นิ่งแล้วต้องขยาย
ทำถูกแล้วนิ่งไว้ |
กลางดวง |
เฉยต่อสิ่งทั้งปวง |
อย่างนั้น |
ตรงกลางจักค่อยกลวง |
ทะลุโล่ง |
พระผุดเป็นชุดชั้น |
หลายชั้นเป็นตอนตอน |
ตะวันธรรม
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้วต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ ทำใจให้ใส ๆ นะ หลับตาเบา ๆ พอสบาย ๆ หลับตาสักค่อนลูก คล้าย ๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตาอย่ากดลูกนัยน์ตา
อย่ากดลูกนัยน์ตานะ ต้องจำตรงนี้เอาไว้ให้ดี เดี๋ยวเวลาปฏิบัติจริง ๆ แล้วมันลืม หลับพอสบาย ๆ ถ้าหลับตาเป็นเดี๋ยวเราจะเห็นภาพภายใน เห็นแสงสว่าง เห็นสิ่งที่มีอยู่จริง เพราะ ฉะนั้นหลับตาให้เป็น แล้วก็ทำใจให้เบิกบาน แช่มชื่น ให้สะอาดบริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ปล่อย วาง ทำใจให้ว่าง ๆ แล้วก็สมมติว่า ภายในร่างกายของเรานั้นปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไตหัวใจ เป็นต้น สมมติให้เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง เป็นที่โล่ง ๆ ว่าง ๆ กลวงภายใน คล้าย ๆ ท่อแก้ว ท่อเพชรใส ๆทำไปตามขั้นตอนอย่างนี้นะ
แล้วก็นึกว่าร่างกายเราขยายไปเรื่อยๆ ทำความรู้สึกก็ได้ รู้สึกว่าร่างกายของเราพองโตขยายไปจนสุดขอบฟ้าไปเลยทำบ่อย ๆ จะมีความรู้สึกอย่างนี้จริง ๆ ภายในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา มีแต่ดวงใส ๆ กลมรอบตัว เหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ ใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิ ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว มีแต่ความใส ความบริสุทธิ์ ใสเหมือนเพชร แล้วก็สว่างเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าแสงนั้นไม่เคืองตา นุ่มเนียน ละมุนละไม เหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ทำความรู้สึกอย่างนี้ไปก่อนนะ แต่สำหรับผู้ที่ใจยังไม่ละเอียดก็ค่อย ๆ ทำไป
หรือจะนึกถึงองค์พระใส ๆ ใสเป็นเพชรนะ ให้เจิดจ้าเหมือนเพชรต้องแสง เกตุดอกบัวตูม เหมือนดอกบัวสัตตบงกชที่มีลักษณะป้อม ๆ ขนาดกำลังพอดี ตั้งอยู่บนจอมกระหม่อมบนพระเศียรที่มีเส้นพระศกหรือเส้นผมขดเวียนเป็นทักษิณาวรรต หมุนขวาตามเข็มนาฬิกา เรียงรายอย่างมีระเบียบ ใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรเหมือนกัน
เราก็มองลงไป จะเห็นบ่าทั้งสอง หัวไหล่ ต้นแขน ไล่ไปถึงข้อมือถึงฝ่ามือที่หงาย นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักขององค์พระที่ใสบริสุทธิ์ ในท่าขัดสมาธิขาขวาทับขาซ้าย เมื่อเรานึกถึงท่านซึ่งเป็นตัวแทนของพุทธรัตนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ถ้าดวงใส ๆ ก็แทนธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เราจะนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายก็ได้ ให้เรามองดู อย่างไหนเหมาะกับเรา คือนึกแล้วง่าย เราก็เอาอย่างนั้น
เราจะเห็นว่า การทำสมาธิไม่ได้ยากอะไรเลย เป็นเรื่องง่าย ๆ สบาย ๆ แล้วก็ปลอดภัย เรียบง่าย สบาย ปลอดภัยไม่มีพิษมีภัยจากการทำสมาธิ เหมือนพระเดชพระคุณหลวงปู่ที่อยู่ในโพรงต้นโพธิ์ ท่านก็ยืนยันว่า การทำใจให้เกิดสมาธิ ให้ใจตั้งมั่น มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด สามารถทำได้กันทุกคน ขอให้เข้าใจหลักวิชชา เรียบง่าย สบาย ปลอดภัย ถ้าเราทำให้มันง่าย มันก็จะง่าย
ตอนนี้เรานึกถึงดวงหรือองค์พระก็ได้ ในช่วงที่เราจะกลั่นจิตกลั่นใจของเราให้ใส ๆ เพื่อให้ใจของเราเหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ก็ดี รองรับพระของขวัญก็ดี หรือจะไปดึงดูดเชื่อมโยงกับบุญเก่าก็ดี ใจต้องใส ต้องหยุด ต้องนิ่ง อย่างสบาย ๆ ถ้าเราฝึกตรงนี้ได้ ไม่ช้าเราก็จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว แล้ว
เราก็จะได้มีโอกาสศึกษาวิชชาธรรมกาย ซึ่งเป็นความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และหลังจากนั้นเราก็มีอุปกรณ์ในการที่จะไปศึกษาค้นคว้าความรู้ที่มีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก จะเป็นเรื่องกฎแห่งกรรมก็ดีเรื่องอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หรือสุคติโลกสวรรค์อะไรต่าง ๆเหล่านั้น มันก็อยู่ในวิสัยที่เราจะไปศึกษาได้
สำคัญฝึกตรงนี้ให้ได้กันเสียก่อน ให้หยุดนิ่งต้องฝึกกันทุกวัน ถึงขั้นหลงใหลนั่นล่ะ เหมือน
เรารักสิ่งใด อยากจะได้สิ่งนั้นมาก ๆ ต้องถึงขั้นหลงใหล ถ้าไม่ได้ยอมตาย ต้องอย่างนั้น การปฏิบัติธรรมถึงจะก้าวหน้า เดี๋ยวสิ่งที่ยากก็จะง่ายสิ่งที่ง่ายอยู่แล้วก็ยิ่งเปิดเผยความจริงออกมาแล้วในที่สุดก็เข้าถึงได้
ตอนนี้เราหยุดใจนิ่ง ๆ อยู่ในกลางดวงใส ๆ หรือหยุดในกลางองค์พระใส ๆ ให้ใสเหมือนกับเพชร หรือเหมือนดวงดาวในอากาศ ที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หรือดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ หรือดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ตรึกนึกถึงดวงใสบริสุทธิ์กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ ทำความรู้สึกอย่างนี้นะ
ให้ใจคลอเคลียอยู่กับความใสของดวงใส ๆ หรือองค์พระใส ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วเวลาเรานึกก็ต้องนึกเบา ๆค่อย ๆ นึก อย่าไปใช้กำลังในการนึกคิด หรือถ้าหากว่าเราอดใช้กำลังไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปนึก ทำใจให้นิ่งอย่างเดียว นิ่งอย่างสบาย ใจก็เบิกบาน แช่มชื่น
นิ่ง...ขยาย ไม่ใช่นิ่งแล้วแคบ ถ้าเรานิ่งเป็นจะขยาย ถ้านิ่งไม่เป็นมันจะแคบ นิ่งแคบมันจะเป็นตอนที่เราตั้งใจมากเกินไปไปบีบ ไปเค้น บีบเค้นใจของเรา อย่างนี้ผิดหลักวิชชา อย่าฝืนดันทุรังทำต่อ นิ่งแล้วต้องขยาย ต้องรู้สึกสบาย แม้จะยังไม่เห็นอะไรก็ตาม อยากให้ลูกทุกคนได้ตรงนี้ เข้าใจตรงนี้นะ เพราะ
ฉะนั้นก็ต้องค่อย ๆ วางใจเบา ๆ เหมือนขนนกที่ล่องลอยไปในอากาศ แล้วค่อย ๆ ตกไปในพื้นดินก็ดี พื้นน้ำก็ดี ต้องเบาอย่างนั้นนะ
นึกง่ายๆ
เวลาจะนึกถึงดวงหรือองค์พระ ให้นึกง่าย ๆ คล้ายกับเรานึกถึงดอกบัวที่เราบูชาพระเจดีย์อย่างนั้น พอเรานึกภาพดอกบัว ดอกบัวก็เกิด บางคนชัดมาก บางคนชัดน้อย แต่ที่นึกไม่ออกเป็นไม่มี พอเรานึกถึงดอกบัว เราก็นึกเห็นได้ นั่นแหละคือภาพทางใจ ที่เราเรียกว่า “เห็น”
เห็นอย่างนั้นไปก่อน แต่มันยังไม่สมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ จะได้ ๒๐, ๓๐ เปอร์เซ็นต์ จาก ณ จุดตรงนั้นก็จะค่อย ๆ นิ่งไปเรื่อย ๆ นิ่ง นุ่ม ละมุนละไม ใจไม่ไปที่ไหนเลย และพอถึงจุด ๆ หนึ่ง มันนิ่งจริง ๆ นิ่งเหมือนเราวางของเอาไว้อยู่กับที่อย่างนั้น ตอนนี้เราจะขยาย เบา สบาย ภาพที่เห็นรัว ๆ ราง ๆ
ก็จะชัดขึ้นมาเลย ชัดมาในระดับที่เรามีความปลื้มปีติว่า เออเรานึกเห็นได้จริง ๆ นะ ที่นึกเห็นได้อย่างสบาย ไม่ใช่นึกเห็นได้อย่างลำบาก จะมาอยู่ในระดับนี้
แล้วพอเรานิ่งหนักเข้าไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวจากนึกเห็นจะแปรเปลี่ยนมาเป็นการเห็นจริง ๆ เห็นเหมือนกับเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก เหมือนจำลองหรือซีร็อกซ์เข้าไปเลย จะชัดอย่างนั้นแต่บางทียังไม่ใส หรือบางทีใสแต่ยังไม่สว่าง ก็ต้องค่อย ๆให้มีชั่วโมงหยุด ชั่วโมงนิ่ง ชั่วโมงกลางให้เยอะ ๆ ต้องทำบ่อย ๆทำซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่าไปทอดทิ้งการฝึกหยุดนิ่ง ต้องฝึกให้ปะติดปะต่อกันสม่ำเสมอทุกวัน
โดยเฉพาะการบ้านที่ให้ไปนั่นแหละสำคัญมาก จะช่วยเพิ่มชั่วโมงหยุด ชั่วโมงนิ่ง ชั่วโมงกลาง และความคุ้นเคยกับสิ่งที่เรานึก ภาพก็จะชัดขึ้นมาเรื่อย ๆ บางทีอาจจะชัดขึ้นมาแวบหนึ่ง แค่นาทีหนึ่ง พอเราไม่ทอดทิ้งการฝึก มันก็นานเป็น๕ นาทีบ้าง ๑๐ นาทีบ้าง และก็มากเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งชัดเจน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ นี่สำหรับการฝึกฝนของบางท่านนะแต่บางท่านพอใจนิ่งแล้ว บุญเก่ากับบุญใหม่เชื่อมโยงกันถูก
ส่วนก็จะสว่างพรึบเลย อย่างนี้ก็มี แต่ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ ที่บุญเก่าทำมามาก ตามมาส่งผล แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มฝึกก็จะเป็นไปตามขั้นตอนที่หลวงพ่อว่า
ปีใหม่นี้อยากให้ลูกทุกคนฝึกให้ได้ ให้สม่ำเสมอ ตั้งแต่เริ่มต้นปีใหม่เรื่อยไปเลย อย่าให้ขาดเลยแม้แต่เพียงวันเดียวทำให้สม่ำเสมอทุกวัน เพื่อที่ว่าเมื่อครบ ๓๖๕ วันแล้ว เมื่อเรานึกย้อนหลังจะได้มีปีติปลาบปลื้มใจที่เราทำความดี เพราะทำได้สม่ำเสมอ และมันก็จะมีผลให้ใจเราละเอียด สั่งสมความละเอียดเพิ่มขึ้น จนกระทั่งไปถึงจุดที่เราละเอียดจริง ๆ มันจะต้องฝึกไปเรื่อย ๆ นะ
หาบุญได้ ใช้บุญเป็น
เวลาในโลกนี้ เดี๋ยววัน เดี๋ยวคืน เดี๋ยวก็จะหมดเวลาแล้วเราเกิดมาสร้างบารมีนะ เกิดมาสร้างบารมีจริง ๆ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อหมกมุ่นอยู่ในโลกนี้ หรือแสวงหาทรัพย์เพียงอย่างเดียว โดยไม่แสวงหาบุญ หรือที่พึ่งภายใน ถ้าเราแสวงทรัพย์ เราก็จะได้แต่ทรัพย์ บางคนได้พอกินพอใช้ บางคนก็ได้ไปเรื่อย ๆ และก็เพลินกันไปจนกระทั่งหมดเวลา
บุญเก่าที่เราทำมา เรายังเอามาใช้ได้ไม่ครบถ้วนบริบรูณ์ตามวัตถุประสงค์ ที่จริงส่วนหนึ่งเราควรจะเอามาใช้ดูดทรัพย์เพื่อนำมาเลี้ยงสังขาร เพื่อเอาสังขารไปแสวงหาพระรัตนตรัย
ในตัว ทรัพย์ที่ได้มาก็เอามาสร้างบารมี นี่วัตถุประสงค์เป็นอย่างนี้อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า เราใช้บุญเก่าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์เพราะฉะนั้นบุญเก่าที่เรามีอยู่ ต้องใช้ให้เป็น หาบุญได้ ใช้บุญเป็น เรื่องนี้สำคัญ ถ้าใช้ไม่เป็นมันก็จะสูญเสียกันไปเปล่า ๆ
แต่ถ้าพอเราได้บุญมา และเราก็ใช้บุญไปอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน โดยเราไม่รู้ตัวว่าทุก อนุวินาทีเรากำลังใช้บุญเก่าทำให้เรามีชีวิตดำรงอยู่ เราจะไปสู้รบปรบมืออะไรกับใครก็ต้องใช้บุญทั้งนั้นจึงจะเอาชนะเขาได้ เมื่อใช้ไปก็มีวันหมด ชีวิตมันเป็นอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นบุญเขามีเอาไว้ใช้สนับสนุนการทำ
หยุดทำนิ่ง เพื่อให้เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัว เข้าถึงแผนผังของชีวิต ความจริงของชีวิต จะได้หลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร เขามีเอาไว้เพื่อการนี้เท่านั้น
พระเทพญาณมหามุนี
วันพุธที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๖
จากหนังสือ ง่ายเเต่ลึก เล่ม 2
โดยคุณครูไม่ใหญ่