คุณแม่ลูกดก

วันที่ 07 กย. พ.ศ.2564

7-9-64-2-b.jpg

คุณแม่ลูกดก

                ชีวิตครอบครัวของป้าเริ่มต้นจากความรักของคนวัยหนุ่มสาว เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เป็นนิสิตที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขาเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนป้าเรียนคณะศิลปศาสตร์ ซึ่งเราไม่ได้มีความสุขมากมาย ป้าพบว่าการแต่งงานตอนที่เรายังเด็กเกินไปไม่เกิดผล เพราะอายุเรายังน้อย ตอนนั้นคิดว่าได้ขอแค่อยู่ด้วยกันก็โอเคแล้ว แต่ความเป็นจริงมันไม่ง่ายเลยเพราะ ยังมีปัจจัยอื่นอีกเยอะแยะมากมายเลยในการดำรงตน โดยเฉพาะตัวป้าเติบโตมาจากครอบครัวที่เป็นศูนย์ป้าไม่มีอะไรเลยมีแต่ความเป็นตัวของตัวเอง


                สามีเขาเป็นคนดีมากก็จริงเขาต้องทำงานเลี้ยงครอบครัวของเขาด้วย ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ต้องเลิกรากันไปคือ เรามีความอดทนซึ่งกันและกันน้อยเกินไป ป้าคิดว่าสาเหตุส่วนใหญ่มาจากตัวป้านะ อาจเป็นเพราะว่าป้าไม่เคยเล่าเรื่องชีวิตในวัยเด็กของป้าให้ใครฟังเลย สามีเองก็ไม่เคยทราบ บางครั้งเขาอาจจะคิดว่าเราหัวสูงไป ถามว่าทำไมถึงไม่เล่า ป้าคิดว่าไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าคนที่ถูกเลี้ยงมาแบบนั้นจะรู้สึกอย่างไร เล่าไปก็ไม่มีใครเชื่อ ป้าเลยเป็นคนที่อยู่กับตัวเองตลอดเวลา พอแต่งงานมีลูก แค่เรื่องการใช้ชีวิตปกติ ตัวคุณพ่อของน้องเหมย เขาเป็นคนชอบฟังเพลง แต่เขาไม่ชอบฟังเพลงสไตล์ป้า ป้าไม่มีเพื่อนฟังเพลง ไม่มีเพื่อนที่จะพูดถึงอะไรต่ออะไรในขณะนั้น แม้จะมีครอบครัวแต่ก็รู้สึกโดดเดี่ยว ป้าคิดว่านี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ป้ากดดันสามีป้า ป้าเป็นคนขี้หงุดหงิด ป้าจะไม่ยอมอดทนกับอะไรทั้งนั้น แต่ถามว่าปรนนิบัติสามีมั้ย ...ปรนนิบัติ ป้าทำทุกอย่างที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเขา แต่เขาไม่สามารถให้สิ่งที่เราปรารถนาได้ จนที่สุดก็รู้ว่าไม่มีใครที่สามารถหาสิ่งที่เราปรารถนาได้สักคนนอกจากตัวของเราเอง


                พอมีลูก ป้าจึงเอาความหวังไปไว้ที่ลูก ป้าวาดฝันวาดหวังไว้เต็มที่ว่าลูก เราเกิดมาจะต้องน่ารักมาก ๆ จะต้องเรียนหนังสือเก่ง ป้าสอนให้เขาเคาะเปียโนเป็นตั้งแต่เล็ก ๆ สอนให้เขาร้องเพลงเป็นตั้งแต่เล็ก ๆ และสอนให้เขาฟังเพลงคลาสสิกอย่างที่เราถูกสอนมา ถ้าเขาพูดได้ก็จะโพรเน้าซ์ (Pronounce) เสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง และเมื่อลูกโตขึ้น ลูกจะต้องพูดภาษาอังกฤษและภาษาไทยชัด พอลูกเกิดมา
เป็นผู้หญิงก็ดีใจ แต่ปรากฏว่า 3 เดือนลูกก็ไม่คว่ำ 5 เดือน ลูกก็ไม่คว่ำ ตอนนั้นหมอให้คำตอบได้อย่างเดียวว่าลูกเรา แอบนอร์มอล (Abnormal) ด้วยความที่เราพอมีความรู้บ้าง เราก็บอกหมอลูกเราไม่ได้มีหน้าตาเป็นเด็กปัญญาอ่อน เป็นเชื้อโรคเหรอ แล้วมันเกิดขึ้นเพราะอะไร หมอตอบเราไม่ได้ เราไม่มีทางรักษาเลยตอนนั้น พอลูกอายุได้ 10 เดือน ลูกไม่นอนเลยตลอด 3-4 คืน พอเขาไม่นอนป้าแย่เลย อุ้มเขาคอเขาก็ไม่ตั้ง จนป้าไปปรึกษาคุณหมอ คุณหมอจึงขอดูลูกแล้วก็ผ่าตัด ถึงแม้จะไม่ผ่าตัดลูกก็พิการอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ผ่าตัดลูกอาจตาย แล้วก็ยังไม่ทราบว่าความพิการจะไปถึงตรงไหน เขาเดินไม่ได้แน่นอน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราได้แต่หวังว่าเขาจะพูดได้มั้ยเท่านั้นเอง


                  ในที่สุดเมื่อเขาเป็นแบบนี้ ป้ายิ่งรู้สึกว่า เราจะทิ้งเขาไม่ได้เลย และเราจะเลี้ยงเขาอย่างไรให้เขามีความสุขเท่าที่เราจะทำได้เพราะเขาสื่อสารกับเราไม่ได้ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาจะปวดหัว ปวดท้องหรืออะไร ต้องอาศัยความใกล้ชิดอย่างเดียวในการดูแลเขา ป้ารักลูกสาวป้ามาก ป้าเฝ้าฟูมฟัก เลี้ยงดูเขามา ตอนนั้นยังไม่คิดว่าจะเลี้ยงดูใคร คิดแต่เพียงว่า ลูกเราเป็นแบบนี้ แล้วเราจะเอาสิ่งที่เรามีอยู่ในชีวิตไปสอนใครป้าไม่เคยคิดว่าจะต้องออกมาอยู่ลำพัง แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจตลอดเวลาคือชอบอยู่คนเดียวมาก ชอบอิสระ และเมื่อป้าออกมาทำงานอีกครั้งหนึ่งป้าเริ่มรู้ว่าเงินมันหาไม่ยากสำหรับป้าสุดท้ายป้าเลือกที่จะไป ป้าต้องการอิสรภาพ ป้าจึงพาลูกออกจากบ้านสามีมา แล้วป้าก็มาเริ่มชีวิตการทำงานด้วยการแปลหนังสือ แล้วก็เป็นฟรีแลนซ์ที่ไทยวัฒนาพานิช สาเหตุที่ป้าไม่ทำงานประจำไม่ใช่เพราะป้าหยิ่ง ส่วนหนึ่งป้ามีความรู้สึกว่า
ป้าถูกมัด และป้าถูกมัดไม่ได้เพราะป้ามีลูก ป้าไม่รู้ว่าวันไหน ลูกจะไม่สบาย และป้าไม่สามารถทิ้งลูกแล้วไปทำงานได้ ถึงแม้จะมีพี่เลี้ยง


                  แต่ทุกวันนี้ป้ากลายเป็นคุณแม่ลูกดกไปเสียแล้วเพราะอะไร? เพราะเมื่อก่อนความที่ป้าทำงานฟรีแลนซ์ ช่วงปิดเทอมนี่เพื่อน ๆ ป้าจึงมักพาลูก ๆ มาทิ้งไว้กับป้า เขาบอกท่าทางใสจะเลี้ยงลูกเก่ง ป้าก็เลี้ยงอย่างสนุกสนานไม่ได้รู้สึกว่าเป็นภาระอะไร บางคนก็มาค้าง บางคนก็มาส่งเช้า-เย็น มารับกลับ ไม่ได้รับจ้างนะ แล้วป้าก็สอนสมาธิเด็ก ๆ ไปด้วย หลังจากนั้นทางการบินไทยเขามาเชิญป้าให้ไปสอนทำสมาธิ สอนได้พักหนึ่งวันหนึ่งเมื่อป้าป่วยขับรถไม่ไหว ป้าเลยหันมาเปิดสอนสมาธิที่บ้าน เริ่มจากเพื่อน ๆ มาเรียนก่อน เพื่อนก็ไปบอกเพื่อนอีกที จากปากต่อไปมันก็ไปถึงหูบรรดาเด็ก ๆ มหาวิทยาลัย เขาก็ติดต่อขอมาเรียนทำสมาธิ ถอยหลังไป ประมาณสักสิบกว่าปี ทุกวันศุกร์จะมีเด็กมหาวิทยาลัยมานั่งสมาธิที่บ้านเยอะมาก ม.รามคำแหงเยอะที่สุด แล้วก็ม.เกษตรฯ มีทุกมหาวิทยาลัยเลย จำได้ว่าวันหนึ่งป้ากลับมาจากธุระ
ข้างนอก 16.00 น. กลับมาก็เห็นเด็กมาเดินเต็มบ้านเลย ทั้ง ๆ ที่ป้าสอนสองทุ่ม ป้าก็ถามว่า หนูมาทำอะไรแต่วันเลยคะ เด็กรามคำแหงคนหนึ่งบอกว่า หนูคิดถึงบ้านหนู หนูอยากมาบ้านน้าใสเพราะเวลาเห็นน้าใสแล้วเหมือนเห็นคุณแม่ ก็เลยมาเร็ว ป้าเองได้ยินเด็กพูดอย่างนั้นก็สงสารมาก รู้สึกว่าเด็กมาจากบ้านนอก เขาอยากมาที่นี่ดีกว่าเขาไปที่อื่น เด็กนี่มีทางเสียตลอดเวลา อย่างน้อยถ้าเขาปรารถนามาหาเรา มาทำสมาธิ ก็แสดงว่าเด็กต้องใฝ่ดี เราจะเสียสตางค์ค่าข้าวมากไปกว่าปกติบ้างก็ไม่น่าจะเป็นไร แล้วปรากฏว่าลูกสาวเราเองก็ชอบมากที่มีพี่ ๆ มาห้อมล้อม มาเล่น และรักเขาด้วยความจริงใจ


                   พอเด็ก ๆ เริ่มมาเร็ว ป้าก็เริ่มเลี้ยงข้าว ป้าปรึกษาพี่เลี้ยงลูกว่าทำไงดี ทำข้าวหม้อแกงหม้อแล้วกัน แต่กินแล้ว ต้องล้างจานด้วย แล้วใครอยากจะหยอดกระปุกห้าบาทสิบบาทก็หยอดได้ มันก็เลยกลายเป็นโขยงเล็ก ๆ จากจุดนี้เด็กบางคนก็ไม่อยากกลับบ้านแล้ว ขออยู่ที่นี่ บางคนก็ขอมาค้างแค่ช่วงเสาร์-อาทิตย์ เด็กเหล่านี้จำนวนหนึ่งเมื่อจบแล้วบางคนก็ออกไปทำงานบ้าง แต่งงานบ้าง ไปบวชพระก็มี แล้วก็มีอยู่สองคนหนึ่งเป็นทหารเรือ วันนั้นป้าตั้งใจว่าจะไม่รับใคร เป็นลูกแล้ว แต่อยู่ ๆ เขามาบอกว่า ป้าใสครับ ผมขอเรียก ป้าใสว่าแม่ได้มั้ย ป้าก็ถามทำไมหรือหนู เขาก็บอกผมตั้งตาคอยทุกวันเลยว่าเมื่อไหร่จะถึงวันศุกร์ผมจะได้มาหาป้าที่นี่ แล้วเวลาออกเรือไปทะเลผมจะรู้สึกว่าเดี๋ยวก็ได้กลับมาหาป้าแล้ว มันผูกพันมากเลย ผมขอเป็นลูกได้ไหมครับ อย่างนี้จะไม่รับได้มั้ย อีกคนหนึ่งเป็นหมอ ก็พูดอย่างนี้เหมือนกัน เขาบอกเวลาออกจากบ้านไปแล้วคิดถึงบ้านนี้มากเลย ไม่ไหวแล้ว ขอมาอยู่ด้วยแล้วกันป้าก็เลย.... เอ้าอยู่ก็อยู่ ตอนนั้นป้ามีคนที่ขอเป็น ลูกป้าจริง ๆ ยี่สิบกว่าคน ทุกวันนี้เหลืออยู่ 16 คน


                ...แล้วก็เป็นความรู้สึกดี แปลกนะ ป้าไม่เคยรู้สึกว่าลูกเหล่านี้ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ เลย ป้ารู้สึกว่าเมื่อเด็กขอเป็นลูกเด็กย่อมอยากเป็นลูกจริง และเราต้องรักเขาจริง อีกอันหนึ่งคือ ลูกทุกคนต้องได้รับเหมือนที่ลูกเราได้รับ ข้าวปลาอาหารเขา จะต้องได้กินเหมือนที่ลูกเราได้กินทุกประการ ลูกคนหนึ่งเป็นผู้ชายชื่อเอ เขาบอกแม่ครับตอนที่ผมมาอยู่ใหม่ ๆ ของอะไรที่บ้านแม่ก็น่ากินไปหมดเลย เรามีเค้ก มีขนมปัง เขาบอกเขาต้องรีบกลับมาบ้านเพราะไม่แน่ใจว่าจะมีของเหล่านี้เหลือให้เขากินหรือเปล่า แต่วันหนึ่งเขาก็บอกคืนสู่สามัญครับแม่ เพราะเขารู้ว่าที่บ้านเขามีของเหล่านี้ให้เขากินตลอด ที่บ้านเราก็จะทำกับข้าวคราวละมาก ๆ เวลาทอดปลาทูต้องทอดเป็นถาด แล้วทุกคนก็จะกินได้โดยไม่มีการหวง ป้าเองจะบอกว่าแม่ไม่หวงแต่ให้ดูด้วยว่ายังมีคนหลังที่ไม่ได้ทานหรือเปล่า ทุกคนก็จะทานอย่างพอดี ทั้งหมดนี้หลักมันคืออะไร คือการ
ให้เขาจริง ๆ รักเขาจริง ๆ มีลูกหลายคนที่พ่อแม่แท้ ๆ ของเขาเดินมายกให้ พ่อแม่บางคนอยู่ต่างจังหวัดเวลามาเยี่ยมลูก เขาก็จะมานอนที่บ้าน กลายเป็นโขยงที่ใหญ่มาก บ้านของลูกบางคนทำนาเขาก็จะส่งข้าวมาให้เราจากต่างจังหวัด เราก็ส่งเงินไปให้เขาทำนา บ้านของลูกบางคนมีไร่ที่ปากช่องเขาก็ส่งของมาให้เรา บางคนมีสวนทางใต้ ทางบ้านเขาก็จะส่งสะตอมาให้เรากินเป็นอาจิณ เราจะมีลองกองกิน ป้าเลี้ยงลูกอย่างดี
นะ ทุกคนนอนแอร์คอนดิชั่นหมด แล้วเวลาป้าไปไหนป้าจะเอาลูกไปด้วยนะ หลายคนเมื่อเรียนจบไปทำงานเป็นใหญ่เป็นโตก็มี วันแม่ วันปีใหม่ วันเกิด ทุกคนจะพากันกลับมา บางคนมาไม่เจอเพราะเขารู้ว่าป้าไม่ซีเรียสกับเรื่องเหล่านี้ บางคนเอาดอกไม้มาให้ บางคนเอาสตางค์ใส่ซองไว้ให้


                   การอยู่ร่วมกันในบ้าน สิ่งที่ป้ามักจะสอนเสมอคือ ทุกคนจะต้องอยู่ในศีลห้า ลูกจะต้องมีเกณฑ์ของตัวเอง ทุกคนต้องมีความกตัญญ มีความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน แต่ "ศีล" ตัวเดียวไม่พอ ต้องมี "ธรรม" ด้วย และทุกคนต้องทำสมาธิ เพราะทุกคนเริ่มมาเป็นลูกของป้าเพราะการทำสมาธิ และทุกคนก็ทราบว่าป้าทำงานโดยไม่ได้ปรารถนาความรวยเพียงอย่างเดียว ถ้าป้าอยากทำนี่ทำนั่นเขาก็จะช่วย และความที่
ทุกคนมีชีวิตที่เพียงพออยู่ในบ้านเขาจึงไม่เรียกร้องเงินเดือนสูง ๆ กัน ป้าเองถ้าได้เงินมาก็จะส่งให้ลูก ๆ ลูกจะรู้กันทั้งบ้านว่าแต่ละคนเงินเดือนเท่าไหร่เพราะเขาจะตั้งกันเอง จะขึ้นเงินเดือนหรือยัง หรือตอนนี้ลดก่อนนะ จะเป็นอย่างนี้ เพราะว่ามันมีความเพียงพอในบ้าน กินสบาย อยู่สบาย กลับมาก็เป็นสุข หัวเราะสนุกสนาน บันเทิง มันก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของพวกเรา


เหมียว : คุณแม่เป็นคนที่รักคน คุณแม่มีเมตตา เวลาเลี้ยงแม่จะให้ความรักเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือสิ่งของแม่ให้โอกาสในการทำงาน แม่จะสอนและเราจะไม่อิจฉากันคุณแม่จะรู้ว่าใครนิสัยยังไงและจะสอนให้แต่ละคนเข้าใจซึ่งกันและกัน


อ้อย : เรามีความมั่นใจว่าคุณแม่รักลูกเท่ากัน แม่เข้าใจทุกๆ คนพวกเราก็จะรักกันแม่จะให้เราเอาจุดที่ดีของแต่ละคนมาสมานกัน บ้านเราจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ถ้ามีอะไรสักเรื่องเกิดขึ้นในบ้านเราก็จะถามกันทั้งบ้าน จะไม่นินทากัน เรื่องทุกอย่างเลยจะจบลงได้ง่าย


จ่อย : อย่างแรกคือมั่นใจว่าคุณแม่รักเราเหมือนลูกจริง ๆ เราจะมีความสุขกันมากเพราะบ้านเราจะไม่มีความลับ และจะสนุกสนานกันมาก


อ๋อย : สัมผัสถึงความเป็นแม่จากตัวคุณแม่ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ รู้สึกเป็นความผูกพันทางใจลึก ๆ อยู่ข้างใน มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ อะไรที่ทำแล้วคุณแม่จะไม่สบายใจพวกเราจะไม่ทำ หรือถ้าอะไรที่เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะทำให้คุณแม่ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อนพวกเราก็จะทำ ทุกคนในบ้านนี้จะผูกพันกันแบบพี่น้องจริงๆ


เอ : สิ่งหนึ่งที่ได้รับจากคุณแม่ก็คือความรัก คุณแม่จะรักผมเหมือนลูกจริง ๆ คุณแม่จะเข้าใจลูก ๆ ทุกคน

 

จากหนังสือ อันเนื่องมาจาก...ความรัก

ป้าใส เกษมสุข ภมรสถิตย์
 

**บทความ แนะนำ/เกี่ยวข้อง

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.030371534824371 Mins