ความฝันและจิตใต้สำนึก
ถ้าจะพูดถึงเรื่องของจินตนาการ ความฝัน และจิตใต้สำนึก หลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องนามธรรม และบางครั้งเราก็รู้สึกว่ามันควบคุมไม่ได้
จริง ๆ แล้ว "จินตนาการ" "ความฝัน" และ "จิตใต้สำนึก" สามคำนี้มีความหมายแตกต่างกัน "จินตนาการ" คือความคิดความฝันของเราเองในขณะตื่น พอตื่นเราสามารถคิด จินตนาการเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดังที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้
ส่วน "ความฝัน" นั้นเกิดขึ้นขณะหลับ และ "จิตใต้สำนึก" เป็นสิ่งที่เราเคยประสบแล้วฝังอยู่ในใจส่วนลึก บางที เราอาจจะลืมไปแล้ว แต่จริง ๆ เรื่องราวเหล่านั้นยังคงอยู่ใน จิตใต้สำนึก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชาตินี้หรือชาติก่อนก็ตาม เพราะฉะนั้น ทั้งสามคำนี้มีความแตกต่างก้นอย่างชัดเจน
"ความฝัน" ในทางพระพุทธศาสนา
ความฝันมีหลากหลายรูปแบบ บางครั้งฝันร้าย บางครา ฝันดี บางทีฝันแล้วหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์เหมือนกับในความฝันขึ้น พระพุทธศาสนาแบ่งความฝันออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
ประเภทที่ 1 จิตนิวรณ์
จิตนิวรณ์คือ เมื่อเราตรึกตรองเรื่องอะไรอยู่เป็นเวลานาน พอหลับก็เก็บเอาไปฝัน หรือตอนกลางวันหมกม่นอยู่กับเรื่องอะไร ตอนกลางคืนก็เก็บเอาไปฝัน ถ้าคิดเรื่องดี ๆ ฝันก็จะบรรเจิด แต่ ถ้าเราวิตกกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้มากไป พอหลับก็จะฝันร้าย
ความฝันในรูปแบบนี้ไม่ใช่สาระ คือไม่เป็นความจริง แต่เกิดจากใจของเราที่ยังผูกพันเกาะเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ อยู่จึง เก็บเอามาฝันนั่นเอง
ประเภทที่ 2 เทพสังหรณ์
เทพสังหรณ์คือ เทวดามาเข้าฝันดลใจ จริง ๆ แล้ว คนเรามีเทวดารักษาคุ้มครอง โดยเฉพาะคนที่ทำความดีมากๆ สาเหตุหนึ่งเพราะเทวดาเขารู้ว่าตนเองเป็นเทวดาได้ด้วยบุญ
ดังนั้น เขาจึงอยากได้บุญ แต่เทวดาเป็นกายละเอียดที่ อยู่ในช่วงเสวยผล การที่เขาจะไปทำบุญเองนั้นไม่ถนัด เขาจึง ใช้วิธีดูว่ามนุษย์คนใดที่เป็นคนดีและตั้งใจทำความดี เทวดาก็จะ ลงมารักษาปกป้องภัยให้ เขาจะได้มีส่วนแบ่งบุญด้วยในฐานะ ผู้สนับสนุน
ถ้าลองสังเกตดี ๆ ชีวิตเราที่ผ่านมาบางทีก็มีเหตุการณ์ ที่เรารอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด เช่น บางคนเกือบจะถูกรถชน อยู่แล้ว ก็มีอะไรไม่รู้มาดลใจให้เหลือบไปเห็นแล้วก้าวหลบไปได้ อย่างเอียดฉิวก็มี อาการต่าง ๆ ที่ทำให้เรารอดมาได้อย่างเอียดฉิว ทั้งกลางวันกลางคืนนี้ ความจริงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเทวดา มาดลใจให้แคล้วคลาดปลอดภัย
ลักษณะที่พอตกกลางคืนเราหลับ มีเทวดามาดลใจให้ ฝันนั้นเรียกว่า "เทพสังหรณ์" อาการฝันแบบเทพสังหรณ์นี้ มีโอกาสที่จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงสูงพอสมควร แต่ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับเทวดาที่มาดลใจเราว่ามีภูมิรู้ภูมิธรรม มีศักยภาพในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน
ประเภทที่ 3 บุพนิมิต
บุพนิมิตคือ ความฝันที่มักจะเกิดกับผู้มีบุญ จึงมีความ เป็นไปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ยกตัวอย่าง ฝันของพระนางสิริมหา มายา ในตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะเสด็จเข้าสู่พระครรภ์ พระนาง ฝันว่ามีช้างเผือกมาเวียนประทักษิณรอบปราสาท แล้วเข้าไป ในครรภ์ของพระนาง นี่เองเป็นบุพนิมิตว่าจะมีผู้มีบุญมหาศาล มาถือกำเนิด แล้วเป็นความฝันที่เกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมา
ประเภทที่ 4 ธาตุพิการ
ธาตุพิการคือ อาการที่เราเผลอไปกินอะไรไม่ดีแล้วป่วย ไข้ไม่สบาย ถึงคราวกลางคืนบ้างก็ฝันว่าตกเหว พอตื่นมาเหงื่อ โชกไข้ขึ้น เป็นต้น ความฝันในลักษณะนี้ไม่แม่น เพราะเป็นฝัน ที่เกิดจากสภาวะร่างกายไม่ปกติ
ความฝันทั้ง 4 รูปแบบ จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์ บุพนิมิต และธาตุพิการนั้นมีความแตกต่างกัน ความฝันประเภท "จิตนิวรณ์" และ "ธาตุพิการ" เชื่อถือไม่ได้ และความฝันประเภท "เทพสังหรณ์" เชื่อถือได้แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนความฝัน ประเภท "บุพนิมิต" นั้นมีความแม่นยำมาก
พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี ท่านก็นาน ๆ จะฝันสักครั้ง แต่พอฝันก็มักจะฝันเป็นเรื่องเป็นราว
มีอยู่คราวหนึ่งสมัยก่อนบวช ท่านฝันเห็นพระเดชพระคุณ หลวงปู่ วัดปากน้ำภาษีเจริญ หลวงพ่อฝันว่าหลวงปู่เดินมากวักมือ เรียก ท่านจึงเดินตามไปถึงเส้นทางที่หลวงปู่เดิน ชึ่งเป็นทางที่ ดูน่ากลัว มีพื้นเป็นเศษแก้วคมและมีหนามแหลม ถ้าเหยียบ ลงไปก็น่าจะทิ่มแทงเท้า แต่หลวงพ่อก็ตัดสินใจเดินตามหลวงปู่ไป หลวงปู่เดินนำหน้าโดยมีหลวงพ่อเดินตามก้าวต่อก้าว แต่แปลก ตรงที่ว่าพื้นที่ดูอันตรายและน่ากลัวนั้น พอท่านก้าวเท้าเหยียบ ลงไปจริง ๆ สิ่งเหล่านั้นก็กลับหายไปไม่ได้ทำอันตรายต่อเท้าเลย
ในความฝันหลวงปู่ท่านเดินนำจนกระทั่งถึงกลางมหาสมุทร หลวงพ่อเดินตามไปบนนํ้าปรากฏว่าไม่จม พอเดินไปถึงกลางนำก็ ปรากฏมีไม้ท่อนหนึ่ง ท่านเอาไม้ท่อนนั้นปักลงไปกลางมหาสมุทร ไม้นั้นยาวมาก หยั่งจนกระทั่งถึงก้นสมุทร พอปักหลักลงไป เรียบร้อยก็มีกุ้งหอยปูปลามากมายมาเกาะ แปลกที่พอบรรดา กุ้งหอยปูปลาเหล่านั้นมาเกาะหลักไม้มันก็กลับกลายเป็นคน
หลวงพ่อตื่นจากฝันก็เล่าให้คุณยายอาจารย์ฟัง (คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ศิษย์เอกหลวงปู่วัดปากนํ้าภาษีเจริญ) พอฟังเสร็จท่านก็พยากรณ์ความฝันให้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่ตอนนั้นยังเป็นนิสิต เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ว่า อีกหน่อยท่านจะต้องได้บวช แล้ว จะได้สร้างบารมี ตามปฏิปทาพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ
ตอนก่อนหลวงพ่อท่านบวช นาน ๆ จะฝันสักครั้ง พอ หลวงพ่อฝันทีไรคุณยายอาจารย์ก็พยากรณ์ฝันนั้นว่า หลวงพ่อจะ ต้องได้บวช และได้สร้างบารมีตามอย่างพระเดชพระคุณหลวงปู่ ทุกครั้งเลย
คุณยายอาจารย์ท่านบอกว่า หนทางการสร้างบารมีนี้มี อุปสรรคขวากหนามที่ดูแล้วน่ากลัว เหมือนจะขู่ให้เราท้อ แต่ว่า หลวงพ่อจะไม่ท้อ แล้วเมื่อเดินหน้าสร้างบารมีไปจริง ๆ สิ่งน่ากลัวทั้งหลายที่เป็นอุปสรรคภัยพาลต่าง ๆ ก็ไม่สามารถ ทำอะไรท่านได้ ท่านจะผ่านพ้นไปได้ทีละก้าว ๆ
ส่วนห้วงนํ้าใหญ่ คือห้วงกิเลสของสรรพสัตว์ทั้งหลาย หลวงพ่อจะเดินไปท่ามกลางหมู่ชน เพื่อเผยแผ่ธรรมะของพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ท่านไม่ติดในกิเลสเหล่านั้น เหมือนเดินอยู่ บนนํ้าได้โดยไม่จมลงไป
เมื่อไปถึงกลางห้วงนํ้าแล้วเอาหลักปักลงไป ก็หมายถึง หลวงพ่อจะได้สร้างวัดใหญ่เป็นหลักยึดเหนี่ยวให้กับสาธุชน ทั้งหลาย แล้วกุ้งหอยปูปลาที่เมื่อมาถึงหลักไม้แล้วกลายเป็น คนทั้งหมดนั้น คือคนที่มีกิเลสในใจ ซึ่งบังคับใจให้ทำเรื่องไม่ดี ต่าง ๆ นานา แต่พอมาถึงวัดแล้วมาประพฤติปฏิบัติธรรม สร้าง ความดีแล้วกำลังบุญก็จะเพิ่มพูนขึ้น ทุกคนต่างก็จะกลายเป็นมนุษย์ ผู้มีใจสูง และมุ่งมั่นทำความดีอย่างไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เหมือนดังที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเดินตามรอยพระเดชพระคุณหลวงปู่ มานั้นเอง นี่เองคือความฝันที่เป็น "บุพนิมิต" แบบหนึ่งเหมือนกัน
"จิตใต้สำนึก" ในทางพระพุทธศาสนา
เราจะสังเกตได้ว่า บางคนมีพฤติกรรมที่บางทีไม่มีเหตุมีผล เช่น บางคนกลัวนก เห็นนกแล้วขนลุกขนพอง ตัวสั่นใจสั่น จะเป็นลม บางคนกลัวมด บางคนกลัวกระทั่งขนนกก็มี หลายคนกลัว เรื่องแปลก ๆ กลัวสิ่งที่คนปกติไม่กลัวกัน
ถามว่าอาการแบบนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร คำ ตอบคืออาจ เกิดจากในอดีตเคยมีประสบการณ์ไม่ดีในเรื่องนั้น ๆ ยกตัวอย่าง บางคนถูกแกล้งโดนจับไปขังไว้ในตู้มืด ๆ แล้วปิดล็อกเอาไว้ข้างใน ก็เกิดความรู้สึกอึดอัดและกลัวแบบฝังใจ ถึงคราวโตขึ้นมา จึงเป็นโรคกลัวที่แคบ หรือกลัวที่มืด เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเกิด จากความฝังใจในวัยเด็ก แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในภพชาติ ปัจจุบัน แต่หลาย ๆ เรื่องที่เราลืมไปแล้วมันก็ยังฝังจำอยู่ภายใน จิตใต้สำนึกนั่นเอง
ในสมัยที่อาตมภาพยังเรียนอยู่คณะแพทย์ ฯ ภาควิชา จิตเวช เคยเจอคนไข้จิตเวชบางรายที่มีอาการทางจิต เนื่องจาก เขาเป็นโรคจิต ความสามารถในการควบคุมตัวเองอ่อนกำลังลง แต่ความทรงจำเก่า ๆ เรื่องที่เขาหลงลืมไปแล้วกลับผุดขึ้นมา มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
ผู้ป่วยสามารถเล่าเรื่องราวในอดีตได้มาก จนกระทั่งเพื่อน ๆ ที่เรียนหนังสือมาด้วยกันยังตกใจว่า เรื่องที่เพื่อนคนอื่นลืมไปหมด แล้วนั้นทำไมเขายังจำได้ เรื่องเก่า ๆ มันผุดขึ้นมามากมาย แสดงว่าสิ่งที่เราคิดว่าเราลืมไปแล้ว ความจริงยังไม่ได้ลืม เรื่องราว เหล่านั้นยังคงฝังอยู่ในระดับจิตใต้สำนัก
บางกรณีคนเราสามารถจดจำเรื่องราวจากชาติที่แล้วได้ด้วย โดยเราจะเห็นตัวอย่างเรื่องนี้ได้ค่อนข้างชัดเจนจากชาดก หรือธรรมบท เป็นต้น
ในชาดก เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นแล้วมีคนกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จะทรงระลึกชาติไปดูแล้วรู้ทันทีว่า พฤติกรรม คนนั้นต่อเนื่องมาข้ามภพข้ามชาติ สิ่งที่เราทำไว้ในชาติที่แล้ว ถูกสะสมไว้ในใจ พอเวลาผ่านไปก็มีเรื่องราวอื่น ๆ ซ้อนเข้ามาเรื่องเก่า ๆ ก็อยู่ในจิตใต้สำนึกที่เหมือนกับลืมไปแล้ว แต่ความจริง เรายังไม่ลืม
ถ้าเป็นเรื่องราวที่รุนแรงก็จะยิ่งฝังลึกลงไปในความทรงจำ เป็นร่องรอยที่ชัดเจนส่งผลข้ามชาติมาเป็นพฤติกรรมในชาตินี้ เช่น บางคนกินจุ บางคนกินมูมมามเหมือนกับชาติก่อน เพราะ ความรู้สึกนี้มันฝังมาข้ามภพข้ามชาติ เพราะฉะนั้น จิตใต้สำนึก มีอิทธิพลมากทีเดียว
ความฝันของสัตว์เดรัจฉาน
รู้หรือไม่ว่า สัตว์เดรัจฉานก็มีความฝันเหมือนกับคน สัตว์ เองก็คล้ายมนุษย์แต่มันไม่ละเอียดเท่ามนุษย์ มีผลการทดลอง ทางวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อสัตว์นอนหลับมันก็ฝันเหมือนกันกับคน
คนบางคนฝันละเมอลุกขึ้นมานั่ง บางคนละเมอถึงขนาด เดินออกจากบ้าน ข้ามถนนไปตลาดซื้อกับข้าวกลับมาถึงบ้าน นอนต่อ พอตื่นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้ไม่รู้ตัวเลย เหล่านี้ไม่ใช่เรื่อง เล่าขำขัน แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับบางคน
ในขณะที่ละเมอนั่นคนรอบข้างก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น บางคนนึกว่าผีเข้าจึงลุกขึ้นมา ตื่นแล้วก็พูดนั่นพูดนี่ คนอื่นเขาก็ พยายามพูดสื่อสารด้วย เจ้าตัวที่นอนละเมอก็พยายามตอบ แต่คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะพูดไปอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาการฝันละเมอนั่นเกิดได้ทั้งกับคนและสัตว์ เนื่องจากเป็นระดับจิตใต้สำนึกที่ ลึกกว่าความฝันไปขั้นหนึ่งแล้วนั่นเอง
ขัดเกลาความคิด
พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ M.D., Ph.D.