อินทรกำเนิด (ตอนที่ 3)
“เอ๊ะ นั่นช้าง! มีเทพองค์หนึ่งประทับอยู่ ณ มณฑป กลางกระพองช้าง มีเทพบริวารแห่ห้อมมากมาย ดิรัจฉานก็ถือกำเนิดบนสวรรค์ได้ด้วยหรือหนอ?” เทพาสูรองค์หนึ่งรำพึงด้วยความประหลาดใจ
“หามิได้ นั่นคือ เทพบุตรเอราวัณ1 เคยมีชาติเป็นช้างในมนุษยโลก ได้รับใช้ในการกุศลของมฆมานพด้วยความยินดีเสมอมา เมื่อสิ้นชีวิตแล้วจึงได้มาเกิดเป็นเทพบุตร ต่อเมื่อมัฆวานจะเสด็จไปที่ใด จึงนิรมิตกายเป็นช้างพาหนะของท่าน”
“ผู้ที่ประทับเหนือกระพองช้างนั้นน่ะหรือ มัฆวาน2?”
“ถูกแล้ว โดยเหตุที่ท่านและสหายรวม ๓๓ คน ได้ประกอบกุศลร่วมกัน ร่วมกับช้างนี้ด้วย ช้างจึงนิรมิตกายให้มี ๓๓ เศียร เพื่อว่าเพื่อนทั้ง ๓๒ ของมัฆวานจะได้ประทับเหนือกระพองนั้น ๆ”
“โอ นั่น ๆ ช้างมีเศียรเพิ่มขึ้นเป็น ๓๓ แล้ว” เทพเหล่านั้นอุทานอย่างตื่นเต้นอัศจรรย์ใจ เอกเทพแย้มสรวลพลางกล่าวว่า
“เราเห็นจะต้องไปละ” พลางเลื่อนลอยไปเข้าหมู่ เคลื่อนไปประทับเหนือกระพองทั้ง ๓๒ ของเอราวัณ เหล่าเทพบริวารที่เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในจริยาวัตรของเทพบดีพระองค์ใหม่ ต่างพากันเข้าไป
แวดล้อมแซ่ซร้องสาธุการด้วยเสียงอันดัง จนดาวดึงส์สวรรค์สะเทือนเลื่อนลั่นไปด้วยเสียงเหล่านั้น เทพบดีองค์เดิมยังคงประทับอยู่ในสวรรค์ ดำรัสถามบริวารด้วยความพิศวงว่า
“เอ๊ะ เสียงอะไรนะนั่น ? ” ขณะเดียวกับที่บริวารที่มิได้มีเลื่อมใสในเทพบดีพระองค์ใหม่รีบพากันกระหืดกระหอบไปเฝ้าละล่ำ ละลักกราบทูลว่า
“ได้โปรดพระเจ้าข้า เทพบดีพระองค์ใหม่อุบัติแล้ว ดาวดึงส์สวรรค์ทั้งพิภพสั่นสะเทือนด้วยแรงบุญแห่งเทพพระองค์นั้น”
“หือ! เจ้าว่าอะไรนะ?” ตรัสถามด้วยความไม่แน่พระทัย
“เทพบดีพระองค์ใหม่พระเจ้าข้า ทรงอุบัติแล้ว พร้อมด้วยเทพบริวารมากมายในสวรรค์พิภพของเรา”
“เขากับเราไหนจะมีฤทธิ์กว่ากัน?”
“เทพพระองค์ใหม่นี้ พอจะเทียบได้กับพระองค์เมื่ออุบัติในสวรรค์นี้ใหม่ ๆ พระเจ้าข้า”
“เออ ถ้ากระนั้นก็คงไม่สู้กระไรนักหรอก”
“แต่...แต่ทว่า......”
“เฮ้ยหยุด!"อสุรสารถีรีบตวาดห้ามมิให้ผู้นั้นทูลต่อเพราะรู้ว่า เทพนั้นจะเตือนให้ทรงทราบถึงสังขาร อันเสื่อมโทรมด้วยฤทธิ์น้ำเมาที่เขาปรนเปรอ แล้วหันมากราบทูลว่า
“อย่าทรงหวั่นพระทัยไปเลยพระเจ้าข้า เทพเหล่านั้นถ้าได้ลิ้มรส น้ำทิพย์ของเราก็จะต้องติดใจ ไปไหนไม่รอด ย่อมจะต้องยอมลงให้แก่เรา ไม่กล้าเผยอออกมาเทียบเทียมพระองค์ได้ ได้โปรดมีรับสั่ง
ให้เชิญเขาเหล่านั้นมาที่นี่ เพื่อร่วมดื่มกับพวกเราเถิดพระเจ้าข้า”
“จริง จริงของเจ้า” พลางทรงมีพระบัญชาให้ดำเนินตามแผนของมาตังคาสุรเทพนั้น
ภายนอกอุทยานสวรรค์
“ได้โปรดพระเจ้าข้า พระองค์อย่าได้ทรงหลงเชื่อเจ้าพวกนั้นเลย มันทำอุบายเชิญเสด็จพระองค์ไป เพื่อจะได้มอมน้ำเมาแก่พระองค์จะทำให้พระองค์เสื่อมฤทธิ์เสื่อมอำนาจด้วยความมัวเมา อย่าเสด็จเลยพระเจ้าข้า อยู่เป็นที่พึ่งของพวกเกล้ากระหม่อมฉันเถิด”
เทพบริวารทั้งปวงพากันทักท้วง คร่ำครวญ คัดค้านเสียงอื้ออึง เมื่อได้ทราบว่า สักรินทร์พระเทพบดีพระองค์ใหม่ตัดสินพระทัยที่จะรับคำเชิญของเจ้าสวรรค์เดิม สักรินทร์ทรงชะงักอึ้งไปครู่หนึ่งก็มีเทวดำรัสว่า
“เรารับปากเขาไว้แล้วว่าจะไป ย่อมจะต้องไป ประการหนึ่ง สิงห์สองครองถ้ำหนึ่ง จะอยู่ได้อย่างไร เราต้องไป”
“แต่....แต่ว่า....”
“เอาเถิด เรารู้ท่านทั้งหลายเป็นห่วงเรา เกรงว่าเราจะตกเป็นเหยื่อเขา แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราจะกวาดล้างปฏิกูลบนสวรรค์นี้เสีย มีประโยชน์อันใดที่เราจะมาครองสมบัติอันมีมลทินเช่นนี้ พวกเจ้าจงไปด้วยกับเรา และจงระวังตัว อย่าดื่มน้ำเมา ให้พวกมันดื่มฝ่ายเดียว แล้วเราจักเหวี่ยงพวกมันจากสวรรค์ มาไปด้วยกันเถิด!” ตรัสพลางเสด็จนำหน้าพาเทพบริวารทั้งปวง ไปยังสำนักเจ้าสวรรค์เดิม
ณ อุทยานสวรรค์
“เชิญเสด็จพระเจ้าข้า พระสหาย ยินดีที่ทรงอุตส่าห์เสด็จมา”
จอมสวรรค์องค์เดิมออกมาต้อนรับด้วยสีพระพักตร์ยิ้มแย้ม สุรเสียงอ้อแอ้ด้วยฤทธิ์น้ำทิพย์ สักรินทร์เสด็จตามเจ้าสวรรค์เดิมไป ด้วยความสังเวชพระทัย เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นความเสื่อมแห่งทิพยกาย และทิพยโภคะเหล่านั้น ตลอดจนพักตร์ที่หมองคล้ำ มึนเมา สรีรซูบ ปราศจากราศีของเทพบดีองค์เก่าและบริวาร
“เชิญเสด็จประทับตามสบายและร่วมเสวยกับหม่อมฉัน”
“ขอบพระทัย เชิญพระองค์พระเจ้าข้า” ท้าวสักกะและเทพบริวาร พยายามระมัดระวังพระองค์ ไม่ยอมแตะต้องของเมา
เมื่อเห็นเหล่าอสุรเทพ ซึ่งพากันดื่มน้ำทิพย์นั้นด้วยความเริงใจจนขาดสติ ล้มกลิ้งอยู่ระเนระนาด จึงทรงให้สัญญาณแก่เทพบริวารของพระองค์ พากันจับเหล่าอสุรเทพทั้งหลายที่ข้อเท้าทั้งสอง เหวี่ยงลงไปยังมหาสมุทร กลายเป็นอสูร3
เเต่ด้วยอำนาจกุศลกรรมในอดีตที่สร้างไว้เเต่เมื่อเป็นมนุษย์ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง อสูรพิภพเเละอสูรพิมานอันกว้างใหญ่จึงผุดขึ้น บุญของเขาเหล่านั้นใต้เขาสิเนรุ เเละมีต้นไม้ชื่อ จิตตปาลิ (ต้นเเคฝอย) เกิดขึ้น ณ ที่นั้น
1เดิมมีกำเนิดเป็นช้าง พระราชาบังคับให้เหยียบมฆมานพแล้วไม่ยอมเหยียบ เมื่อพระราชาประทานให้เป็นช้างพาหนะของมฆมานพและสหาย ได้มีหน้าที่คอยนำคนเดินทางไปยังศาลาที่มฆมานพและสหายสร้างไว้ให้เป็นที่อาศัย ด้วยอานิสงส์นี้ทำให้ได้เกิดเป็นเทพบุตรเอราวัณ เมื่อสิ้นชาติจากโลกมนุษย์แล้ว
2มฆมานพ เมื่อได้เป็นเจ้าสวรรค์มีอีกชื่อหนึ่งว่ามัฆวาน
3เดิมเป็นเทพชนิดหนึ่งซึ่งประกอบด้วยบุญฤทธิ์ เหตุที่ประมาทมัวเมาด้วยน้ำคันธบานหรือเรียกว่า “สุรา” จึงเลื่อมฤทธิ์ เมื่อถูกเหวี่ยงจากสวรรค์ได้ปฏิญาณว่าจะไม่ดื่มสุราอีก จึงได้ชื่อว่า “อสุรา” หรือ “อสูร” ทุกๆปีเมื่อดอกแคฝอยบาน รำลึกถึงสวรรค์ที่อยู่เดิม ก็ยกพลขึ้นไปทำศึกกับเทวดาบนดาวดึงส์
ในทางวรรณคดีสันสกฤตนั้นว่า เมื่อพวกเทพและอสูรร่วมกันกวนน้ำอมฤต ถูกพวกเทพหลอกให้ดื่มสุราจนเมา เทพจึงได้ดื่มอมฤตแต่พวกเดียวกลายเป็น"อมร” คือไม่ตาย เมื่ออสูรสร่างเมาก็โกรธ ปฏิญาณว่าจะไม่ดื่มอีก และขึ้นไปรบกับพวกเทวดาเสมอ ๆ เช่นกัน
จากหนังสือ กำเนิดพระอินทร์ โดย ศิริกุล ศุภวัฒนะ
จัดพิมพ์: ฝ่ายวิชาการ วัดพระธรรมกาย (มกราคม ๒๕๓๒)