ภูตผี-วิญญาณ-สัมภเวสี
เมื่อมนุษย์เราต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเราตายไปในชาตินี้ก็จะต้องไปเกิดใหม่ในภพภูมิต่างๆ ตามกำลังบุญกำลังบาปที่เราได้สร้างเอาไว้
บางคนทำบุญมามากก็ไปเกิดบนสวรรค์ ถ้าทำบาปก็ตกนรก หรือไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานก็มี หรือว่าอาจจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่อีกครั้งก็ได้
ในกรณีที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่อีกครั้งนั้น เราจะมาเกิดเป็นคนที่มีตระกูลสูงตระกูลต่ำ แข็งแรงหรือไม่แข็งแรงนั้น ก็ขึ้นอยู่กับแรงบุญแรงบาปที่ตัวเองสร้างเอาไว้นั่นเอง
สิ่งที่ไปเกิดใหม่นี้เอง เราเรียกว่า “วิญญาณ” บางท่านเรียกว่า “ผี” หรือบางท่านก็เรียกว่า “กายละเอียด” หลายท่านจึงอาจจะเกิดความสงสัยว่า จริงๆ แล้ว วิญญาณ ผี หรือกายละเอียดนั้นแตกต่างกันหรือไม่
ผี-สัมภเวสี
คำว่า “ผี” เป็นคำเรียกที่เป็นกลางๆ ซึ่งครอบคลุมกายละเอียดทั้งหมด เวลาที่เราไปเจออะไรที่ไม่ใช่มนุษย์ปกติ เช่น เห็นเหมือนคนหิ้วหัวเดินโทงๆ มา ก็ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน คนทั่วไปก็มักจะบอกว่า เราเจอผี ซึ่งจริงๆ แล้วผีก็มีหลายแบบ เช่น กายสัมภเวสี คล้ายๆ กับผีเร่ร่อน คือ คนที่ตายไปแล้ว แต่มีบุญไม่มากถึงขนาดจะไปเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า และบาปก็ไม่ได้แรงถึงขนาดตกนรก บุญกับบาปที่มีอยู่สูสีกัน จึงยังล่องลอยเร่ร่อนอยู่บนโลก บางที่ที่มีคนไหว้เจ้าหรือไหว้พระภูมิเจ้าที่ กายละเอียดที่มากินเครื่องเซ่นต่างๆ นั้น ก็เป็นพวกกายสัมภเวสีที่ล่องลอยอยู่นี้เอง
ภุมมเทวา
กายละเอียดที่สูงขึ้นมาหน่อยก็คือ “ภุมมเทวา” เป็นเทวดาชั้นต้นอยู่ที่พื้นผิวดิน เช่น อยู่แถวจอมปลวก อยู่กันเป็นหมู่บ้านก็มี ซึ่งภุมมเทวาเองก็มีทั้งแบบโลว์โซและไฮโซ ซึ่งคำว่า “โลว์โซ” หรือ “ไฮโซ” นั้นขึ้นอยู่กับกำลังบุญ ถ้าเป็นแบบโลว์โซก็อยู่กันแบบหมู่บ้านคล้ายๆ กับที่คนอยู่ ดีกว่าผีเร่ร่อนหน่อยเพราะเป็นกายละเอียดที่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
ส่วนภุมมเทวาที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ก็อยู่วิมานสวยงามขึ้นอีกระดับหนึ่ง บางจังหวะคนไปเจอเข้า เขาก็เรียกรวมๆ ว่า “ผี” ซึ่งความจริงแล้วไม่เหมือนกัน
รุกขเทวา
กายละเอียดที่สูงกว่าภุมมเทวาขึ้นไปอีกระดับก็คือ “รุกขเทวา” เป็น เทวดาที่อยู่ในต้นไม้ใหญ่ บางทีก็มีวิมานใหญ่โตสวยงามซ้อนอยู่ในนั้น แต่เราอย่าไปคิดว่าต้นไม้ลำต้นขนาดเท่าใด วิมานของรุกขเทวาในต้นไม้คงจะเป็นหลังเล็กๆ ตามขนาดต้นไม้นั้น ในความเป็นจริงแล้ว ของละเอียดขนาดใหญ่กว่า สามารถซ้อนอยู่ในของที่เล็กกว่าได้ ดังเช่น วิมานของรุกขเทวาที่มีขนาดใหญ่โตกว่าลำต้นของต้นไม้ที่เราเห็น
อากาศเทวา
“อากาศเทวา” มีวิมานอยู่บนอากาศ สูงจากผิวดินไปประมาณ 16 กิโลเมตร คือ 1 โยชน์ มนุษย์มองไม่เห็น ส่องกล้องดูก็ไม่เจอ เพราะเป็นมิติซ้อนมิติ เป็นของละเอียดนั่นเอง
ถ้าสูงกว่านั้นขึ้นไปอีก ก็จะเป็นเทวดาชั้น “จาตุมหาราชิกา” ไม่ได้อยู่บนพื้นโลกทั่วไป แต่อยู่ที่เชิงเขาพระสุเมรุในสวรรค์ชั้นที่ 1
จริงๆแล้วทั้งภุมมเทวา รุกขเทวา และอากาศเทวา ทั้งหมดนี้ก็สงเคราะห์อยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกานี้เหมือนกัน แต่เป็นเทวดาระดับต้นๆ
กายละเอียดบนชั้นจาตุมหาราชิกาค่อนข้างหลากหลายมาก นอกเหนือจากเทวดา นางฟ้าที่มีวิมานอยู่ในสวรรค์โดยตรงแล้ว ยังมีที่เราคุ้นชื่อกันอยู่อีก เช่น ยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ เป็นต้น
ยักษ์
ยักษ์ก็มีทั้งโลว์โซกับไฮโซ สำหรับยักษ์โลว์โซ ก็คือ ยักษ์ที่มีเขี้ยวโง้ง ผมหยิก ตัวดำ คิ้วหนา ตาโปน ดูน่ากลัว แต่ถ้าเป็นยักษ์แบบไฮโซจะไม่มีเขี้ยวโง้งออกมา มีเพียงฟันเขี้ยวพอให้สวยงามเท่านั้น ผิวพรรณดี ดูเหมือน เทวดา นางฟ้า แต่จะมีดวงตาเข้มๆ เมื่อเวลาโกรธถึงจะมีเขี้ยวโง้งงอกออกมา
คนธรรพ์ ครุฑ นาค
“คนธรรพ์” มีหน้าตาคล้ายๆ กับเทวดาที่เราเห็นทั่วไป คล้ายมนุษย์ แต่มีผิวพรรณวรรณะดีกว่ามนุษย์ พวกนี้จะเก่งเรื่องดนตรี ศิลปะ วิทยาการต่างๆ และยังมีพวกครุฑ นาค ซึ่งสงเคราะห์อยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาทั้งสิ้น
หากเป็นสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไปอีก อย่างสวรรค์ชั้นที่ 2 คือ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นชั้นของพระอินทร์ กายของ เทวดา นางฟ้า บนสวรรค์ชั้นนี้ จะมีรัศมีเปล่งปลั่งมากขึ้น
บางทีเทวดาชั้นเหล่านี้ ก็ลงมาบนเมืองมนุษย์ด้วยเหตุแห่งผู้มีบุญก็มี เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม หรือพระบรมโพธิสัตว์มาสร้างบารมี เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่ที่พบเจอบ่อยๆ บนโลกมนุษย์ก็จะเป็นกายสัมภเวสี ภุมมเทวา เป็นต้น แต่คนทั่วไปไม่รู้จัก พอเจอเข้าก็คิดว่าเป็นผี เหมารวมกันไปอย่างนี้ แต่จริงๆ นั้นแยกย่อยแล้วได้หลายแบบ ซึ่งถ้าย่อยกว่านี้ก็มีอีก เช่น ปีศาจ เป็นต้น
ทำไมบางคนจึงสามารถมองเห็นผีได้
บางท่านที่สามารถมองเห็นผีได้นั้น ขึ้นอยู่ที่จังหวะว่าอายตนะใกล้เคียงกันเมื่อใด ก็จะเห็นได้ บางทีกายละเอียดเหล่านั้น เขาก็อยากให้เราเห็น เพราะอาจจะเป็นญาติของเราที่ตายไปแล้วเขาอยากแสดงตัว ถ้าจิตของเราเองอยู่ในภาวะที่กำลังนิ่งพอดีก็จะเห็นได้ ขึ้นอยู่กับความนิ่งของใจในขณะนั้น ไม่ได้ขึ้นกับว่าเป็นคนจิตแข็งหรือจิตไม่แข็ง แต่ต้องประกอบด้วยเหตุปัจจัยหลายๆ อย่างที่พอดีกันนั่นเอง
ประสบการณ์พิเศษของคณะปฏิบัติธรรม
เมื่อตอนไปปฏิบัติธรรมที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพปุย ซึ่งเป็นบ้านพักของกรมป่าไม้ที่ไปขอพักแล้วก็ปฏิบัติธรรมกัน มีบ้านแคแสด บ้านทหารไทย เรือนซูการ์โน เป็นต้น
อาตมภาพไปครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2525 ก็มีคนเจอประสบการณ์พิเศษๆ อยู่บ้าง มีคุณหญิงท่านหนึ่ง ท่านไปนอนอยู่ที่เรือนซูการ์โน ที่ชื่อนี้เพราะว่าสร้างขึ้นมาเพื่อต้อนรับประธานาธิบดีคนแรกของประเทศอินโดนีเซีย ตอนมาเยือนประเทศไทย เนื่องจากอยู่บนบนดอยซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณพันกว่าเมตร พอตกกลางคืนอากาศก็เย็น จึงต้องห่มผ้าห่ม จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีใครมาดึงผ้าห่มไป นึกเอาว่าเพื่อนที่มาด้วยกันแย่งผ้าห่มก็เลยดึงกลับมา สักพักก็ถูกดึงกลับไปอีก เลยชักสงสัยจึงตื่นแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาดู ปรากฏว่าตัวเองก็นอนอยู่บนเตียง
แต่ที่ข้างเตียงมีใครก็ไม่รู้นอนลอยนิ่งอยู่กลางอากาศระดับเดียวกับเตียง แล้วก็เป็นคนดึงผ้าห่มไปห่ม คิดไปคิดมาเลยคิดว่ายกผ้าห่มให้เขาไปเลยดีกว่า ไม่ดึงกลับแล้ว จากนั้นก็รีบหลับตาโดยเร็ว ท่อง “สัมมา อะระหังๆ ๆ ๆ” นึกถึงองค์พระเป็นการใหญ่เลยทีเดียว
อีกท่านหนึ่งนอนอยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงดัง พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาลืมตาดูเห็นใครเดินอยู่ที่ข้างฝา จู่ๆ เดินออกมาจากผนังได้ ก็แปลกดีเหมือนกัน แล้วหายวับไปกลางอากาศเลยอย่างนี้ก็มี
มีบางท่านเห็นตอนกลางวันแสกๆ คือ โดยปกติที่นั่นเขาจะขึ้นไปนั่งสมาธิที่เรือนตำหนักตั้งแต่เช้ามืดจนกระทั่งสว่าง แล้วพอรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ประมาณ 8 โมงครึ่งก็ไปนั่งสมาธิต่อจนถึง 11 โมง จากนั้นรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จ บ่ายโมงครึ่งก็นั่งสมาธิรวดไปถึง 4-5 โมงเย็น พอกลางคืนอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยประมาณ 6 โมงเย็นก็มานั่งสมาธิต่อรวดยาวจนถึง 3 ทุ่ม วันหนึ่งนั่งสมาธิ 4 รอบ
มีอยู่คราวหนึ่งคณะปฏิบัติธรรมส่วนหนึ่ง นั่งสมาธิเสร็จช่วงบ่ายๆ แล้วก็เดินลงมาจากที่นั่งสมาธิเรือนตำหนักซึ่งอยู่บนเนินสูง มีลักษณะเป็นยอดเนิน และมีถนนรอบเนิน มีบ้านเกาะเนินไปตามทางถนน ซึ่งทางเข้าบ้านก็ออกแบบอย่างสวยงามตามธรรมชาติ คือ ใช้ตอไม้ตอโตๆ มาทำแทนขั้นบันไดให้เราเดินลงไปเรื่อยๆ ส่วนตัวเรือนที่ปลูกไว้เป็นบ้านแบบมีเสายกพื้นขึ้นมา
คราวนี้คณะปฏิบัติธรรมก็เดินลงบันไดที่ทำจากตอไม้เป็นแถวมาประมาณ 4-5 คน ค่อย ๆ เดินไปก้มดูตอไม้ไป พอใกล้จะถึงบ้านพัก เงยหน้าขึ้นมาดูก็ตกใจ เพราะปรากฏว่าเจอใครก็ไม่รู้ใส่ชุดไทยสวยงามมานั่งอยู่ที่ระเบียงบ้าน กำลังก้มหน้าก้มตาแกว่งขาเล่น ท่าทางสบายอกสบายใจ
พอคนที่กำลังแกว่งขาเล่นอยู่นั้น เขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นคณะผู้ปฏิบัติธรรม 4-5 คนกำลังเดินลงมาก็ตกใจเหมือนกัน เลยตีลังกาม้วนเข้าใต้ถุนหายวับไปเลย เรียกว่าคนก็ตกใจผี ผีก็ตกใจคน อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน เห็นกันกลางวันแสกๆ พร้อมๆ กัน ทั้ง 4-5 คน
บางทีพอคณะหนึ่งปฏิบัติธรรม 7 วันเสร็จเรียบร้อยก็กลับไป แล้วก็มีคณะใหม่ขึ้นมาแทน มีบ้างบางช่วงที่เว้นว่างไป แต่ก็มีคนอยู่ประจำที่นั่น ซึ่งท่านเป็นอุบาสิกาชื่อถวิล บวชเป็นแม่ชี แต่ก่อนท่านเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่ง ต่อมาลาออกจากราชการแล้วมาปฏิบัติธรรม บวชเป็นแม่ชีแล้วก็มาปฏิบัติธรรม ซึ่งท่านก็นั่งธรรมะได้ดีพอสมควร
เมื่อคณะผู้ปฏิบัติธรรมกลับกันหมดแล้ว ท่านก็พักที่บ้านทหารไทยคนเดียว รอผู้ปฏิบัติธรรมรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมา แต่แปลกดีที่บางทีท่านก็เห็นในห้องน้ำมีมือใครก็ไม่รู้เอื้อมออกมาจับลูกบิดข้างนอก ท่านก็รู้สึกว่าใจมันหวิวๆ เหมือนกัน
เพราะท่านอยู่คนเดียวไม่มีใครอื่น แต่ด้วยความอยากรู้จึงตั้งสติมั่น ทำใจให้เป็นสมาธิ แล้วเดินเข้าไปที่ห้องน้ำนั้น คิดว่าเปิดประตูเข้าไปดูเลยดีกว่าให้เห็นจะจะว่ามือนั่นเป็นของใคร พอทำใจแข็งเดินเข้าไปที่ห้องน้ำ มือนั้นก็ค่อยๆ รูดถอยไป พอเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปถึงก็ไม่พบใครอย่างนี้ก็มี
บางทีท่านเข้าไปนอนอยู่ในมุ้งแล้วก็มีเสียงดังก๊อกๆ แก๊กๆ ที่ประตูทางเข้าใหญ่ ซึ่งเรือนหลังใหญ่มีห้องพักแยกย่อยอยู่ 4-5 ห้อง ตัวเองอยู่ในห้องย่อยได้ยินเสียงดังจากประตูใหญ่ เสียงก๊อกๆ แก๊ก ๆ จึงนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่อุทยานมาเอาน้ำอัดลมในตู้เย็นไปดื่ม แต่เพื่อความแน่ใจก็เลยตะโกนถามไปว่า
“นั่นใครหรือ”
อุตส่าห์ตะโกนถามเสียงดัง ปรากฏว่าเสียงตอบกลับเป็นเสียงกระซิบที่ริมมุ้งว่า
“คน...นนน” อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน
เจริญพร
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ