากไหน หมอนวดมีเงินเดือนรึเปล่า" ข้าพเจ้าซัก เพราะคิดว่าถ้ามีเงินเดือน ก็ไม่น่าต้องขายตัวต่อ
"เงินเดือน เค้าจ่ายให้นะครับ เพียงแต่เค้าต้องมีชั่วโมงบินครบตามกำหนด คือเดือนหนึ่งทางสถานที่เค้าจะกำหนดว่าทำงานได้ครบชั่วโมงรึเปล่า ถ้าครบเงินเดือนพวกนี้เป็นหมื่นนะครับ บางรายถ้าชั่วโมงเค้าขาดไปมั่ง และถ้าเงินเดือนจำนวนมากกว่า พวกหมอนวดเค้าก็จะใช้เงินส่วนตัวซื้อชั่วโมงตนเองให้ครบเพื่อเอาเงินเดือน แต่ถึงแม้เงินเดือนจะเป็นหมื่นกันยังไง พวกนี้ก็ไม่เคยพอหรอกครับ ต้องหาพิเศษกันอยู่เรื่อย"
"วิธีนวดเค้าไม่ต้องเรียนกันหรอกเหรอ เรียกว่าหมอนวดบังหน้าเหรอ ที่ซ่อนไว้เบื้องหลังคือขายตัวเท่านั้นเองใช่ไหม" ข้าพเจ้าถามอย่างห่อเหี่ยว ความอยากได้เงิน อยากเป็นคนทำงานสบาย ยอมปล่อยตัวสัมผัสทางเพศกับใครก็ได้ โดยไม่ต้องรู้จักกันเลย
นี่คืออำนาจของกรรม ใครก็ตามถ้ามีกรรมเก่า เช่น กรรมเรื่องกาเมสุมิจฉาจารค้างอยู่ ยังให้ผลไม่หมด ตนยังต้องใช้หนี้ต่อแล้ว กรรมนั้นก็จะบีบบังคับให้เจ้าตัวยินดีกระทำ พอใจกระทำสิ่งที่คนธรรมดาอื่นๆ
เขารังเกียจและกระทำไม่ลง อาชีพบางอย่างก็ในทำนองเดียวกัน คนที่มีกรรมอยู่จะยอมกระทำอย่างหน้าชื่นตาบาน เช่น งมหาของในคลองน้ำเน่าขนขยะ กำจัดอุจจาระ มุดลงไปล้างท่อน้ำทิ้งตามถนนสายต่างๆ ฆ่าสัตว์
ขนมูลสัตว์ไปขาย เช่น ขี้เป็ดขี้ไก่ ขี้หมู ข้าพเจ้าคิดต่อไปเรื่อยเปื่อย มาหยุดชะงักเมื่ออีกฝ่ายตอบ
"เค้าเรียนวิธีนวดครับ มีครูสอนให้ สอนวิธีนวดเส้นนวดสายให้หายเมื่อยด้วย สอนเลยเถิดไปถึงเรื่องอื่นๆด้วย(เรื่องเพศ) ครูมีทั้งผู้หญิงผู้ชาย คนเรียนต้องเสียค่าเรียนด้วย เสียตัวให้อีกด้วย"
เมื่อเห็นข้าพเจ้าทำหน้าอย่างแปลกใจ ว่าทำไมต้องสอนกัน พิสดารขนาดนั้น อีกฝ่ายก็รีบอธิบาย
"ป้าอย่าทำหน้าอย่างงั้น นี่เรื่องจริงครับ ก็ผมดูแลการทำงานของพวกนี้อยู่ รู้หมดทุกซอกทุกมุมแหละครับ เขาต้องสอนบทปฏิบัติกันเต็มที่ คนเรียนจะได้จำได้แม่นยำ โดยเฉพาะเรื่องอย่างว่า พวกเค้ามีวิธีพลิกแพลงเอาใจลูกค้ากันถึงขนาด"
"พอแล้วๆ ป้าพอจะนึกเห็นภาพเป็นฉากแล้ว คนเรามันติดใจในรสสัมผัสกำหนัดยินดีในอารมณ์พวกนี้ ก็ต้องยอมเสียเงินเข้าไปใช้บริการ คนให้บริการก็อยากได้เงิน มันเป็นตัณหากันตรงนี้ไง พอต่างฝ่าย
ต่างได้รับสมใจแล้ว ความทุกข์มันตามมาเป็นระลอกเลย คุณมองเห็นรึยัง" ข้าพเจ้าตัดบท
"เห็นซีครับ เห็นแล้ว ผมจึงเข้าวัดแจ้นอยู่นี่ไงครับ ไอ้ฝ่ายให้บริการได้เงินมาก็จริง แต่มันก็เสี่ยง บางทีติดโรคกันงอมแงม เพราะพวกแขกไม่ใคร่ยอมใช้ของป้องกัน ชอบเนื้อสดๆ กันจริงๆ ยิ่งเวลานี้โรคเอดส์
ระบาด พวกนี้ก็เสี่ยงกันร้อยเปอร์เซ็นต์ทีเดียวครับ ยังมีอีกนะครับ
ผู้หญิงไทยเราตัวเล็กนิดเดียว เวลาต้องรับแขกพวกซาอุมั่ง นิโกรมั่ง แม้แต่ฝรั่งก็เถอะ ตัวใหญ่เบ้อเริ่ม คุณป้าก็คิดดู ทารุณแค่ไหน แล้วพวกนี้ก็ชอบเป็นโรคกามวิปริต พวกหมอนวดนะครับ บางคนต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์เลย ถ้าเคราะห์หามยามซวยเจอพวกนี้เข้า" ผู้ชำนาญโลกีย์อธิบายเสียงแจ้ว
"แล้วคนที่ไปเที่ยวอย่างนี้น่ะ มีแต่เศรษฐีใช่ไหม เพราะครั้งหนึ่งๆ มันเสียเงินเป็นพันๆ" ข้าพเจ้าถามไปอย่างไม่รู้จริงๆ เสียงฝ่ายนั้นตอบว่า
"มีทุกระดับเลยครับป้า ทั้งเศรษฐีทั้งยาจก เรื่องตัณหาความอยากในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนี่ มันยกเว้นใครเสียเมื่อไหร่กัน มันมีขีดความอยากไม่ต่างกันหรอกครับ หน้ามืดตามัว บางทีเอาเงินมาใช้หาความสำราญเรื่องนี้หมด ลูกเมียที่บ้านจะมีกินมีใช้มีไปโรงเรียนหรือไม่ ไม่สนใจหรอก ขอให้ตัวสนุกเป็นพอ เพราะภรรยาทางบ้านให้ความสุขได้ไม่ถึงใจอย่างผู้หญิงพวกนี้ เงินหมดกลับบ้านก็มีแต่เรื่องทะเลาะกันในครอบครัว มันจะสุขได้ยังไงเล่าครับสุขวันเดียวทุกข์ไปตลอดเดือนเลย"
"อื้อฮือ คุณเนี่ยแจงทั้งคุณทั้งโทษของกามได้มากกว่าในพระไตรปิฎกอีกซะละมั้ง" ข้าพเจ้าว่า
อีกฝ่ายถามว่าในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่าอย่างไร ขอฟังสักตอนเดียวก็พอ ข้าพเจ้าพูดเท่าที่จำได้ว่า..
"ในพระไตรปิฎกกล่าวเรื่องคุณของกามว่า รูป เสียง กลิ่น รส เย็นร้อนอ่อนแข็ง ที่สัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เหล่านี้ส่วนที่เป็นของน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก เป็นที่ตั้งของความกำหนัดเหล่านี้แหละเป็นคุณของกาม"
"ก็ที่คุณพูดว่า หมอนวดในโรงนวดที่คุณเป็นเจ้าของหุ้นด้วยนั่น บางรายสวยปิ๊งเชียวไม่ใช่หรือ นั่นแหละคุณของกาม ทำให้ลูกค้ามาอุดหนุนกันคับคั่ง ยังพวกเสียง กลิ่น รส กายสัมผัส เหล่านั้นก็เหมือนกัน
ไง คุณว่ามันเป็นคุณประโยชน์ของเจ้าตัวและ สถานบริการมั๊ยล่ะ แขกที่ไปรับบริการมีความสุขนักก็เป็นคุณของกามไม่ใช่เหรอ" ข้าพเจ้ากล่าว
"คร้าบ..คร้าบ.. เป็นคุณของสถานบริการจริงด้วยคร้าบ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมหมั่นไส้ไอ้เสี่ยคนหนึ่ง มันไปแย่งหมอนวดคนที่ผมต้องการ ผมเลยท้าดวลประมูลกับมัน เพิ่มกันตั้งแต่มันเสนอ ๕ พัน ผมขึ้นเป็นหมื่น
ว่ากันเรื่อยไป เป็นไงรู้มั้ยครับป้า ผมเป็นฝ่ายชนะ ประมูลมาแสนนึง
โรงนวดนั่นให้ผมเป็นเจ้าของผู้หญิงคนนั้นได้ ๒ เดือน เรียกว่าซื้อชั่วโมงของเธอไว้หมด ๒ เดือน ค่าตัวเวลาหิ้วไปนอนด้วยกันที่อื่นอีกต่างหาก ผมใช้จ่ายเงินเวลานั้นเดือนละหลายๆ แสน เล่นการพนันก็มือขึ้น ชนะอยู่เรื่อย น่าเสียดายเงินเป็นแสนเป็นล้าน ใช้ในเรื่องเสียประโยชน์หมด เสียงผู้พูดอ่อยลง
"นั่นแหละ คุณของกามละ มันทำเงินให้เจ้าของสถานบริการ กับผู้หญิงคนนั้นเป็นแสนๆ เลยส่วนที่คุณเสียเงินนั่นมันโทษของกาม โทษตามพระไตรปิฎกท่านว่าไว้อยู่ตอนหนึ่งว่า
คนในโลกนี้เลี้ยงชีวิตด้วยความขยัน จะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม การคิดคำนวณ การเกษตร การค้าขาย การเลี้ยงสัตว์ การรับราชการ หรือจะประกอบศิลปะใดเป็นอาชีพก็ตาม ล้วนแต่ต้องตรากตรำ ต่อความหนาวร้อน หงุดหงิดรำคาญที่ต้องถูกรบกวนด้วยลม แดด เหลือบ ยุง สัตว์เลื้อยคลาน ต้องตายด้วยความหิวกระหายก็มีอยู่ นี่เป็นโทษของกามเป็นทุกข์ที่เห็นๆ กันอยู่ ขนาดขยันถึงปานนี้ พยายามเต็มที่แล้ว บางทีก็ยังหาทรัพย์มาไม่ได้ ต้องเศร้าโศก ลำบากลำบน ตีอกคร่ำครวญ ถึงกับเสียใจหลงเลอะเลือนว่าความขยันของตนเป็นโมฆะ เป็นความพยายามไร้ผล นี่ก็โทษของกาม
ทีนี้ถ้าผู้นั้นขยันทำมาหากินแล้วมีโภคทรัพย์เกิดขึ้น ก็ไม่ใช่สุขกลับต้องเป็นทุกข์ เพราะต้องคอยป้องกันรักษา ไม่ปรารถนาให้ทางการมาริบเอาไป ไม่ต้องการให้โจรมาปล้น ไม่ต้องการให้ไฟไหม้ ไม่ให้เกิดวาตภัย อุทกภัย หรือทายาทที่อัปรีย์มาคดโกงเอาไป ขนาดป้องกันเต็มที่อย่างดีแล้ว ยังเกิดวิบัติไปได้ด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ต้องเศร้าโศกเสียใจลำบาก รำพัน ตีอกคร่ำครวญว่าสิ่งที่เคยเป็นของเรามากลายเป็นของคนอื่นไป
กามเหล่านี้เองบังคับให้คนทะเลาะวิวาทกัน พวกพระยา มหากษัตริย์ก็ทะเลาะกัน พวกสมณชีพราหมณ์ พวกคฤหบดีก็ทะเลาะกันเอง แม้แม่กับลูก พ่อกับลูก พี่กับน้อง เพื่อนกับเพื่อน ทะเลาะกันได้ทั้งสิ้น บางทีถึงลงมือทำร้ายกันด้วยมือ ด้วยไม้ ศาสตราอาวุธ ถึงตาย หรือปางตายกันไปทีเดียว
ท้ายที่สุดแม้ประเทศกับประเทศก็ทำสงครามกัน ทำให้ผู้คนพลเมืองพิการ ล้มตายเป็นจำนวนมาก กามบังคับใจคนให้กระทำความผิดชนิดต่างๆ ในที่สุดทางการบ้านเมืองต้องจับไปลงโทษด้วยวิธีทรมาน
มีความตายเป็นที่สุด กามบังคับให้ต้องทำทุจริตทั้งทางกาย วาจา ใจ เมื่อตายแล้วจึงต้องไปทุคติ
นี่ป้าเอามาพูดอย่างสำนวนชาวบ้านนะ (อยู่ในมหาทุกขักขันธสูตร พระสุตตันตปิฎก ภาษาไทยฉบับหลวง เล่ม ๑๒ หน้า ๑๓๔-๑๓๗)
คุณว่าโทษของมันมีอย่างนี้ จริงมั้ย เคยทุกข์เพราะมันบังคับเอาขนาดไหน ลงทุนประมูลผู้หญิงแพศยาได้เป็นแสนๆ เวลานั้นอย่าพูดเรื่องทำบุญเลย คิดให้พ่อให้แม่กิน ยังไม่คิดเลยใช่ไหม คู่สนทนาของข้าพเจ้ารับคำด้วยใบหน้ายิ้มแห้งๆ พูดขัดจังหวะหน่อยหนึ่งแล้วข้าพเจ้าก็ให้เขาเล่าต่อไปว่า ผู้คนในสถานบริการเหล่านั้นต้องมีทุกข์เพราะตัณหากันต่อไปขนาดไหน
"ป้าครับ ผู้หญิงที่มาสมัครทำงานนะครับ บางคนตอนกลางวันก็เป็นผู้หญิงดีๆ มีงานทำเป็นหลักฐาน บางคนเป็นนักศึกษา บางคนเป็นภรรยาข้าราชการ ทหาร ตำรวจ อะไรๆ ก็มีนะครับ กลางคืนมา สมัครเป็น
หมอนวดที่สถานบริการ อ้างว่าเงินไม่พอใช้ คุณป้าดูซีครับเป็นตัวอย่าง เรื่องตัณหาอยากได้เงินมั้ยครับนี่ พวกที่มีสามีนะครับ บางคนสามีก็เป็นฝ่ายอนุญาตหรือขอร้องเสียเองด้วยซ้ำไป
ตอนได้เงิน มันก็ดูเป็นคุณของกามดีอยู่หรอกครับ แต่พอตอนติดโรค หรือตอนที่เจอคนรู้จักเข้าก็เสื่อมเสียชื่อเสียง เป็นทุกข์กันแย่ไป บางรายสามีไม่รู้เรื่อง พอรู้ว่าภรรยานอกใจทำอาชีพพิเรนทร์อย่างนี้ก็เลยทะเลาะทุบตีหย่าร้างกัน พลอยให้ลูกเต้าเดือดร้อนอับอายไม่รู้จบ
ไอ้ที่ร้ายกว่านี้นะครับ ทำอาบอบนวดบางทีรายได้ไม่ดี เพราะหน้าตาไม่สวยมั่ง แก่ไปมั่ง ไม่มีใครซื้อชั่วโมงมั่ง บางทีหาหน้าม้าไปเชียร์แขกก็แล้ว ก็ยังไม่ได้สมใจ ถึงกับไปรับจ้างเต้นแก้ผ้าตามไนท์คลับแถวพัฒน์พงษ์ก็มี ผมเข้าไปดูนะครับ ก็ผมมีหุ้นอยู่ด้วยในเวลานั้น พวกผู้หญิงนุ่งแต่กางเกงในตัวเดียวปล่อยหน้าอกล่อนจ้อน เดินไปตามโต๊ะที่แขกนั่ง ให้คนโน้นจับทีคนนี้จับที จับโน่นล้วงนี่.."
"นี่คุณ ป้าชักจะฟังไม่ไหวแล้ว คุณไม่รู้สึกสมเพชหรือทุเรศ อะไรเลยเหรอ ให้ป้าถามคุณไปเรื่องอื่นเถอะ เรื่องพรรค์อย่างว่าที่ในบาร์ของคุณนี่ มันหวาดเสียวขึ้นทุกที" ข้าพเจ้าเบนความสนใจ
เมื่อถูกข้าพเจ้าตัดบท คู่สนทนาก็ต้องระงับเรื่องพิสดารอีกมากมายในบาร์แห่งนั้นลงไป แล้วก็เล่าความรู้สึกของเขาออกมาว่า
"ครั้งนั้นแหละครับป้า ที่ผมไปเห็นในบาร์ ผมมีความรู้สึกว่านั่นมันไม่ใช่คน มีแต่สัตว์อะไรไม่รู้ชนิดหนึ่งมั่วสุมกันอยู่ ผมรู้สึกรังเกียจและเริ่มนึกถึงชีวิตของตนเองว่าควรจะมีอะไรดีกว่านี้ และมาสลดใจจน
เลิกมั่วผู้หญิงอย่างว่าได้เด็ดขาด ก็ตอนที่ผมเลือกนางในตู้กระจกไปนวดและเลยไปนอนกับผมคนหนึ่ง
ในตอนกลางคืนที่ผมเลือกเธอ ผมก็เห็นว่าเธอสวยปิ๊งขนาดเยี่ยมเชียวครับ ก็พาไปนอนด้วยกัน ตอนรุ่งเช้าตื่นขึ้น ผมเห็นเธอ เจ้าประคุณเอ๋ย ช่างขี้รี้วขี้เหร่อะไรขนาดนั้นก็ไม่รู้ ผมมาทุเรศตัวเองว่านอนกะผู้หญิงที่ตัวเองไม่นึกรักเลย แถมเกลียดอาชีพของเธอด้วยซ้ำ แล้วยังเป็นคนขี้เหร่ขนาดหนัก นอนเข้าไปลงได้ยังไงก็ไม่รู้ ฤทธิ์เหล้าฤทธิ์เบียร์มันพาไปแท้ๆ
วันนั้นสลดใจถึงที่สุด ตั้งแต่นั้นก็เลยเลิกไปมั่วในสถานที่พวกนั้นเด็ดขาดเลยครับ แต่ก็ยังไม่รู้จะใช้ชีวิตทำอะไร เงินก็มีอยู่เยอะแยะเลย เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ"
"ประเทศไหนมั่งล่ะ แล้วไปเห็นตัณหาพาทุกข์บ้างมั้ย เล่ามาเถอะ เล่าเรื่องที่คุณประทับใจก็แล้วกัน เดี๋ยวป้าตีออกมาเป็นเรื่องตัณหาได้ทุกเรื่อง เพราะมนุษย์เรามันมีตัณหานั่นแหละควบคุมจิตใจอยู่ เมื่อไรพบกัลยาณมิตร ฟังพระสัทธรรม และมีศรัทธาในการคิดจะถอนตนให้พ้นจากวัฏฏะ นั่นแหละจึงจะเริ่มกำจัดตัณหา" ข้าพเจ้าพูด
"คร้าบ.. คร้าบ.. ผมจะเล่าที่ผมเจอเรื่องสะดุดใจมา เรื่องแรกเป็นเรื่องที่ผมพบที่ประเทศซาอุ(ซาอุดิอาระเบีย) เหมือนเรื่องที่เค้ามาออกข่าวในโทรทัศน์บ้านเราเลยครับ ผมเจอผู้หญิงคนหนึ่งอายุราว
๒๔-๒๕ ปี วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไปตามถนน พอเห็นหน้าผมกับเพื่อน เธอก็รู้ว่าเป็นคนไทย เธอบอกให้ผมช่วยส่งกลับไปที่สถานทูตไทย เธอจะให้ทางสถานทูตส่งเธอกลับประเทศไทย แล้วเธอก็เล่าว่า บริษัททาง
เมืองไทยส่งเธอไปรับจ้างเป็นแม่บ้าน แต่ครอบครัวนั้นมันถือเธอเป็นนางบำเรอประจำบ้านเสียเลย มีผู้ชายกี่คนในบ้านมันข่มขืนเธอหมด ยังไปเอาเพื่อนข้างนอกบ้านมาร่วมด้วยอีก เธอเสี่ยงตายหนีออกมาเวลามันเผลอ คิดว่าเจอคนไทยที่ไหนก็จะขอให้ช่วย"
"โธ่เอ๋ย น่าสงสารจริง นี่แหละตัณหาอยากได้เงิน จะเอาแค่อาชีพในบ้านเรา กลัวรายได้ไม่มาก กระเสือกกระสนไปให้เขาข่มเหง ถึงบ้านเมืองเขาส่วนไอ้พวกแขกบ้ากามพวกนั้นมันก็มีตัณหาเต็มหัวใจ มันนั้นแหละ ทำผิดศีลข้อ ๓ อย่างทารุณ มันครบองค์กรรมบถยังงั้น ตกนรกแน่ๆ อ้อ แล้วรายที่เล่านี่คุณช่วยแกได้มั้ย"
ข้าพเจ้าออกอุทานด้วยความสลดใจพูดไม่ถูก นึกถึงความอยากได้เงินของคนเราจนลืมอันตรายต่างๆ "ผมไม่ยอมหรอกครับ ต้องช่วยจนได้ ผมเอาแกซ่อนไว้ในที่พักของผม แล้วไปติดต่อคนงานไทยที่มีหน้าที่ขับรถขนดินไปทางถนนที่สถานทูตไทยตั้งอยู่ คนไทยด้วยกันก็เต็มใจช่วย แต่หมอนั่นก็ดูมีเบื้องหลังอยู่เหมือนกัน รับตัวไปแล้วก็เอาไปนอนด้วยเสียหลายคืน เพราะอยู่นั่นอดอยากเรื่องนี้กันทั้งนั้น แล้วถึงพาไปส่งสถานทูตให้ ผู้หญิงรายไหน ก็รายนั้นแหละครับ ไปประเทศนี้โดนทำร้ายอย่างนี้แทบไม่มีเหลือ ผมว่าเรื่องนี้ก็รู้กันมานานแล้ว ทำไมไม่หวาดกลัวกันมั่ง เดี๋ยวนี้ก็ยังไปกันอยู่นะครับ"
"เรื่องนี้นอกจากมีตัณหาอยากได้เงินแล้ว ป้าว่าเป็นด้วยอำนาจเวรเก่าด้วย คนบางคนเคยทำกรรมร่วมกันมา ทีนี้คู่กรรมของเค้าอยู่เมืองโน้น กรรมบันดาลใจให้เร่าร้อน อยู่บ้านเมืองของตัวไม่ได้ อยากไปแต่ที่นั่น ไปใช้กรรมหมดแล้วจึงมีทางกลับ เรื่องของกรรมถ้ามันตามทันแล้ว อยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้น" ข้าพเจ้าพูดให้ข้อคิดอีกฝ่ายไปในตัว
"อีกเรื่องที่จำติดตาติดใจไม่มีลืม ก็เรื่องการลงโทษที่เมืองแขกนั่น วันที่ผมไปดู มันทำโทษ ๓ คน รายคนไทยเป็นเด็กหนุ่มอายุเพิ่งยี่สิบกว่านิดหน่อย มีความผิดขโมยของ มันใช้มีดควั่นข้อมือสดๆ เลยครับ ไม่มีการฉีดยาชา ร้องเจ็บปวดโหยหวนทีเดียว พอมือขาดออกจากแขน มันก็รูดหนังหุ้มกระดูกแล้วเย็บกันสดๆ ผม สงสารแทบแย่ อีก ๒ คนเป็นคนฟิลิปปินส์คนหนึ่ง คนเกาหลีคนหนึ่ง นี่ถูกประหารชีวิตใช้วิธีตัดคอ ทางการของเค้าประกาศทางโทรทัศน์ให้คนรู้ทั่วประเทศก่อนวันประหาร ๗ วัน คนก็พากันไปดูแน่นไปหมด
รายฟิลิปปินส์นั่น เป็นคนขับรถให้นายจ้างชาวเกาหลี ตอนเช้าขับรถไปส่งนายแล้ว ขับกลับมาบ้าน มาข่มขืนเมียของนาย โทษประหารชีวิต รายเกาหลีนั่น ทะเลาะกับเพื่อนชาติเดียวกันเรื่องผลประโยชน์รู้กัน ฆ่าเพื่อนตาย แล้วชำแหละศพเพื่อนเป็นชิ้นๆ แช่ตู้เย็นไว้ทำอาหารกิน กินไปได้ไม่กี่วัน เพื่อนข้างห้องเห็นผิดสังเกตว่าอีกคนหนึ่งหายไปก็เลยไปแจ้งความ ตำรวจค้นบ้าน เห็นเนื้อศพในตู้เย็นเป็นหลักฐานเลยถูกตัดสินประหารชีวิต ที่ลานประหาร นักโทษถูกมัดมือไพล่หลังนั่งอยู่กลางลานไม่มีการปิดตา เพชฌฆาตเอามีดมาลับไปลับมากับหินให้นักโทษมองเห็นอยู่อย่างนั้น มีดของเค้ายาว แต่มันโค้งๆ คมกริบ แล้วก็มีเจ้าหน้าที่อีกคนนำเอกสารความผิด และคำตัดสินมายืนอ่านให้นักโทษและผู้คนฟัง เพชฌฆาตลับมีดได้ที่เสร็จแล้ว ก็จะถือมีดเดินรอบนักโทษ เดินวนอยู่เรื่อยๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะตัดคอรอบไหน พอได้ที่ เค้าก็เอามีดโค้งนั่น เกี่ยวคอฉับเดียว หัวขาดกระเด็นหลุดจากตัวไปเป็นวา เลือดจากลำคองี้พุ่งฉูดขึ้นไปเลย"
ข้าพเจ้าฟังเสียลืมขัดคอ คงจะทำหน้าตาเหยเกตามคำบอกเล่าของอีกฝ่ายไปด้วย ก็มันเป็นเรื่องน่าหวาดเสียวเสียวจริงๆ ดูเอาเถอะอำนาจตัณหา อยากในสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรมมันก็เป็นต้นเหตุของทุกข์เต็มประตูอย่างนี้ ทุกข์ในชาตินี้ก็ถึงกับถูกฆ่าตาย ตายแล้วก็ยังไปทุคติลงนรกหมกไหม้อีก
คนเราถ้ารู้ว่าตัณหาทุกอย่าง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ในที่เดียวกัน คืออยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อพบกับอารมณ์ที่เป็นที่รักที่พอใจ เจริญใจในโลก ตัณหาก็เกิดที่นั่น อารมณ์ของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องการรับรู้อารมณ์เหล่านั้นซึ่งเราเรียกว่าวิญญาณ วิญญาณทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อมีประสาทมีสิ่งที่มากระทบ มีวิญญาณความรับรู้แล้วสิ่งที่เกิดต่อไปคือเกิดการสัมผัสขึ้น ตาสัมผัส กับรูป วิญญาณทางตารับรู้ หูสัมผัส กับเสียง วิญญาณทางหูรับรู้ อย่างนี้เรื่อยไป
เกิดสัมผัส แล้วก็เกิดเวทนา ความรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจ เฉยๆ เวทนาก็เกิดเป็นสัญญา คือจำได้ว่าอันไหนชอบใจไม่ชอบใจ ชอบใจก็อยากได้ ไม่ชอบใจก็ไม่อยากได้ เจตนาคือความจงใจก็เกิดขึ้นในตอนนี้ จากนั้นวิตก (ความคิดถึง) วิจารณ์ (การตรอง การพิจารณาอารมณ์) ก็ตามมา
ตัณหาเกิดขึ้นที่นี่ ถ้าจะให้ดับก็ต้องดับกันที่นี่ ถ้ารู้ตามนี้แล้ว ลงมือดับมันที่ต้นเหตุเสีย ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้น การไม่รู้ตามความจริง ไม่มีสติระลึกรู้ให้ทันเวลา ไม่มีปัญญาหักห้ามใจตนเอง ยอมให้กิเลสบีบบังคับ มันก็บังคับให้ทำกรรมขึ้นมา กรรมนั่นเองให้ผลของกรรม(วิบาก) เกิด เมื่อวิบากเกิด ทำให้กิเลส เกิดอีก กิเลส บังคับให้ทำกรรม หมุนเวียนกันอยู่เป็นวัฏฏะไม่รู้จบสิ้น
ชายหนุ่มคนนี้ได้เล่าประสบการณ์ในต่างประเทศให้ข้าพเจ้าฟังอีก ๒-๓ เรื่อง มีสะดุดใจข้าพเจ้าอีกแห่งหนึ่งคือที่ญี่ปุ่น เขาเล่าว่า "พวกนี้มันทำพาสปอร์ตปลอม เอาผู้หญิงเมืองเราเข้าประเทศของมันได้แล้ว มันก็ส่งไปอยู่ตามสถานที่ที่มันติดต่อเอาไว้แล้ว พวกที่สมัครใจไปมันก็เพียงริบหนังสือเดินทางไว้ แล้วให้ทำงานส่งเงินจนครบจำนวนที่มันต้องการ ต่อจากนั้นจึงจะเก็บเงินไว้เป็นของตนเองได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วมันใช้วิธีเก็บประจำทุกคืน ให้สถานบริการเหล่านั้น หักเงินไว้ให้ ผู้หญิงที่ไปทำงานจะได้ผลประโยชน์ไม่เต็มที่ ยิ่งพวกที่ถูกหลอกเอาไป พวกนี้แย่ที่สุด ถูกบังคับขู่เข็ญ ไม่ทำงานก็ไม่ได้ ทำงานแล้วก็ไม่ได้เงิน มีพวกผู้ชายแมงดาคอยดูแล ควบคุม ถูกมันตบตีซ้อมอย่างทารุณ บางรายถึงพิการถึงตาย ผมไปเที่ยวดู ได้ไปเห็นผู้หญิงเหล่านี้ มีอยู่รายหนึ่งขอร้องให้ผมพาเธอกลับประเทศไทย"
"คุณช่วยเธอรึเปล่า รายนี้น่ะ" ข้าพเจ้าถามพร้อมกับเอาใจช่วย
"ช่วยซิครับ ผมแอบพาเธอหนีลงเรือสินค้า ทำเป็นส่งลังสินค้ามาเมืองไทย ผมเอาเธอใส่ไว้ในลัง แล้วผมก็มากับเรือสินค้าลำนั้นด้วย พอเรือออกจากท่าไกลพอสมควร ผมก็ให้เธอออกจากลัง เอาเงินไปติดสินบนให้รางวัลกัปตันเรือเสียหน่อย ผู้หญิงคนนั้นก็กลับเมืองไทยได้
แต่ป้าครับ ผู้หญิงพวกนี้ไม่รู้มีเวรกรรมอะไรนักหนา โดยสารเรือมาก็ต้องบำเรอกามพวกลูกเรือนั่นแหละอีก" ฝ่ายนั้นพูดปรารภอย่างเบื่อหน่ายในเหตุการณ์ประเภทนี้
"ก็ที่ป้าบอกคุณน่ะแหละ วิบากของกรรมตามมาทัน ก็ต้องใช้หนี้กัน กว่าจะจบสิ้นก็อาน ชีวิตแทบไม่มีความหมายอะไร ขึ้นชื่อว่า อกุศลแล้ว ให้เล็กน้อยแค่ไหนก็ไม่ควรทำเสียเลย เวลากรรมมันตามส่งผลทันนะคุณนะ มันเหมือนเก็บดอกเบี้ยทบต้นไปในตัวเสร็จ ดูมันหนักกว่าที่ตนเคยทำไว้เป็นนับเท่าไม่ถ้วน
คุณจำเรื่องในครั้งพุทธกาลได้มั้ย พระอรหันตเถรีรูปหนึ่งท่านเล่าบุพกรรมของท่านว่า มีอยู่ชาติหนึ่ง ท่านฆ่าแพะตัวหนึ่งเพื่อทำอาหารเลี้ยงเพื่อนของสามี ตายแล้วต้องตกนรก ออกจากนรกต้องมาเกิดเป็นแพะและถูกฆ่าตายทุกชาติ ชาติแล้วชาติเล่า จำนวนชาติเท่ากับจำนวนขนในตัวของแพะทีเดียว"
ข้าพเจ้าอธิบาย อีกฝ่ายพูดติงขึ้นว่า "ฆ่าเขาตายตัวเดียว เราก็น่าจะเกิดเป็นแพะแค่หนเดียวก็พอ ทำไมจึงเกิดเป็นแสนๆ ครั้ง เท่าเส้นขนอย่างนั้นเล่าครับ ผลของกรรมค้ากำไรเกินควรไปรึเปล่า"
"ไม่ใช่ค้ากำไร หรือดอกเบี้ยทบต้นอะไรหรอก มันเป็นตามจำนวนวิถีจิตน่ะ จิตที่ทำงานครั้งหนึ่ง เราเรียกว่าวิถีหนึ่ง ว่างๆ แล้วป้าจะอธิบายให้คุณฟังว่า จิตของเราคิดอะไรได้ แต่ละครั้งๆ มันทำงานอะไรกันมั่ง พูดให้คุณฟัง นี่มันแง่ทฤษฎีส่วนด้านธรรมปฏิบัติสามารถมองเห็นด้วยญาณทีเดียวว่ามันทำงานอย่างไรบ้าง มันวิ่งให้ดูเหมือนการทำงานของแสงไม่มีผิด
การฆ่าแพะตัวหนึ่ง ไม่ใช่คิดฆ่าปั๊บก็เสร็จเลยเมื่อไหร่กัน ตอนที่คิดแล้วเดินไปเตรียมการต่างๆ จับแพะมาผูกกับหลัก ลับมีด เงื้อมือแทง อะไรต่อมิอะไรนั่น จิตมันเกิดดับๆ นับจำนวนไม่ถ้วน แต่ละครั้งที่คิดก็มีแต่คิด ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า จิตเกิดดับครั้งหนึ่ง ก็ให้ผลเป็นการเกิดชาติหนึ่งๆ ไงล่ะ เห็นมั้ยกฎแห่งกรรมยุติธรรมจะตายไป ไม่คิดเกินเป็นดอกเบี้ยอะไรหรอก คิดตามจริง ตามเหตุตามผลตรงตัวเปี๊ยบเลย" ข้าพเจ้าพูดขยายความ ทำให้อีกฝ่ายพยักหน้าขึ้นลงหลายครั้ง อย่างเข้าใจดี
คนเล่ายังเล่าเรื่องที่ฮ่องกง ไต้หวัน ทั้งเรื่องผู้หญิง เรื่องบ่อน การพนัน ที่ไปเล่นกันครั้งหนึ่งๆ เสียเป็นล้าน ล้วนแต่มีตัณหาเป็นต้นเหตุ ให้เกิดทุกข์กันทั้งนั้น ซึ่งข้าพเจ้ามิได้เล่าไว้ที่นี
เรื่องที่ข้าพเจ้าสนทนากับชายหนุ่มที่เล่าจบไปแล้วนั้น เป็นตัวอย่างของกามตัณหา ความอยากได้ในรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส เรื่องของเพศสัมพันธ์นั่นเป็นยอดสุดของกาม เพราะในร่างกายของสัตว์นั้นมีกามทุกชนิดอยู่ครบบริบูรณ์
ยังมีตัณหาในยศ ในอำนาจ ในทรัพย์สมบัติ และบริวารพวกพ้อง หรืออื่นๆ ตัณหาเหล่านี้บีบคั้นจิตใจผู้เป็นเจ้าของให้ทำอกุศลกรรมร้ายแรงต่างๆ มากมาย
ดูกรอุทายี กามคุณห้าเหล่านี้ กามคุณห้าเป็นไฉน
คือ รูปอันพึงรู้แจ้งด้วยจักษุที่สัตว์ปรารถนา
น่ารักใคร่ชอบใจ เป็นสิ่งที่น่ารัก ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เสียงอันพึงรู้แจ้งด้วยโสต..
กลิ่นอันพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ.. รสอันพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา..
โผฏฐัพพะอันพึงรู้แจ้งด้วยกาย
สัตว์ปรารถนารักใคร่ชอบใจ เป็นสิ่งน่ารักประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด กามคุณห้านี้เเล
ดูกรอุทายี ความสุขโสมนัส ที่เกิดเพราะอาศัยกามคุณห้านี้
เรากล่าวว่ากามสุขเป็นสุขไม่สะอาด
เป็นความสุขของปุถุชน ไม่ใช่สุขของพระอริยะ
อันบุคคลไม่ควรเสพ ไม่ควรให้เกิดมี
ไม่ควรทำให้มาก ควรกลัวแต่สุขนั้น
(๑๙/๒๒๕-๒๒๖ ลฑุกิโกปมสูตร)
ภัย ทุกข์ โรค หัวฝี ลูกศร ความข้อง
เปือกตม และการอยู่ในครรภ์ นี้เรียกว่ากาม
เป็นที่ปุถุชนข้องอยู่แล้ว อันกามสุขครอบงำแล้ว
ย่อมไปเพื่อเกิดในครรภ์อีก
ก็เพราะภิกษุมีความเพียร ยินดีด้วยสัมปชัญญะ
ภิกษุเห็นปานนี้แล้ว ก้าวล่วงทางหมุนเวียนที่ข้ามได้ยากนี้ได้แล้ว
ย่อมพิจารณาเห็นหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงชาติและชรา ดิ้นรนอยู่
(๓๕/๓๖๔ ภยสูตร)
เราเรียก ภัย ทุกข์ โรค และสิ่งทั้งสอง คือเครื่องขัดข้อง เปือกตม
ว่าเป็นกาม เป็นที่ข้องของปุถุชน
เพราะเห็นภัยในการยึดถือ ซึ่งเป็นแดนเกิดของชาติและมรณะ
ชนทั้งหลายจึงหลุดพ้นเพราะไม่ถือมั่น ดำเนินไปในนิพพาน
อันเป็นที่สิ้นชาติและมรณะ
ชนเหล่านั้นถึงแดนเกษม มีสุข ดับสนิทในปัจจุบัน
ผ่านพ้นเวรและภัย ล่วงทุกข์ทั้งปวง
(๓๔/๔๖๔-๔๖๕ ภยสูตร)
พราหมณ์ผู้ดับกิเลสได้แล้ว อยู่สบายทุกเมื่อแล
ผู้ใดไม่ติดอยู่ในกาม
ผู้นั้นเป็นผู้เยือกเย็นหมดอุปธิ
ตัดธรรมชาติเครื่องมาข้องเสียทุกอย่าง
ปราบปรามความกระวนกระวายในหทัยได้
เข้าไปสงบแล้ว ถึงความสงบใจอยู่สบาย
(๓๑/๒๓๐ หัตถกสูตร)
กามเป็นทุกข์ กามไม่เป็นสุขเลย
ผู้ใดใคร่กาม ผู้นั้นชื่อว่าใคร่ทุกข์
ผู้ใดไม่ใคร่กาม ผู้นั้นชื่อว่าไม่ใคร่ทุกข์
(๔๑/๓๙๖ เอรกเถรคาถา)
โลกถูกกิเลสขบกัด
ถูกกิเลสทำให้เป็นดังเปือกตม
ปุถุชนจมอยู่แล้วในกิเลสวัตถุใด
สัตว์เป็นอันมาก ย่อมถูกประหารและถูกฆ่าในกิเลสวัตถุนั้น
(๔๔/๒๕๒ มหาชนกชาดก)
Cr.อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม๔