สวรรค์ในอดีต (ตอนที่ 1)

วันที่ 24 เมย. พ.ศ.2563

สวรรค์ในอดีต (ตอนที่ 1)


              “มีเรื่องอะไรกันหรือ?”
               อสุรเทพบดีตรัสถามอสุรเทพทั้งปวง ที่พากันมาออขวางทางที่จะเสด็จเข้ารมยวโนทยานตามปกติ

 

               “ข้าแต่พระผู้เป็นใหญ่ ได้โปรดชำระวิศวาสูรและมาตังคาสูร กับพรรคพวกให้แก่เกล้ากระหม่อมทั้งปวงด้วยเถิด พวกเกล้ากระหม่อมทั้งปวงเหลือทนความข่มเหงนี้ได้แล้วพระเจ้าข้า” ทวยอสุรเทพร้องทูลเสียงเซ็งแซ่ ด้วยดวงพักตร์หมองคล้ำ


                “พวกท่านจงไปร้องทุกข์ไว้ที่เลขาฯของเรา เมื่อเราว่างกิจแล้ว  จักกลับมาพิจารณาความให้ เราช้าไปหลายนาทีแล้ว ถอยไปให้พ้นทางเถิด เราจะเข้าสวนละ”


                  อสุรเทพบดีตรัสพลางเตือนพาหนะให้เคลื่อนต่อไป อสุรเทพทั้งหลายจำต้องหลีกทางให้อย่างไม่เต็มใจ แล้วพากันจับกลุ่มวิจารณ์กันด้วยความโทมนัสสุดแสน



 

                   “กี่ครั้งกี่คราวแล้วที่เรามาร้องขอความเป็นธรรมจากพระจอมสวรรค์ พระองค์จะมีความใส่พระทัยในทุกข์สุขของพวกเราสักน้อยหนึ่งก็ไม่มี เสด็จอยู่แต่ในอุทยานสวรรค์  เสวยสุขอยู่ด้วยบาทบริจาริกาและน้ำคันธบาน1 อนิจจา! สวรรค์จะถึงกาลวิบัติแล้วกระมังหนอ” เอกาสุรเทพกล่าวด้วยความท้อแท้ ทุติยาสุรเทพเสริมด้วยอาการเดียวกัน


                    “นี้เป็นด้วยทรงหลงเชื่อบริวารที่เป็นพาล ให้โอกาสแก่มันได้ใกล้ชิด ได้กระทำบำเรอด้วยอบายมุข หลงเชื่อเรื่อเชื่อเรื่องราวที่มันแต่งขึ้น  เพ็ดทูลจนเสียความเป็นธรรม เสื่อมจากความเป็นผู้ใหญ่ที่ดี”


                     “เมื่อมาร้องทุกข์ ก็รับว่าจะพิจารณาเมื่อว่าง” ตติยาสุรเทพ  เน้นด้วยความคั่งแค้น “ความว่างของพระองค์จะมีมาแต่ไหน ในเมื่อเวลาทั้งหมดต้องจ่อมจมอยู่ในเต้าน้ำทิพย์"


                      “ความวิบัติแห่งสวรรคพิภพใกล้เข้ามาแล้ว ทรงมัวเมาอยู่ในความประมาท ไหนเลยจะยังคงเสวยบุญอยู่ได้ ท่านผู้มีบุญอื่นที่ได้สร้างบารมีมาอย่างเต็มที่ คงจะได้โอกาสขึ้นมาแทนที่ในไม่ช้า” อีกองค์
หนึ่งกล่าว


                     “เราผู้ไม่มีความผิดจะพลอยวิบัติไปด้วย ” ตติยาสุรเทพ ร้องด้วยความโทมนัส


                      “เรารีบจุติกันดีกว่า เรื่องอะไรจะอยู่ร่วมรับกรรมกับมันด้วย”  เอกาสุรเทพ ชักชวน


                      “เออ เราจะไปด้วย” หลายเสียงร้องเซ็งแซ่


                      “เรื่องอะไรเราจะไป” หลายองค์คัดค้าน “ทิพยวิมาน ทิพยสมบัติที่เราได้มาโดยยาก ต้องสั่งสมบารมีมาแต่สมัยเป็นมนุษย์ นานเท่าใดกว่าจะได้เช่นนี้  จะมาสละเสียง่ายๆ อย่างไร เราไม่ยอมไป เราจะอยู่ที่นี่แหละ”


                       ครั้งกระนั้น ชาวสวรรคพิภพแห่งนี้จึงแยกออกเป็นหลายฝ่าย ฝ่ายที่เข้าด้วยวิศวาสุรเทพและมาตังคาสุรเทพ อันตั้งอยู่ในอำนาจที่จะบัญชาการสวรรค์ได้ตามอำเภอใจย่อมมีมากเป็นธรรมดา ด้วยว่าผู้มีอำนาจมากย่อมมีผู้อาศัยพึ่งพิงมาก บางพวกก็วางตนเป็นกลาง ไม่รู้ร้อนรู้หนาวด้วยกับใคร คงเพลิดเพลินชมวิมานอยู่โดยลำพัง ไม่นำพากับสิ่งใด ๆ ส่วนพวกที่ไม่ถูกกับผู้มีอำนาจก็ยังแบ่งออกเป็นสองฝ่าย  ส่วนหนึ่งตัดอาลัยในทิพยสมบัติ จุติลงสู่ครรโภทรของสัตวโลก เอาปฏิสนธิตามบุพกรรมแห่งตน อีกส่วนหนึ่งนั้นยังตัดไม่ขาดจากทิพยโภคะทั้งปวงมิอาจสละไปได้ จึงจำยอมรับอำนาจเป็นธรรม ดื้ออยู่บนสวรรค์นั้นเอง ถึงกระนั้น สวรรคพิภพแห่งนี้ก็ยังแออัดด้วยชาวสวรรค์ที่เพิ่มปริมาณเสมอมิขาดสาย


                     ในรมยวโนทยาน จอมสวรรค์ประทับเอกเขนกเสวยสุขด้วยน้ำเมาที่บริวารเปรอปรนอยู่ไม่ขาดระยะ ทรงถามมาตังคาสุรเทพขึ้นว่า

                    “เฮ้ย! มาตังค์ เจ้าได้สร้างความเดือดร้อนอะไรแก่เจ้าพวกนั้นนักหรือหวา มันจึงมาร้องทุกข์แก่ข้าไม่ขาดระยะ?”


                   “จะทรงฟังไยกับไอ้พวกอิจฉาริษยาพระเจ้าข้า” มาตังคาสุรเทพ ทูลด้วยเสียงหัวเราะ


                  “มันเห็นพวกเกล้ากระหม่อมมีโอกาสใกล้ชิดพระยุคลบาทมาก มันเองไม่มีโอกาส จึงหาเรื่องใส่ความกระหม่อมฉันดอกพระเจ้าข้า” ทูลพลาง เทพเสนาก็ถวายเต้าน้ำพระคันธบานแก่พระจอมสวรรค์อีก ทรงรับไปเสวยด้วยความยินดี วิศวาสุรเทพ เจ้าแห่งการประดิษฐ์ ถวายอัญชลีเป็นเชิงขอโอกาส พลางกราบทูลว่า


                    “แม้เกล้ากระหม่อมฉันก็เช่นกัน ถูกกล่าวหาว่ามักแต่งเรื่องเท็จเพ็ดทูลพระองค์อยู่เสมอ ทำให้พวกมันต้องถูกอาญาสวรรค์โดยพระบัญชาของพระองค์ผู้เป็นเจ้า แท้จริงสิ่งที่กระหม่อมฉันกราบทูลล้วนเป็นเรื่องที่เก็บไว้ไม่ได้ ด้วยเป็นภัยต่อพระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของพวกกระหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงจำยอมเสี่ยงภัย ด้วยความจงรักภักดีต่อพระองค์แท้เจียวพระเจ้าข้า”


                   “อือ ข้าเองก็รู้และเห็นใจเจ้ามาก เจ้าพวกนั้นมันเลว เสียแรงเป็นเทพ ยังร้อนแรงอยู่ในความอิจฉาริษยา ราวกับอยู่ในมนุษยโลก  ข้าละเจ็บใจเสียจริงๆ เมื่อไรหนอเจ้าพวกนี้จะหมดไปจากสวรรค์นี้เสียที”  ตรัสพลางทอดถอนพระทัยใหญ่ แล้วตามด้วยน้ำทิพย์จนหมดเต้า  อสุรเทพบริวารรีบส่งเต้าน้ำทิพย์ถวายอีก สารถีเทพและเจ้าแห่งการประดิษฐ์รีบทูลเป็นเสียงเดียวกันว่า


                   “เนรเทศพระเจ้าข้า ไอ้ตัวไหนเลี้ยงไว้ไม่ได้ต้องรีบกำจัด  มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นตัวแสบของเราต่อไป”


                    ท้าวเธอสดับแล้วก็ทอดถอนพระทัย มิได้ตรัสตอบ เสวยน้ำทิพย์ต่อไปจนฟุบไปกับพระเต้านั้น อสุรเทพทั้งสองซึ่งมึน ๆ เล็กน้อย  พากันจูงมือเลี่ยงออกมา ซุบซิบกันด้วยความปรีดาว่า



                    “สำเร็จ สำเร็จเราแน่ ผู้ใหญ่ต่อให้ใหญ่เท่าใหญ่ ถ้ายังหลงน้ำทิพย์มึนเมาอยู่อย่างนี้ ทานลมปากของเราไม่ไหวหรอกวะ”  สารถีเทพพูดพลางหัวเราะในลำคออย่างลำพองใจ


                    “น้องเองก็ปั้นเรื่องจนสุดกำลังฝีมือ ไม่ช้าดอก ไอ้พวกหัวแข็งจะต้องทนอยู่ไม่ได้ ต้องถูกกำจัดไปหมด แล้วจะเหลือใครล่ะ นอกจากเรา ที่จะได้ครอบครองความเป็นใหญ่ในที่นี้ เจ้าสวรรค์น่ะรึ เฮอะ  ฤทธิ์น้ำเมาเผาผลาญพระกำลังจนทรงชราแล้ว ไหนจะมีหน้ามาทำอะไรใครได้ ฮะ! ฮะ! ฮะ!”


                      มาตังคาสุรเทพ รีบอุดปากที่กำลังตะเบ็งหัวเราะด้วยความตกใจ พลางกระซิบดุว่า
 

                      “เบาๆ หน่อยซิไอ้น้อง เดี๋ยวทรงได้ยินก็เสียเรื่องหมดเท่านั้น"


                      “โอ้ย ไม่ต้องวิตกหรอกพี่ม้า เอ๊ย พี่มาตังค์ ต่อให้เอาช้างร้อยเชือกมาฉุดก็ไม่ลุกแล้ว ทิพยเนตร ทิพยโสตจะทำอะไรได้ ในเมื่อมันมืดมัวด้วยน้ำเมา” พลางทั้งสองกอดคอกันหัวเราะลั่นอุทยาน

 

1น้ำคันธบาน เป็นชื่อของน้ำเหล้าหอมทิพย์ ซึ่งเทพเหล่านี้เคยเสวย เมื่อเสวยแล้วจึงถึงความเสื่อม ด้วยปกติเทพย่อมไม่ดื่มน้ำเมา
 

 

จากหนังสือ กำเนิดพระอินทร์  โดย ศิริกุล ศุภวัฒนะ

จัดพิมพ์: ฝ่ายวิชาการ วัดพระธรรมกาย  (มกราคม ๒๕๓๒)

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.06479930082957 Mins