กระตุ้นจินตนาการต่อยอดสู่อนาคต

วันที่ 26 ตค. พ.ศ.2563

กระตุ้นจินตนาการต่อยอดสู่อนาคต

 

631026_b.jpg

 

            ความรู้เป็นพื้นฐาน จินตนาการคือการต่อยอดสู่อนาคต ถ้าเราใช้จินตนาการแบบไม่มีความรู้พื้นฐานเลย ก็จะทำให้เรา คิดอะไรไม่ออก เหมือนกับ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถ้าเขาไม่มี ความรู้พื้นฐานเรื่องกฎของนิวตันเลย ความคิดของเขาเรื่องทฤษฎี สัมพัทธภาพก็จะกลายเป็นความคิดเพ้อฝันเท่านั้น

 

            ถ้าเรามีความรู้พื้นฐานที่แน่น พอถึงคราวเราใช้ จินตนาการ เราก็จะสามารถนำความรู้พื้นฐานที่มีต่อยอด ออกไปสู่จินตนาการได้

 

           เพราะฉะนั้น ความรู้ที่เรามีอยู่ ณ ปัจจุบันคือพื้นฐานสำคัญ แต่เราจะค้นพบอะไรใหม่ ๆ ที่ยิ่งใหญ่ได้ก็ต้องอาศัย จินตนาการร่วมด้วยเพราะ "จินตนาการคืออนาคตที่ไร้ขีดจำกัด"

 

 ''สมอง" คือเครื่องมือของข้างใน

 

           "สมอง" คือส่วนหนึ่งของร่างกาย และเป็นเครื่องมือ ของใจ สมองเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ ใจคนเราเป็นผู้สั่งการ เหมือน User เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดว่าเราใช้สมองซีกขวา คิดจินตนาการ และใช้สมองซีกซ้ายคิดเรื่องเหตุผลและความจำ แล้วจะแปลว่า สมองเป็นต้นเหตุของความคิดจินตนาการ

 

            จริง ๆ สมองของคนเปรียบได้กับคอมพิวเตอร์ ยกตัวอย่าง เราเป็นผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อต้องการบวกลบคูณหารก็เปิด ใช้โปรแกรมคำนวณ แต่ถึงคราวจะสร้างรูปก็ต้องใช้โปรแกรม Photoshop ซึ่งเป็นคนละโปรแกรมกัน

 

          เพราะฉะนั้น ผู้คำนวณหรือสร้างรูปย่อมไม่ใช่คอมพิวเตอร์ แต่คือผู้ใช้ (User) โดยมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์แต่ละโปรแกรม เป็นเครื่องมือเท่านั้น ดังนั้น ใจเราเป็นต้นเหตุสั่งการทุกอย่าง และมีสมองเป็นเครื่องมือให้ใจใช้งานนั่นเอง

 

กรอบของจินตนาการ

 

         ถ้าถามว่าทำไมเด็ก ๆ ถึงจินตนาการได้ดีกว่าผู้ใหญ่ คำตอบ คือเพราะกรอบที่จะมาร้อยรัดความคิดของเขายังมีน้อย และความรู้ ของเขายังมีไม่มาก แต่บางทีก็เป็นดาบสองคม เพราะเด็ก ๆ ยังไม่ค่อยมีความรู้เขาจึงใช้จินตนาการเป็นหลัก พอถึงคราวอ่านหนังสือหรือดูการ์ตูน เขาก็จะใช้จินตนาการในการฝันมากกว่า คนวัยอื่น   

 

         เราจะเห็นได้ว่าเด็ก ๆ ชอบมุดท่อปีนปายไปโน่นมานี่ เพราะเด็ก ๆ ชอบความลึกลับ และเขารู้สึกว่าได้ผจญภัย เด็กส่วนใหญ่ถ้าอยู่ในที่มืดก็จะกลัวผี เพราะความรู้พื้นฐานเขา ยังน้อยจึงใช้จินตนาการเป็นหลักนั่นเอง

 

          เมื่อคนเราเติบโตขึ้นความรู้ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย พอความรู้มากขึ้นก็ทำให้จินตนาการเริ่มถูกจำกัดกรอบโดยที่ เราไม่รู้ตัว พอเริ่มคิดอะไรใหม่ ๆ ก็มักจะมีความคิดแย้งขึ้นมา ในใจว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าขัดแย้งกับความรู้ที่เคยเรียนมา จินตนาการถูกจำกัดให้แคบลง ๆ อย่างไม่รู้ตัว

 

          สำหรับคนที่รู้หลักคิดก็มักจะฝึกสร้างสมดุลทางความคิด ของตัวเอง สร้างพื้นฐานความรู้แต่ก็ไม่จำกัดจินตนาการของ ตัวเองในการคิดฝันไปข้างหน้า ความรู้ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นฐานหนุนนำ จินตนาการอย่างสร้างสรรค์ แล้วสามารถพิสูจน์ได้ด้วยว่าความคิด และจินตนาการเหล่านั้นสามารถนำมาใช้ได้จริงหรือไม่

 

         ยกตัวอย่างเรื่องจริงที่เกิดขึ้น อาตมภาพ มีเพื่อนคนหนึ่งเรียนอยู่คณะแพทย์ ๆ ด้วยกันที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาเป็นนักกีฬาที่ทั้งเล่น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล เทนนิส มีคราวหนึ่ง เขาเล่นกีฬาผิดท่าจนทำให้เส้นยึด และหลังยอก กล้ามเนื้อหลังอักเสบ เวลาเงื้อมือขึ้นจะตีลูกเทนนิสก็ตีไม่ได้เพราะปวดหลัง

 

          เผอิญว่าอาตมภาพรู้จักหมอนวดไทยอายุราว 60 ปี ฝีมือดีที่นวดจับเส้นแล้วหายจริง ๆ เพราะอาตมภาพเคยเล่น บาสเกตบอลแล้วเสียหลักขาแพลง หนักขนาดที่เพื่อน ๆ ต้องช่วยกันหามไปโรงพยาบาล เข้าห้องฉุกเฉินเพื่อใส่เฝือกให้ข้อเท้า อยู่กับที่ก่อนเพราะตอนนั้นคํ่าแล้ว พอเช้าก็ใช้เครื่องตัดผ่าเฝือก ออกแล้วก็ไปหาหมอนวดท่านนี้ให้เขาจับเส้นให้ ประมาณ 3-4 วันก็หายเป็นปกติ

 

          จริง ๆ ถ้าขาแพลงต้องใส่เฝือกประมาณ 6 สัปดาห์ ถึงจะหาย แต่พอให้หมอนวดคนนี้จับเส้นแล้วหาสมุนไพรมาประคบ ตรงที่ระบม อย่างขิงที่นำมาตำผสมตามสูตร ทาและประคบ ไว้ให้ร้อน ๆ จนเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น ซึ่งเวลาที่เราขาแพลงจะเกิด รอยช้ำสีเขียว ๆ เพราะเส้นเลือดฝอยบริเวณนั้นแตกทำให้เลือดคั่ง พอเรารักษาด้วยวิธีการนวดนี้ก็จะเป็นการนำเลือดและลมที่คั่งค้าง อยู่ออกไป เป็นการจัดให้เส้นเอ็นและกล้ามเนี้อที่พลิกกลับไปอยู่ ตำแหน่งที่ถูกต้อง อาการจึงดีขึ้นภายในระยะเวลาแค่ 3-4 วัน

 

          พออาตมภาพรู้ว่าหมอนวดคนนี้เก่งและมีฝีมือดีจริง ๆ จึงบอกเพื่อนให้ไปหาหมอนวดจะได้หาย แต่เพื่อนกลับไม่เชื่อ เขาคิดว่าถ้ามีปัญหาเรื่องกระดูกหรือเส้นก็ควรไปหาหมอกระดูก และข้อเท่านั้น

 

         อาตมภาพลองถามเขาว่า ถ้าไปนวดแล้วหายคามือหมอ จะยอมเชื่อไหม คำตอบที่ได้รับคือ "ไม่เชื่อ" ต่อให้อาการ หลังยอกหายคามือหมอนวดเขาก็ไม่เชื่อ อย่างนี้คงต้องปล่อยไป เพราะเขามีความคิดยึดมั่นกับความรู้ที่ตัวเองเรียนมาแบบสุดโต่ง มากเกินไป จนกระทั่งปฏิเสธทุกอย่างที่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองเคยเรียนมา

 

         ด้วยความที่เพื่อนเรียนแพทย์มา ยิ่งเรียนมากเท่าไร ก็ยิ่งไปจำกัดกรอบตัวเองว่า แพทย์แผนปัจจุบันเท่านั้นที่เก่ง ส่วน หมอนวด หมอฝังเข็ม สูตรยาจีนยาไทยนั้นไม่น่าเชื่อถือ เชื่อแต่ ยาปัจจุบันอย่างเดียว ผลสุดท้ายเพื่อนก็ไม่หายจากอาการ หลังยอกไปตลอดชีวิต

 

         ถ้าเขาไม่จำกัดกรอบทางความรู้ของตัวเอง แล้วยอมให้ หมดนวดเก่ง ๆ จับเส้น เขาก็อาจจะมีโอกาสหายได้ นี่เองคือ ข้อจำกัดว่า ถ้ามีความรู้แล้วไปยึดมั่นกับความรู้นั้นมากเกินไป จนกระทั่งจำกัดจินตนาการและปฏิเสธอย่างอื่นหมด ผลที่ได้รับ ก็กลับกลายเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดีได้เหมือนกัน

 

วิธีเสริมจินตนาการเด็ก   

 

        เมื่อเรารู้แล้วว่าเด็กเป็นวัยที่ยังมีความรู้ไม่มาก แต่เขา มีจินตนาการมากเพราะความคิดยังไม่ถูกจำกัดกรอบด้วยความรู้ เราจึงควรช่วยเสริมจินตนาการให้แก่เด็ก ๆ ทั้งนิทาน การ์ตูน และเกมก็เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสรรค์จินตนาการของเด็กได้ แต่ถ้า ปล่อยให้เด็ก ๆ ดูการ์ตูนที่ใช้ความรุนแรงโหดร้าย หรือเล่นเกม สงครามรบราฆ่าฟันกันแบบนี้ไม่ดีแน่     

 

        คนโบราณผู้เฒ่าผู้แก่นิยมเล่านิทานชาดกให้เด็ก ๆ ฟัง เด็กก็เพลิดเพลินตื่นเต้นนั่งฟังกัน ระหว่างที่ฟังก็ได้คิดจินตนาการ ตามไปด้วย เพราะในสมัยก่อนยังไม่มีรูปภาพประกอบ เด็ก ๆจึงต้องใช้จินตนาการ ซึ่งเป็นจินตนาการในทางที่ดีเพราะนิทาน ชาดกมีเนื้อหาสอนใจ

        

        เกมสำหรับเด็ก ๆ ก็เช่นกัน แทนที่เราจะเอาเกมต่อสู้ รุนแรงให้เขาเล่น ก็เปลี่ยนไปให้เด็ก ๆ ได้เล่นเกมประเภทตัวต่อ ให้เขาได้ใช้จินตนาการช่วยกันคิดช่วยกันต่อเติม ซึ่งเป็นเกมที่ส่งเสริมจินตนาการที่ดี แต่เกมอะไรที่ทำให้เด็กคุ้นเคยกับเรื่อง ไม่ดีและความโหดรัายเราก็ควรหลีกเลี่ยง

 

วิธีกระตุ้นจินตนาการ   

 

         อันดับแรกคือ เราต้องไม่ยึดมั่นความรู้ที่มีในปัจจุบันมาก เกินไป ให้รู้ว่าความรู้ปัจจุบันของเราคือความรู้ที่ได้สั่งสมมาใน อดีต แต่เรายังต้องก้าวต่อไปในอนาคตข้างหน้าอีก แล้วคนเรา ก็เจริญรุ่งเรืองมาได้ด้วยจินตนาการ

   

        ยกตัวอย่าง นักเขียนบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ พวกเขา มักจะคิดฝันจินตนาการแบบหลุดกรอบ แล้วก็จะพบว่า ต่อมา มีเรื่องราวที่เคยจินตนาการไว้จำนวนไม่น้อยเลยที่กลายเป็นจริง

 

       บางคนอาจจะนึกว่านักเขียนบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ นั้นเก่งเพราะมีจินตนาการสูง จริง ๆ แล้วให้เรารู้ไว้เถอะว่า ในโลกนี้ไม่มีคำว่า "เป็นไปไม่ได้" ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น แล้วสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบและอธิบายได้ในขณะนี้ยังไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของกฎธรรมชาติทั้งหมดที่มีอยู่

 

        ดังนั้น เมื่อคนจำนวนมากมีใจมุ่งเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จากการชี้นำของนักเขียนบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ คนเหล่านั้นก็ มักจะพากันไปหาอ่านหนังสือของเขา เป็นจำนวนมาก พออ่าน มากก็จะมีคนบางกลุ่มที่คิดว่าเรื่องราวในนิยายนั้นน่าสนใจ แล้ว พยายามค้นหาวิธีการต่าง ๆ นานา ให้มันเป็นจริงขึ้นมา

 

        พอใจคนเราจดจ่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเข้า  ใจก็ไป เหนี่ยวนำจนสุดท้ายได้พบวิธีการที่จะทำให้เรื่องราวเหล่านั้น เป็นจริงขึ้นมา เพราะมนุษย์มีขีดความสามารถแบบที่เรียกว่า แทบไร้ขีดจำกัดเลยทีเดียว ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ถ้าเราตั้งใจจริง

 

        เพราะฉะนั้น เราไม่ควรจำกัดกรอบตัวเองด้วยความคิด ว่า "เป็นไปไม่ได้" ไม่นำความรู้ปัจจุบันมาตีกรอบตัวเอง จนไม่กล้าคิดจินตนาการออกไปนอกกรอบ กลายเป็นกบในกะลาที่ เอาแต่ปฏิเสธทุกอย่างนอกกะลาว่าไม่มีจริง เพราะตัวเองนั้น มองเห็นอยู่แค่ในกะลาเท่านั้น

 

          ใครที่ติดกรอบความรู้ปัจจุบันก็คือ "กบในกะลา" แต่ พอเราออกนอกกะลาก็จะพบว่า มีสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมากมายที่ สามารถไปถึงได้ด้วยโลกแห่งจินตนาการ แล้วสามารถย้อนกลับมา นำฐานความรู้ปัจจุบันไปพิสูจน์ และคิดค้นให้จินตนาการนั้นเป็น ความจริงขึ้นมาได้ในที่สุด

 

           ถ้าเราจะแก้ไขคนขาดจินตนาการก็ต้องแก้ตรงทัศนคติก่อน พอแก้ที่ต้นตอคือทัคนคติแล้วถึงค่อย ๆ ฝึกคิดจินตนาการ เราอาจจะเริ่มต้นด้วยการฝึกใช้สมองซีกขวา โดยลองขีด ๆ เขียน ๆ วาดรูปต่าง ๆ เล่นดูบ้าง ไม่เอาแต่ใช้สมองคิดคำนวณ เพียงอย่างเดียว ที่สำคัญต้องหมั่นนั่งสมาธิให้ใจนิ่ง ๆ ด้วย พอใจเรานิ่งจินตนาการก็ยิ่งเกิดดี  

 

         การนั่งสมาธิให้ใจนิ่งถือว่าเป็นการชำระใจ ให้เราหลุด จากกรอบความคิดที่ถูกครอบงำอยู่โดยไม่รู้ตัว คนในปัจจุบันล้วน ถูกตีกรอบครอบความคิดด้วยกันทั้งนั้น จะต่างกันตรงที่มากหรือ น้อยเท่านั้น แม้แต่คนที่มีจินตนาการดีก็ถูกตีกรอบครอบความคิดด้วยความรู้ แต่อาจจะถูกครอบเพียงส่วนน้อยเท่านั้นเอง

 

         การถูกตีกรอบครอบความคิดจินตนาการของคนนั้นไม่ได้ มาจากเรื่องวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว แม้แต่ทางด้านสังคมที่ เราเติบโตมา เราก็ยังถูกปลูกฝังทางความคิดกันมาโดยตลอดแบบ ไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน

 

           มีเรื่องขำขันที่เกิดขึ้นจริงในสหภาพโซเวียต ประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์มาเกือบร้อยปี ยุคสมัยที่ มิคาอิล กอร์บาชอฟ ขึ้นเป็นผู้นำการปกครอง เขามีนโยบาย "เปเรสตรอยคา" (Perestroika) ที่ให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น และเปิดกว้างทั้ง ทางการเมืองและเศรษฐกิจ จากเดิมที่ทุกอย่างภายในประเทศ ถูกวางแผนจากส่วนกลางของรัฐบาลเพียงเท่านั้น

 

       พอรัฐบาลเริ่มเปลี่ยนแนวทางการบริหารไปเป็นใช้ระบบ การตลาดเข้ามาช่วย ในการวางแผนก็พบว่ามีข้อจำกัด และมี ความสูญเปล่าเกิดขึ้นมากมาย แต่ก็มีคนหัวใสเข้าไปจัด ตั้งบริษัท แท็กซี่เล็ก ๆ ขึ้นในหัวเมืองเพื่อนำรถออกมาวิ่งรับส่งคน ปรากฏ ว่ากิจการเริ่มก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผ่านไปไม่นานก็ถูกคณะ กรรมการคอมมิวนิสต์ประจำเมืองสั่งยุบบริษัททันที เพราะมี ชาวบ้านไปร้องเรียนว่าบริษัทนี้โกงประชาชน

 

        เนื่องจากพอคำนวณทั้งต้นทุนค่านํ้ามันและค่าเสื่อมราคา ของรถแล้ว บริษัทแท็กซี่ควรจะเก็บค่าบริการลูกค้าแค่ 20 บาท แต่กลับเรียกเก็บถึง 25 บาท กำไรที่ทางบริษัทแท็กซี่ได้ 5 บาท นั้นถือเป็นการโกงประชาชน

 

       ผู้คนในโลกประชาธิปไตยที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบการ ตลาดฟังแล้วคงจะขำว่า ถ้าให้เก็บค่าบริการเท่าทุนห้ามมีกำไร แล้วบริษัทจะอยู่ได้อย่างไร เขาจะดำเนินกิจการไปทำไมเมื่อห้าม มีผลกำไร และมีแต่ความเสี่ยงจากการขาดทุนอย่างเดียว

 

      ยกตัวอย่าง ถ้าทำเสื้อออกมาขาย 1 ตัว คำ นวณต้นทุน หมดแล้วจ่ายไป 100 บาท พ่อค้าต้องขายต่อในราคา 100 บาท ห้ามเอากำไร ถ้าเอากำไรถือว่าโกงประชาชนก็จะถูกสั่งยุบบริษัท ทันที แต่คนที่ร้องเรียนว่าบริษัทโกงเหล่านั้นถูกครอบงำทางความคิดแบบบริสุทธิ์จริง ๆ เขาไม่ได้แกล้งทำ เพราะเขาเติบโต มาในการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ ถูกปลูกฝังมาอย่างนั้น ตลอดชีวิต ซึ่งจะเห็นได้ว่า มนุษย์ถูกตีกรอบทางความคิดด้วย ข้อมูลที่เราเองรับเข้าไปทุกวัน ๆ โดยไม่รู้ตัว

 

       คนที่ฉลาด คือคนที่สามารถมองกรอบที่ครอบตัวเอง เอาไว้ได้ แล้วสามารถผลักดันให้ตัวเองหลุดออกจากกรอบมาได้เรียกว่า "คนที่มีปัญญาและมีจินตนาการ"

 

       ถ้าเรานั่งสมาธิ ใจเรานิ่ง ๆ เราจะสามารถทะลายกรอบ ทั้งหลายให้หลุดออกไปจากใจเราได้ แล้วทำให้ใจของเราทำงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดจินตนาการในทางบวก โดย ทุกคนมีโอกาสที่จะจินตนาการ แต่ควรจินตนาการในเรื่องที่ดี ที่มีประโยชน์ต่อตัวเองและสังคมโลก

 

        สำหรับวัยเด็กนั้นเขาได้รับการเรียนรู้ส่วนใหญ่ที่เกิดจาก การทำกิจกรรมต่าง ๆ เราก็ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสม ไม่มี ความรุนแรง และไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องผิดศีลธรรม

 

       ดังนั้น ผู้ใหญ่จึงควรที่จะปลูกฝังความรู้ ความดีงาม รวมไปถึงการเสริมสร้างจินตนาการให้กับเด็ก ๆ เพื่อที่เด็ก เหล่านั้นมีจินตนาการที่ถูกต้อง แล้วเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมี ประโยชน์ต่อสังคมต่อไป

 

 

ขัดเกลาความคิด
พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ M.D., Ph.D.

 

 

 

 

       

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.03630964756012 Mins