เรื่องที่รู้กันสองคน
ระหว่างกลางๆ เดือนกรกฎาคมเรื่อยมา จนถึงเวลาที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ คือต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๓๓ มีข่าวใหญ่ทางสื่อมวลชน ๒ เรื่องที่สั่นสะเทือนความรู้สึกของประชาชน โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างยิ่ง ข่าวแรกเป็นเรื่องพระภิกษุหนุ่มอายุเพิ่ง ๓๔-๓๕ ปี มีเรื่องชู้สาวกับสีกา ถ้าเป็นพระไม่มีใครรู้จัก เรื่องก็คงไม่อื้อฉาวอะไรมาก จับความผิดได้ก็ให้สึกหาลาเพศกันออกไป แต่พระรูปที่มีเรื่องนี้เป็นพระมีชื่อเสียงมาก เทศน์เก่ง ผู้คนเป็นอันมากเลื่อมใสศรัทธา ข้าพเจ้าเองยังเคยไปฟังท่าน ท่านเทศน์ได้ตลอดคืน แต่หัวค่ำยันสว่าง ถ้อยคำที่เทศน์ก็เป็นสำนวนชาวบ้าน ฟังเข้าใจง่ายสุ้มเสียงไพเราะ ฉะฉาน สดใส ๖ ชั่วโมง ๗ ชั่วโมง พูดสอนอยู่ได้ไม่เบื่อหน่าย นับเป็นผู้มีอัจฉริยภาพในการเผยแพร่เสียจริง
ข่าวที่สอง เป็นข่าวพ่อฆ่าลูกสาวเล็กๆ อายุแค่สองขวบเศษตาย ด้วยวิธีการทารุณ ให้ภรรยาใหม่ร่วมมือเอาสายไฟผูกข้อมือสองข้างของลูกเวลานอนหลับ แล้วเสียบปลั๊กให้ไฟช๊อตเข้าร่างกาย ลูกร้องให้ช่วยเสียงโหยหวน เนื้อที่มือสุกไปถึงกระดูก อวัยวะภายในเสียหมด ยังไม่ถึงตาย พอเอาไปที่โรงพยาบาลยังร่วมมือกันฆ่าด้วยวิธีเอาหมอนกดหน้า ไม่ให้หายใจ ตายแล้วอำพรางคดีให้ภรรยาที่เป็นแม่เลี้ยงของเด็กโยนศพลงมาจากตึกชั้นที่ ๕ ทำเหมือนเด็กปีนตึกลงไปตายเอง
ข่าวแรก นับเป็นการทำลายความเลื่อมใสของประชาชนโดยตรง ให้นึกรังเกียจพระสงฆ์อื่นๆ ทั่วไปหมดสงสัยว่าจะเลวไปด้วยตามๆ กัน คิดไม่อยากแม้กระทั่งใส่บาตร ที่สงขลามีสตรีนักธุรกิจชั้นนำของจังหวัดเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เพื่อนบ้านของเธอที่ตลาดเคยใส่บาตรเป็นประจำ ไม่เลือกพระเลือกเณร พอมีข่าวเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น
"เค้าลงทุนอย่างนี้เลยนะคะคุณป้า เวลาใส่บาตร เจ้าตัวต้องคอยแอบดูพระเณรที่เดินมาเสียก่อน พอเห็นท่านเดินสำรวมเรียบร้อยจึงนำของออกมายืนใส่บาตรหน้าบ้าน ถ้าเห็นท่าทางเดินเหินไม่สำรวมส่ายหน้ามองโน่นมองนี่หลุกหลิก เค้ารีบยกของหนีเข้าบ้าน ไม่ยอมใส่บาตรเอาเสียเลย"
ข่าวที่สอง สะเทือนจิตใจของผู้เป็นพ่อคนแม่คนเป็นอย่างยิ่งลูกๆ นั้นตั้งแต่เขาถือกำเนิดขึ้นมาก็อยู่ในความเมตตาปรานีของพ่อแม่จะมีชีวิตได้เกิดหรือไม่ จะเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจหรือไม่ ก็เป็นด้วยน้ำใจของบิดามารดาเท่านั้น เรียกว่าฝากชีวิตไว้กับผู้ให้กำเนิดทั้งสอง
นี่พ่อมาเป็นคนเข่นฆ่าเสียเอง คุณธรรมของความเป็นพ่อคนหายไปไหน สัตว์เดรัจฉานเช่นสุนัขกลางถนน แม่หมามันยังรักและหวงแหนลูกของมันยิ่งนัก ป้องกันอันตรายทุกอย่างให้ลูก เจ้าสุนัขตัวผู้เองเมื่อพบลูกหมาเล็กๆ ที่ตัวเล็กกว่ามัน มันก็ไม่เคยไล่กัดเอาเป็นเอาตาย ถ้าจะแสดงความไม่พอใจ ก็เอาแค่คำรามหรือขย้ำเบาๆ พอขู่กันเท่านั้น พอฝ่ายตัวเล็กแสดงความหวาดกลัวร้อง เอ๋ง..เอ๋ง.. อ๋าง..อ๋าง.. มันก็ปล่อยเป็นอิสระ มันไม่ใช่พ่อ มันยังรู้จักปรานีกัน
แล้วนี่เป็นถึงพ่อคน ฆ่าลูกตนเองเพื่อหวังเงินประกันชีวิตของลูก ๗ แสนบาทที่ตนประกันเอาไว้ ก็ตัดใจทำบาปกรรมยิ่งใหญ่ผิดมนุษย์ได้อย่างไร
ทั้งสองข่าว มาจากเรื่องตัณหา ความทะยานออกได้ในกามคุณอารมณ์นั่นเอง รายภิกษุรูปนั้น ท่านก็มีตัณหาเรื่องการสัมผัสทางเพศ จนมืดหน้าตามัว กล้าล่วงพระธรรมวินัยขั้นปาราชิก ทำลายศรัทธาของพุทธศาสนิกชนให้ย่อหย่อนท้อถอย หมดกำลังใจทำนุบำรุงพระศาสนา ปิดกั้นทางบุญของผู้อื่น เป็นบาปหนักทีเดียว
ส่วนหญิงสาวที่ร่วมทำผิดด้วย ก็เป็นหญิงกาลกิณีโดยแท้ รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพระ น่าจะท้วงติงห้ามปรามให้ได้สติ ให้ท่านเกิดความละอายกลับให้ความร่วมมือพลีร่างกายบำเรอตัณหาราคะแก่ฝ่ายชายด้วยหาความสุขทางกามารมณ์ให้ตนเองในทางไม่สมควรต่อขนบธรรมเนียมประเพณีด้วย เป็นบาปมหันต์เหมือนกัน
อย่างไรก็ดี เมื่อมีคนมาซักถามข้าพเจ้ามากรายเข้า ข้าพเจ้าก็จำเป็นต้องตอบว่า
"ป้าก็ไม่รู้จ้ะว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกันแน่ คุณดูแต่เรื่องตัวอย่างในสมัยครั้งพุทธกาล เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรายังมีพระชนม์ชีพอยู่ซี ขนาดพระองค์เองซึ่งแสนจะบริสุทธิ์ผุดผ่องแค่ไหน ยังมีลูกศิษย์ของพวกเดียรถีย์(พวกนิยมนับถือลัทธิต่างออกไป) มากล่าวหาชี้มือใส่หน้าพระองค์ต่อหน้าที่ประชุมชนซึ่งพระบรมศาสดาประทับแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ หาว่าพระองค์ทำนางตั้งครรภ์ คนมีปัญญาน้อยฟังนางแล้วต้องเชื่อทันที เพราะนางทำเรื่องสมเหตุสมผลเป็นเวลากว่าครึ่งปี โดยตอนเย็นๆ เมื่อผู้คนฟังธรรมเสร็จแล้วเดินกลับจากพระเชตวัน นางก็จะทำเป็นเดินสวนเข้าไป ถ้ามีผู้ถามว่า นางจะไปไหน นางก็จะตอบว่า
"ก็ไปในที่พวกท่านจากมานั่นแหละ"
พอตอนเช้า เมื่อผู้คนนำอาหารมาถวายพระภิกษุ นางก็จะทำเป็นเดินสวนออกมาจากพระเชตวันในอาการเพิ่งตื่นนอน ใครถามนางก็จะตอบว่า
"ฉันจะไปนอนที่ใดมาเล่า ก็พระสมณโคดมอยู่ที่ไหน ฉันก็ไปนอนที่นั่นมานั่นแหละ"
ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ในตอนเย็นเมื่อนางเดินสวนผู้คนเข้าวัดนั้น นางไม่ได้เข้าไปอยู่ในวัด แต่นางแอบไปนอนบ้านพวกเดียวกันซึ่งอยู่ ข้างๆ วัด เพื่อจะได้แสดงละครบทใหม่ในตอนเช้าเท่านั้น
นางทำอย่างนี้รอเวลาอยู่ แล้วเอาผ้าเอาโครงไม้ใส่ไว้ที่หน้าท้องทีละน้อยๆ ให้ดูเหมือนนางมีครรภ์ค่อยๆ โตขึ้น พอทำให้ดูเหมือนมีครรภ์แก่เต็มที่ นางก็เอาไม้ทุบตามมือตามเท้าให้บวม ให้มีลักษณะเหมือนคนท้องแก่จริงๆ ไปยืนชี้หน้าว่าพระบรมศาสดาของเรา
ถึงขนาดนี้นะคุณนะ พระบรมศาสดาของเรายังไม่ทรงตอบรับ หรือตอบปฏิเสธเลย พระองค์ตรัสว่า
"แน่ะน้องหญิง เรื่องนี้จริงเท็จเพียงใด เป็นเรื่องที่เรารู้กันเพียงสองคน"
แทนที่นางผู้นี้ชื่อจิณจมาณวิกาจะได้คิด นางกลับแผดเสียงกล่าวหายิ่งขึ้น จนเทวดาสัมมาทิฏฐิอดรนทนไม่ได้ต้องแปลงกายเป็นหนูตัวเล็กๆ กัดเชือกมัดไม้ให้หล่นลงมา ผู้คนจึงเห็นว่านางไม่ได้ตั้งครรภ์จริงๆจึงพากันขับไล่ พอพ้นออกมาจากพระเชตวัน นางก็ถูกธรณีสูบตาย
เพราะฉะนั้นเรื่องอย่างนี้ จริงเท็จก็อยู่ที่คู่กรณีสองคนนั่นเอง ใครจะไปรู้ดีกว่า เพราะเรื่องกาเมสุมิจฉาจารนี่ เขากระทำกันในที่ลับ ไม่ใช่กระทำกันให้มีคนรู้เห็นจนพากันมาเป็นพยานได้ ใครจะเป็นพยานก็เป็นเพียงพยานแวดล้อม ไม่ใช่พยานที่เห็นด้วยตาตนเองโดยตรง
สำหรับพวกเรารู้เรื่องแล้ว ก็ไม่ต้องไปเชื่อหรือไม่เชื่อ ทำให้ใจเศร้าหมองเปล่าๆ เชื่อเข้าก็เสียใจ โกรธแค้นที่มีผู้มาหลอกลวงแอบอ้างเป็นพระปลอมทำลายศาสนา ไม่เชื่อก็โกรธฝ่ายที่มาปรักปรำ เรียกว่าโกรธทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่ได้รับผลดีอะไร อยู่เฉยๆ วางอุเบกขาเสีย ถือว่าใครทำกรรมอะไรก็ต้องเป็นผู้รับผลกรรมนั้น เรื่องจริงเป็นอย่างไรวันหนึ่งข้างหน้า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ส่วนเราเคยมีศรัทธาในพระศาสนาของเรายังไง เราก็ทำตามปกติ โดยเฉพาะพระสงฆ์ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของเราไม่มีเรื่องมัวหมองอย่างนั้น เรายิ่งต้องช่วยกันทะนุบำรุงดูแล ให้กำลังใจท่านให้มากๆ ท่านจะได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้พวกเราไปนานๆ"
ข้าพเจ้าชี้แจงผู้คนที่มาถามไปอย่างนี้ เพราะโดยข้อเท็จจริง ลัทธิอื่นที่คอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนาก็มีอยู่ และตั้งหน้าตั้งตาใช้อุบายทำลายหลายรูปแบบ ใช้เงินจ้าง ใช้อุบายยุแหย่ ให้กุข่าวใส่ร้าย ฯลฯดังนั้นพุทธศาสนิกชนที่ต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบ จะได้สามารถป้องกันความเสื่อมเสียให้พระศาสนาของเราได้
ลัทธิอื่นที่ต้องการขยายงานของเขา ให้มีผู้คนเลื่อมใสนับถือให้เพิ่มขึ้น ก็มีตัณหาเรื่องบริวาร อยากมีพวกมีพ้องที่มีความเชื่ออย่างเดียวกันมากๆ เมื่อมีพวกมาก ลัทธิของเขาก็เจริญทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
ไม่ว่าจะอยากได้ลาภ ได้ยศ ได้ชื่อเสียง ได้ความสุขทางกามคุณอย่างใดๆ ก็ตาม ก็ตกอยู่ในเรื่อง การมีตัณหาทั้งสิ้น
แต่ที่เห็นกันเด่นชัดทำความเดือดร้อนให้ผู้คนที่เกี่ยวข้องได้มากทำได้ง่าย และดูน่ารังเกียจ ก็มักจะเป็นตัณหาในทางเพศ อย่างในสมัยพุทธกาล นอกจากเรื่องนางจิณจมาณวิกาแล้ว ยังมีเรื่องนางสุนทรี ซึ่งมีความงามเลิศไม่แพ้นางจิณจมาณวิกา พวกเดียรถีย์ก็ใช้อุบายให้เดินเข้าเดินออกในพระเชตวันทำนองเดียวกัน เสร็จแล้วพวกเดียรถีย์จ้างนักเลงฆ่านางสุนทรี เอาศพไปทิ้งไว้ในกองหยากเยื่อในวัดเชตวัน แล้วทำเป็น วุ่นวายโกลาหลค้นหา ทำเป็นสงสัยว่านางสุนทรีถูกภิกษุในพระเชตวันที่มีเรื่องชู้สาวกับนางฆ่าปิดปาก ทำเป็นไปขอค้นพระเชตวัน พอพบศพก็ทูลฟ้องร้องกล่าวโทษภิกษุสงฆ์
ยังโชคดีที่พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ทรงธรรม พระองค์ใช้วิธีให้ราชบุรุษปลอมตนไปตามสถานจำหน่ายสุรา ฟังผู้คนที่ไปกินเหล้าสนทนากัน พวกนักเลงที่รับจ้างฆ่านางสุนทรีได้เงินค่าจ้างมากก็พากันไปซื้อสุราดื่ม ดื่มแล้วก็ขาดสติคุยโม้โอ้อวด เรื่องก็แจ้งออกมา ทำให้พระราชาจับผู้ร้ายตัวจริงลงโทษได้
เรื่องสีกากับพระที่เกิดขึ้น วันที่ (๓๐สิงหาคม ๒๕๓๓) ก็ยังไม่ยุติ พระจะเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีดังเช่นเรื่องที่เคยมีมาในสมัยพุทธกาล หรือจะเป็นผู้ผิดที่ทำตัวเป็นมารมาอาศัยพระศาสนาเอาผ้าเหลืองบังหน้า ทำตัวเยี่ยงมหาโจรปล้นศรัทธาความนับถือของชาวบ้าน
สีกาจะเป็นทั้งผู้ผิดและผู้กล้าหาญ ที่กล้าเปิดเผยความเลวทราม ชั่วช้า ของตัวเองตีแผ่ให้สังคมรับรู้ หรือจะเป็นเช่นนางมารร้ายที่เคยมีมาในสมัยพุทธกาลโน่น
อีกไม่นาน คงได้รู้กัน
Cr.อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม๔