รับรู้รับรัก
ชีวิตคนเราเหมือนกับการร้อยมาลัย เมื่อเรามีเข็มอันหนึ่งซึ่งเป็นแกนของชีวิต แล้วเราก็ร้อยด้าย สมมุติเราร้อยด้ายยาวสักฟุตหนึ่ง ชีวิตของเราอาจจะยาวสัก 70 หรือ 100 ปี ถ้าในแกนด้ายที่เราร้อยลงไปมันคือการร้อยลงไปด้วยใจ ร้อยด้วยความรักออกมาเป็นหนึ่งชีวิต เมื่อชีวิตของคนคนหนึ่งมันผูกเป็นมาลัยที่สวยงามได้ ก็สามารถกลายเป็นพวงมาลัยที่บูชาพระได้ แต่ถ้าชีวิตของใครคนหนึ่งผูกแล้วมันเบี้ยวบูดไม่สวย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ป้าคิดว่าชีวิตของคนทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ ถ้าหากว่าได้พิจารณาและได้อ่านหนังสือป้าก็สามารถจะเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้เป็นพวงมาลัยสวย ๆ ไว้บูชาพระได้เช่นกัน
ในชีวิตของป้า เมื่อป้าเริ่มรู้ความ ป้าอาจจะแตกต่างจากเด็กอื่นนิดหน่อยคือ ป้ารู้ความเร็ว รู้เดียงสาเร็วขณะที่เด็กอื่นจะรู้เดียงสาสักประมาณ 8-9 ขวบ เเต่ป้าเริ่มรู้เดียงสาเมื่ออายุประมาณ 4 ขวบเข้า 5 ขวบ เเล้วป้าก็จะถูกผู้ใหญ่ทุกคนให้คำจำกัดความว่า "ยัยใสแก่แดด" คำว่า “แก่แดด” ของผู้ใหญ่คงไม่ได้มีความหมายว่าเขาจะว่าอะไรเราหรอก แต่เขาคงจะมีความหมายว่าเราเป็นเด็กรู้มาก ตอนนั้นเราก็เสียใจและน้อยใจทำไมมาหาว่าเราเป็นคนแก่แดด ทำไมมาหาว่าเราเป็นคนพูดมาก ที่ไหนได้พอมองย้อนกลับไปความแก่แดดของเราก็คือความรู้มากของเราจริง ๆ
รู้ยังไง เช่น แค่อายุ 2 ขวบกว่า ๆ ป้าเริ่มมีความรู้สึกว่าอยากมีน้องมากเลย มีความรู้สึกเหมือนมีอะไรในตัวอย่างหนึ่งที่อยากให้คนอื่น มีความรู้สึกว่าในบ้านนี่ถ้ามีใครอีกคนหนึ่งมาเป็นเพื่อนเล่นได้มันน่าจะมีความสุขนะ มีคุณป้าคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็ก ๆ ป้าจะเอาตุ๊กตามาเล่น เอาตุ๊กตามาใส่เปลแล้วก็จะไกวเปลกล่อม น้องเอเอ๊...แล้วจะเล่านิทานให้น้องฟัง แล้วก็จะไปถามคุณพ่อกับคุณแม่ว่า เมื่อไหร่จะมีน้อง คุณพ่อคุณแม่ก็บอกว่า ก็อยู่ที่เรานั่นแหละ ใสอยากมีน้องมั้ยล่ะ ป้าก็บอกอยากมีมากเลย คุณแม่ก็บอกถ้าอยากมีน้องก็ต้องทำความรู้สึกก่อนว่ารักน้อง แม่บอกว่า ถ้าใครสักคนหนึ่งจะมาอยู่ร่วมชายคาบ้านกับเรา เขาต้องแน่ใจว่าบ้านที่เขามาอยู่จะต้องเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยความรัก เพราะฉะนั้นหนูต้องทำใจรักน้องก่อน ถ้าหนูทำใจรักน้องได้ เดี๋ยวน้องจะมาเกิด
ป้าก็ถามคุณแม่ว่า แล้วรักน้องทำยังไง เพราะไม่เคยมีน้อง คุณแม่ก็บอกว่า ก็ทำเหมือนรักตุ๊กตาไง คุณแม่ก็บอกถ้าตุ๊กตาเป็นคนหนูจะรักน้องแบบไหน ป้าก็ไปฝึกรักน้องกับตุ๊กตา ไปจับแก้มน้อง ไปล้างก้นน้อง ทำความรู้สึกอย่างนั้น แล้วก็สวดมนต์ทุกวันเลยว่าอยากมีน้องอีกคน ถ้ามีน้องจะรักน้องให้มาก ๆ ไม่นานแม่ก็ตั้งท้องและคลอดน้องคนที่สองออกมา
เพราะฉะนั้นสิ่งที่รู้ในตอนแรกคือชีวิตที่ผูกไว้ในครอบครัวของเราเป็นชีวิตที่มาด้วยความรักอย่างเดียวเลย แล้วพ่อกับแม่ก็บอกว่าเดี๋ยวจะมีน้องออกมาให้เห็น น้องที่เห็นเป็นก้อนเนื้อที่จับต้องได้ของความรัก ซึ่งตอนแรกที่ฟังป้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก 'ของจับต้องได้ของความรัก' มันเป็นยังไง ก็ถามแม่ว่า ตุ๊กตาก็จับต้องได้ และนี่ก็เป็นความรักเหมือนกัน แล้วไม่ใช่ก้อนของความรักเหรอ พ่อกับแม่ก็บอกว่า ไม่ถือว่าใช่ เพราะตุ๊กตารักตอบหนูไม่ได้ เมื่อเรารักเขา เขาต้องรักตอบเรา นั่นละจึงจะถือว่าความรักนั้นมันไปเกี่ยวร้อย แล้วสร้างมวลของความรักได้
ส่วนความรักในด้านอื่น ๆ ตั้งแต่จำความได้ ป้าไม่เคยจะเถียงยายสักคำ ยายจะนอนอยู่ที่เตียงไม้ใหญ่ ๆ ในบ้านของเรา ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของตระกูล 'ธนะภูมิ' ยายจะนอนอยู่บนเตียงไม้อันนั้น แล้วแม่ก็จะคอยดูแลและจัดกับข้าวให้ยายทานอย่างดี สิ่งที่ป้าชอบที่สุดคือยายจะเล่านิทานให้ฟังถึงบ้านที่ยายอยู่คือ ราชบุรี ยายจะเล่าถึงความรักที่พ่อกับแม่มีต่อกัน ซึ่งเหมือนนิทานก็เหมือน เหมือนนิยายก็เหมือน และก็
เหมือนสิ่งที่เรามองเห็นอยู่เป็นตัวตน
ยายเล่าให้ฟังว่า คุณแม่เป็นครูอยู่โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ส่วนคุณพ่อเป็นทนายความ ช่วงนั้นเกิดสงครามโลก แม่ก็หนีสงครามไปอยู่ที่ลพบุรีซึ่งเป็นบ้านของแม่นมของป้า ด้วยความที่พ่อรักแม่พ่อจึงดิ้นรน เดินทางจากกรุงเทพฯไปลพบุรี ซึ่งเป็นการเดินทางที่ยากมาก
ในช่วงสงคราม เวลาไปพ่อเล่าให้ฟังว่า ขณะเดินทางบางทีผีลอยน้ำ มันก็มาขวางเรือไว้ ป้าก็ถามว่า ผีลอยน้ำเป็นยังไง พ่อบอกก็คือศพของคนที่เขาตายในสงคราม ศพจะเยอะมากเลย จะขึ้นมาขวางเรือบ้าง บางทีรถไฟก็ขาดบ้าง แต่พ่อยังเดินทางไปถึงแม่จนได้ พอไปถึงก็ไปตะโกนเรียกอยู่ปลายนาโน่น จะได้ยินเสียงตะโกนแว่วมาแล้ว บางทีก็มาถึงกลางดึก กว่าจะมาถึงได้ก็ทุลักทุกเลแต่พ่อก็มาหาแม่ได้เป็นอาจิณ ป้าถามคุณพ่อว่าทำไมพ่อถึงอดทนไป พ่อก็บอกว่า พ่ออยากมีลูกน่ารักแบบใสไง วิธีตอบของพ่อนี้ทำให้เรามีความสำคัญมากเลย เราก็รู้สึกว่าพ่อรักเรา
ความที่เรามองเห็นพ่อแม่รักกันมันทำให้เมื่อเราโตขึ้น เมื่อพ่อเกิดไปมีกิ๊กนอกบ้านเราจึงรับไม่ได้ แล้วพ่อก็เป็นคนที่มองผู้หญิงคนอื่นสวยกว่าแม่ไปหมด สมมุติพ่อไปทานข้าวบ้านเพื่อนพอกลับมาพ่อต้องมาชมคนบ้านนั้นให้ฟัง ชมแบบพรรณนาโวหารมากว่า เขาดีอย่างนั้น ฉลาดอย่างนี้ เขาแต่งตัวสวยอย่างนั้น ชมจนแม่ร้องไห้ทุกครั้ง เรียกว่าชมจนได้เรื่อง แต่ถามว่าพ่อไปชอบคนอื่นมากกว่าแม่หรือเปล่า ก็ไม่ใช่
แต่ทำไมพ่อทำอย่างนี้เราก็ไม่เข้าใจ มากไปกว่านั้นพ่อก็มักจะมีกิ๊กแบบน้อย ๆ กับลูกความของพ่อเอง มีลูกความของพ่อคนหนึ่ง น้าผู้หญิงคนนี้ ผิวผ่อง ขาว สวยมากเลย สามีน้าผู้หญิงคนนี้ถูกแทงตาย พ่อก็ว่าความให้แล้วพ่อก็มีกิ้กด้วย
เราก็จะรู้สึกว่าพ่อชอบมีกิ๊กแบบนี้ด้วยเหรอ พ่อจะชอบชมผู้หญิงขณะเดียวกันพ่อก็ห้ามแม่ไม่ให้แม่แต่งหน้า ทาปากแปลกมั้ย พ่อจะให้แม่แต่งตัวเชย ๆ ไม่ให้ใส่ส้นสูง พ่อบอกว่าเธอเป็นครู ต้องแต่งตัวแบบนี้ ในที่สุดพ่อกับแม่จึงมีปากเสียงกันบ่อยมาก จนกระทั่งวันหนึ่งป้าก็เดินไปยืนตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่แล้วถามว่า "สองคนนี้ยังรักกันอยู่หรือเปล่า" พ่อแม่เขาก็จะงง ๆ ป้าก็จะบอกว่า ใสจำได้นะ ยายเล่า
ให้ฟังว่าพ่อไปหาแม่ก็เพราะว่าพ่อรักแม่ แม่คอยพ่อก็เพราะว่าแม่รักพ่อ แล้วพ่อบอกกับใสว่าพ่อไปหาแม่เพราะอยากให้ใสมาเกิด อยากได้ลูกดี ๆ มาเกิด หรือว่าใสเกิดแล้วพ่อกับแม่เลยไม่ต้องรักกัน จำได้ว่าพ่อกับแม่ตกใจ นิ่งไปทั้งคู่เลย แล้วแม่ก็ร้องไห้ ป้าก็ไปพูดกับแม่ว่า นี่แปลว่าความรักมันเปลี่ยนเป็นน้ำตา ป้าจะกลายเป็นคนกลาง จะเป็นอย่างนี้เป็นประจํา แล้วป้าก็จะเตือนพ่อกับแม่ว่า ลืมไปแล้วเหรอที่ว่ารักกัน งั้นที่
ยายเล่าให้ฟังมันก็เป็นแค่นิยาย มันก็ไม่ใช่เรื่องจริงน่ะสิ ถ้าอย่างนั้นตัวของใส ตัวของปุ๋ย ของป๋อง ของปี๊ด ก็ไม่ได้เป็นก้อนเนื้อของความรักเพราะพ่อแม่ไม่ได้รักกัน เขาก็จะนิ่งและหยุดทะเลาะกัน
ป้ารับรู้ว่าครอบครัวของป้าเกิดมาแบบนี้ ซึ่งสภาวะของความรักในช่วงต้นวัยที่ป้าเห็นมันเป็นความรักที่แม่มีกับยาย ยายมีกับแม่ พ่อกับแม่มีต่อกัน พ่อกับแม่มีต่อเรา แล้วก็น้องที่ตามมา บ้านเราเป็นครอบครัวขยาย บ้านเราจะมีป้าคนหนึ่ง มียายสองคน แต่สิ่งหนึ่งที่ป้าเห็นและเห็นมาตลอดจนถึงบัดนี้ คือความรักของแม่นมที่มีต่อพวกป้าและยั่งยืนมาจนถึงบัดนี้
ป้านมของป้าชื่อ 'ป้ารอง'
'ป้ารอง' เป็นลูกของผู้ใหญ่บ้าน แม่ไปเจอป้ารอง ตอนที่แม่หนีสงคราม แม่จึงชวนบ้ารองมาเพื่อเลี้ยงป้า ป้ารองเป็นคนที่ทำอะไรต่ออะไรเก่ง และเป็นคนน่ารัก ป้ารองจะเป็นคนที่ป้าเล็กซึ่งเป็นพี่สาวแม่ไม่รัก ป้าเล็กจะแกล้งป้ารองทุกอย่างเท่าที่ป้าเล็กจะทำได้ ถูกแกล้งไม่พอ ตกเย็นพอแม่กลับบ้านมาป้าเล็กก็จะฟ้องเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้างให้พ่อกับแม่ฟัง แล้วพวกเราก็จะแอบร้องไห้ เพราะกังวลว่าป้ารองจะหนีพวกเราไป เวลาป้ารองกลับบ้านที่ลพบุรีทีไรเราก็จะคิดกันว่าแกจะกลับมามั้ย แต่ป้ารองจะแอบบอกกับเราว่า เดี๋ยวป้ารองกลับมา เพราะป้ารองรักพวกเธอ แล้วป้ารองก็กลับมาทุกครั้ง กลับมาให้เขาสับโขก
ซึ่งในบรรดาพี่น้องเราทั้ง 6 คน คนที่ร้ายกาจ กับป้ารองมากก็คือน้องปู น้องปูจะจุกจิกมากเลย กระโปรงเขาต้องเรียบที่สุด ถ้ากลีบกระดกเพียงนิดเดียวเขาจะไม่ใส่แล้วเขาจะร้องไห้กระทืบเท้า แล้วเด็กผู้หญิงที่บ้านเรา จะไว้ผมยาว ป้ารองต้องคอยหวีผม ถักเปียให้ทุกคนเลย ปูนี่ถ้าผมกระดิกนิดหนึ่งก็จะไม่ยอมไปโรงเรียน แล้วทุกอย่างของปูต้องเป็นระเบียบหมดเลย ถ้าไม่เป็นระเบียบปูจะร้องวี้ด ไม่ยอม ๆ ๆ ป้ารองก็จะยอมปู ป้าก็จะถามว่าป้ารองทนยัยปูได้ไง ปูร้ายจะตายไป ป้ารองบอกว่า สงสารน้อง แล้วถัดจากปูจะมีน้องอีกคนหนึ่งชื่อน้องกุ้ง ตลอดเวลาปูจะมีความรู้สึกว่าพ่อกับแม่รักแต่กุ้ง ป้ารองก็เลยสงสารปู ไม่ว่าปูจะวีดเท่าใดป้ารองก็ทนได้ ป้าก็มองดูว่า ก็แปลกดีนะ ป้ารองอยู่กับพวกเราโดยไม่ได้เป็นอะไรกับพวกเรา กลับอยู่ให้พวกเราสับโขกอยู่ได้ด้วยสิ่งเดียว คือความรัก
นอกจากป้ารองจะรักน้องปู ป้ารองยังรักนายป๋องอีกคน ตอนนั้นในบ้านของเรามีคุณพ่อ คุณแม่ คุณยายอีกคนเสียไปแล้ว แล้วก็มีป้าเล็กที่ไม่ชอบป้ารอง ซึ่งคุณป้าเล็กจะไม่รักน้องป๋องที่สุดเลย ป้าเล็กจะแอบตีน้องป๋องตอนที่พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน แล้วป้ารองก็จะพยายามช่วยน้องป๋องไม่ให้ถูกป้าเล็กตี บางทีป้าเล็กก็ไม่ให้ป้ารองกินข้าว แม่ฝากสตางค์ไว้ให้ป้ารอง ป้าเล็กก็ไม่ให้ สารพัดที่จะทำกับป้ารองเพราะป้าเล็กรู้สึกว่าป้ารองถูกคนในบ้านรักมากเกินไป แต่ป้ารองก็ทนป้าเล็กได้เพราะรักพวกเราและเข้าใจพวกเรา ป้ารองจะมีเงื่อนไขในการใช้ชีวิต
อยู่ในบ้านเราด้วยความรักและสงสาร สงสารยัยปู สงสารตาป๋อง
ซึ่งป๋องเองมักจะถูกรังแกด้วยวิธีการแปลก ๆ เช่น ที่บ้านเราจะมีเปลไม้แล้วมีฝาปิดอยู่ข้างบน ป้าเล็กมักจะจับป๋องขังไว้ในเปลปิดฝาไว้ แล้วป้าเล็กก็จะบอกว่า มันเกเรนัก เอาไว้ในโลงศพซะเลย ป๋องจะกลัวมากเลย ป้าจะเห็นป๋องจากช่องเปลเล็ก ๆ แล้วจะเรียกป๋อง ๆ ป๋องก็จะบอก “อยู่นี่กั๊บอยู่นี่กั๊บ” แล้วป๋องก็จะพยายามดันฝาขึ้นมา ป้าเล็กก็จะกดฝาไว้ ต่อสู้กัน ป๋องก็จะร้องไห้ ทุกครั้งที่ป๋องโดนป้าเล็กทำแบบนี้ป้ารองก็จะวิ่งมาบอกป้า ป้าก็จะสวมบทบาทเดิม “อย่าทำอย่างนี้นะคะมันบาป” ก็ไม่รู้เอามาจากไหน เราจะเปิดฝา ป๋องก็จะปีนขึ้นมา
อีกวิธีหนึ่งน่ากลัวมาก ป้าเล็กจะจับน้องป๋องขังห้องมืด ซึ่งเป็นห้องเก็บถ่านอยู่ติดกับครัว ตอนนั้นป๋องอายุ 5-6 ขวบเอง ห้องนั้นมืดมากเลยนะ ที่สำคัญคือห้องนั้นเป็นที่อยู่ของงูเหลือม ป้องก็ไม่รู้ พ่อแม่ก็ไม่รู้ แต่ป้าเองป้ารู้สึกว่ามันมีงูอยู่ในห้องนั้น แล้วป้าจะโกรธมากว่าทำไมเอาป๋องไว้ในห้องนั้น ทำไมถึงรังแกขนาดนี้ ป้าจะทะเลาะกับป้าเล็กทุกครั้งที่เอาป๋องไปไว้ห้องนี้ ป้ารองก็จะ ...เอาเลยเธอ ๆ เรามารู้ทีหลัง ตอนที่งูเหลือมมันเลื้อยออกทางช่องลูกกรงออกมาให้เห็น ก็คิดว่าถ้าเอาป๋องไว้ในห้องนั้นนาน ๆ งูเหลือมอาจกินป๋อง
อีกครั้งหนึ่ง คือป๋องจะถูกจับไว้ในห้องตุ๊กแก ป๋องจะร้องไห้เพราะเห็นตุ๊กแก มันอ้าปากแดงอยู่ตรงข้างฝา ป้องจะร้องว่า ป๋องกลัวแล้วกั๊บ ๆ เราก็ต้องไปช่วยเอาป๋องออกมา ด้วยความที่ป้ารองรักน้องป๋อง รักน้องปู และรักป้า ก็ทำให้ป้ารองทนอยู่ได้ ป้ารองคงรู้สึกว่าถ้าไม่มีฉันสักคนหนึ่งพวกเธอต้องถูกรังแก ก็เลยอยู่ด้วยกันมาจนล่วงเลยมานานหลายปีมาก จนปัจจุบันป้ารองอายุ 67 ปีแล้ว ป้ารองก็คงยังคงอยู่กับเรา
พูดถึงป้ารองในช่วงที่ป้าและน้อง ๆ ยังเด็กมาก ป้ายังจำภาพป้ารองได้ดี ป้ารองเป็นคนไม่สวย หน้าจะเป็นสิวเต็มเลยแต่รูปร่างน่ารักมาก เอวแกเล็กนิดเดียว 18 หรือ 22 นี่แหละ แล้วแม่จะรักป้ารองมาก แม่จะชอบตัดกระโปรงสวย ๆ ให้ป้ารองใส่ แล้วให้ป้ารองได้ไปงานของชาวบ้าน เช่น งานบวชบ้าง งานอะไรบ้าง ถึงป้ารองจะไม่สวย แต่ตลอดเวลาญาติ ๆ ของป้ารองก็พยายามจะเอาป้ารองกลับไปแต่งงานที่ลพบุรี จะหาคู่ให้ตลอด ทุกครั้งที่ป้ารองกลับไปบ้าน เด็ก ๆ อย่างพวกเราก็จะระส่ำระส่าย ป้าเองก็จะปลอบใจน้อง ๆ ว่ายังไงป้ารองต้องกลับมา แล้วป้ารองก็จะกลับมาหาพวกเราทุกทีเลย ที่สำคัญเมื่อคุณพ่อคุณแม่เสียชีวิต เรารู้เลยว่าชีวิตพวกเราเหลือป้ารองคนเดียว ขณะที่ญาติ ๆ ของป้ารองต่างรู้สึกว่าป้ารองจะอยู่กับพวกเราไปทำไม เดี๋ยวโตขึ้นพวกเราก็ทิ้งป้ารองไป
ปรากฏว่าป้ารองไม่ไปจากพวกเรา แต่ป้ารองกลับเป็นยิ่งกว่าแม่เราอีก ทั้งทำกับข้าวให้กิน ทำขนมส่งเราเรียนหนังสือ พวกเราจะช่วยกัน ทำมะพร้าวแก้ว ทำขนมหลายต่อหลายอย่าง บ้านเราไม่เคยรู้จักคำว่านอนหัวค่ำ เราจะทำงานหนักสาหัสมาก เราไม่เคยมีสตางค์ ถ้าเรามีเราจะแบ่งกันใช้ ใครไปเรียนหนังสือคนนั้นจะมีสตางค์ไป ใครอยู่บ้านก็ไม่ต้องมีสตางค์ สำหรับป้ารองเอง ในที่สุดญาติ ๆของป้ารองก็รามือที่จะเอาป้ารองไปแต่งงานไปเอง แล้วก็บอกกับป้ารองว่า สักวันหนึ่งเถอะ เด็ก ๆ มันจะเฉดหัวเธอกลับมาบ้าน แต่ในที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ญาติป้ารองพูดไว้สักนิด ทุกวันนี้คนในครอบครัวป้ารองต่างล้มหายตายจาก พิกลพิการ เหลือป้ารองคนเดียวเท่านั้นที่เป็น 'อาเสี่ย'
ปัจจุบันป้ารองจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่เยอรมันกับน้องสาวของป้าปีละ 6 เดือน อยู่เมืองไทย 6 เดือน แล้วป้ารองก็มีของใช้ดี ๆเวลากลับมาจากเยอรมันป้ารองก็จะเอาของไปฝากคนที่ลพบุรี ป้ารองดูเป็นคนรวย ป้ารองหิ้วกระเป๋าใบละหลายหมื่นบาท เวลาป้ารองไปไหนก็จะมีคนขับรถขับไปให้ ป้ารองสามารถไปดูคนเสิร์ตสุนทราภรณ์ ไปดูละครได้ตามแต่ใจอยากจะไป ซึ่งเราพูดได้ว่าป้ารองกลายเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดในขณะนี้
ถ้ามองกลับไป ป้ารองเป็นคนที่สู้ชีวิตมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าชีวิตจะเดินไปที่ไหน อาศัยอย่างเดียวคือ "ความรัก" และถ้าถามว่าป้ารองลำบากมั้ยที่ไม่มีครอบครัว หรือที่คนโบราณมักจะพูดว่า "ไม่มีลูก ไม่มีผัว" แล้วแก่ตัวจะอยู่กับใคร กลับกลายเป็นว่า วันนี้ป้ารองจะไปอยู่บ้านใครก็ได้ มีหลานเต็มไปหมดเลย ป้ารองบอกว่า ไม่มีลูกไม่มีผัวชีวิตก็มีความสุขได้
คิดดูสิจากเด็กบ้านนอกธรรมดา ๆ คนหนึ่ง คนที่เคยเอาเหามาติดป้า ตอนนั้นป้ารองอายุ 12 ปี ป้าอายุ 3 เดือน ป้ารองอุ้มป้า ป้ามีผมอยู่ 3 เส้น แม่ป้าเห็นป้าทำท่าเกาหัวเลยสงสัยพอเปิดหมวกมาเจอเหาอยู่ 3 ตัว จากเด็กบ้านนอกตอนหลังป้ารองก็ทำกับข้าวเป็นทุกอย่าง รู้วัฒนธรรมไทยทุกอย่าง เพราะได้รับการถ่ายทอดมรดกจากแม่มามากกว่าพวกเราเสียอีก
แล้วป้ารองก็กลายเป็นคนที่สามารถเก็บเกี่ยวความรักได้มากกว่าใคร ใครจะเชื่อว่าในหมู่ครอบครัวที่มีคุณพ่อคุณแม่ที่ดูแข็งแรง กับป้ารองซึ่งเป็นคนเลี้ยงเด็กธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้มันกลับกัน คุณพ่อคุณแม่เสียไปโดยท่านไม่ได้ใช้ประโยชน์จากลูกที่เลี้ยงมาทั้ง 6 คนเลย แต่คนที่ใช้ประโยชน์จากลูกทั้ง 6 คือป้ารอง กลายเป็นว่าบุคคลคนนี้ได้ทั้งหมดด้วยความรักและเสียสละตัวเดียว
ส่วนป้าเล็กหลังจากแม่ตาย ป้าเล็กก็ตายไล่ ๆ กันกับพ่อ แต่ป้าเล็กท่านก็น่ารัก ที่ว่าน่ารักคืออะไร ป้าเล็กจะช่วยทำกับข้าวให้เราทาน เวลาอากาศร้อนตอนกลางคืนป้าเล็กจะประแป้งให้ยัยปู่กับยัยกุ้ง แล้วก็พัดข้างนั้นที่ข้างนี้ที่จนสองคนนี้หลับก่อนแกถึงจะหลับ แล้วแกก็จะคอยดูปี๊ดว่าปี๊ดจะมีอะไรทานมั้ย ป้าเล็กแกตั้งใจว่าแกขอตายในอกของปี๊ดน้องชายของป้า แล้วแกได้ตายอย่างนั้นจริง ๆ เพราะวันที่แกจะเสีย ก่อนหน้านั้นแกเริ่มจะเป็นอัลไซเมอร์แต่เราไม่ทราบวันที่ป้าเล็กตายคือวันเดียวกับที่คุณพ่ออาการหนักต้องเข้าโรงพยาบาล
ตอนนั้นป้าแต่งงานแล้ว ตอนเช้าป้ารับโทรศัพท์ว่าพ่อเข้าโรงพยาบาล อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้รับโทรศัพท์ว่าป้าเล็กตายแล้ว ป้าตกใจมากกลับไปดู ปรากฏว่าป้าเล็กทานกาแฟซ้ำแล้วซ้ำอีก คือพอป้าเล็กเจอป๋องก็บอกป๋องให้ซื้อกาแฟให้เจอปี๊ดบอกปี๊ด ปี๊ดก็ซื้อให้ ไม่มีใครทราบว่าป้าเล็กทานไปแล้ว แกบ่นว่าปวดศีรษะมากแล้วก็ล้มลงไปเลย ปี๊ดซึ่งอยู่บ้านพอดี ก็รีบมาอุ้มไว้ ป้าเล็กมองหน้าปี๊ดแล้วก็หลับตายไปในอกปี๊ด
ส่วนปี๊ดตกใจมาก ปี๊ดค่อย ๆ วางป้าเล็กแล้วก็วิ่งตะโกนทั่วบ้านว่าป้าเล็กตายแล้ว เมื่อพ่อกลับบ้านเราก็ไม่บอกพ่อว่าป้าเล็กตายแล้ว เราบอกพ่อว่าป้าเล็กไปอยู่บ้านลุง จนกระทั่งคุณพ่อเสียไปอีกคน
เรามาทราบว่าป้าเล็กรักเราก็เมื่อป้าเล็กแก่แล้ว แล้วเราก็โตแล้ว เราเห็นป้าปฏิบัติกับพวกเราด้วยความรักเท่ากันทุกคน เมื่อก่อนที่เขาเป็นแบบนั้นอาจเป็นเพราะเขาอาจจะอยู่ในวัยสาว แต่ตอนหลังนี่ป้าเล็กจะปูที่นอนให้เราทุกคน ใครหลับก็จะเดินมาห่มผ้าให้ เพราะหลังจากพ่อแม่เราตายเราจะอยู่กันแบบกะร่องกะแห่งมาตลอด ป้าเล็กจะเป็นคนเย็บผ้าให้ซักผ้าให้ ขณะที่ป้ารองก็ทำกับข้าว ทำขนม ส่งขนม เราทำงานหนักมากทั้งครอบครัว และความที่เราทำงานหนักมาอย่างสาหัสมันทำให้เรารักกัน เราเห็นชีวิต เพราะฉะนั้นขั้นตอนทั้งหมดของชีวิตของเรา นอกจากคำสอนของพ่อกับแม่ต้องถือว่าพวกเราอยู่มาได้ด้วยความรักที่ร้อยไว้จริง ๆ
ทุกวันนี้ทุกครั้งที่ป้ามองป้ารอง ป้าจะมีความรู้สึกว่านี่ไง ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่มาด้วยความอดทนอย่างเดียว ตอนนี้ป้ารองแกก็มีสิ่งที่ขออย่างหนึ่ง ป้ารองบอกป้าว่ายัยใสถ้าฉันจะตายอย่าเอาฉันไปโรงพยาบาลนะ ให้ฉันตายที่บ้าน ให้หมอมาดูฉัน อย่าผ่าท้อง อย่าผ่าอะไร และอย่าเจาะคอ ขอนอนที่บ้านให้น้ำเกลือแล้วขอตายแบบสงบ เวลาตายก็ขอให้หลาน ๆ อยู่ แล้วฉันขอตายก่อนเธอนะ เพราะถ้าเธอตายก่อนเดี๋ยวไม่มีใครดูแลป้ารองแกกลัวจะไม่มีใครพาสวดมนต์ สุดท้ายแล้วจุดมุ่งหมายของผู้หญิงคนนี้ก็คือขอแค่ให้ได้ตายในบ้านและได้อยู่กับลูกกับหลานจนลมหายใจสุดท้ายของแกก็แค่นั้นเอง
จาก หนังสืออันเนื่องมาจาก...ความรัก
ป้าใส เกษมสุข ภมรสถิตย์