บทที่ ๒๐
พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ในกัปปัจจุบัน
พระโพธิสัตว์ของเราได้มาอุบัติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ในกัปปัจจุบัน เมื่อก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี แม้ขณะนี้พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เป็นเวลานานเท่าจำนวนปีพุทธศักราช แต่ก็ยังถือว่าเป็นพุทธกาลของพระองค์อยู่ เพราะยังมีคำสอนของพระตถาคตเจ้าให้พุทธศาสนิกชนได้ศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติตามกระทั่งทุกวันนี้
รายละเอียดพระประวัติชีวิตในพระชาตินี้ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ส่วนการบำเพ็ญพุทธบารมีก่อนพระชาตินี้ ทรงกระทำตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ตรัสรู้ด้วยปัญญา คือ ในขณะเวียนว่ายตายเกิดเป็นพระโพธิสัตว์นั้น
๑. ทรงสะสมบารมีครบบริบูรณ์ ๑๐ ประการ ทั้ง ๓ ระดับ เรียกว่าบารมี ๓๐ ทัศ และกระทำปัญจมหาบริจาค การบริจาคที่ยิ่งใหญ่ ๕ ประการ มีทรัพย์ บุตร ภรรยา กายและชีวิต
๒. ระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมียาวนาน ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป กัปหนึ่งเท่ากับอายุของโลก ตั้งแต่เกิดจนถูกทำลายครั้งหนึ่ง
๓. พระชาติสุดท้ายก่อนตรัสรู้จะทรงบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๔ ชื่อว่าดุสิต เมื่อได้เวลาอันสมควร เหล่าเทวดาและพรหมในหมื่นจักรวาลจะมาทูลอ้อนวอนให้จุติ มาอุบัติตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลกมนุษย์
๔. ก่อนทรงรับคำทูลขอร้อง ต้องทรงพิจารณามหาวิโลกนะทั้ง ๕ ประการ ในโลกมนุษย์ที่จะจุติมาบังเกิดเสียก่อน มหาวิโลกนะ ๕ มีความสมควรครบถ้วนแล้วจึงจุติ ได้แก่
๔.๑ กาล คือ อายุขัยของมนุษย์ต้องอยู่ในระหว่าง ๑๐๐ ปี ถึง ๑ แสนปี ไม่น้อยกว่าร้อย แต่ไม่เกินกว่าแสน เพราะขณะเวลาในโลกมนุษย์ที่มนุษย์มีอายุขัยต่ำกว่า ๑๐๐ ปี มนุษย์มีกิเลสครอบงำใจมาก มีปัญญาน้อย สอนให้รู้อริยสัจได้ยากยิ่ง
๔.๒ ทีปะ คือ ทวีปหรือโลกมนุษย์ ในจักรวาลหนึ่งๆ มีโลกมนุษย์ ๔ แห่ง(ทวีป) จําเป็นต้องเลือกตรัสรู้ในชมพูทวีปเพราะเป็นที่ที่มนุษย์ในโลกนี้มองเห็นทุกข์ได้ง่ายกว่าทวีปอื่น มนุษย์ในชมพูทวีปจิตใจเข้มแข็ง สามารถทำความดีสูงสุดเป็นพระอรหันต์ก็ได้ สามารถทำความเลวที่สุดถึงไปเกิดเป็นสัตว์นรกในอเวจีหรือโลกันต์ก็ได้
๔.๓ เทสะถิ่นแดนที่ทรงบังเกิด เลือกถิ่นแดนที่ผู้คนมีสิ่งแวดล้อมมีความเป็นอยู่ในชีวิตพอประมาณ มีความฉลาด รับฟังคำสอนได้ ความเป็นอยู่ของมหาชนไม่ทุกข์มากเกินไป ไม่สุขมากเกินไป
๔.๔ กุละ หรือตระกูล จะอุบัติในตระกูลที่มนุษย์ยุคนั้นถือว่าเป็นตระกูลประเสริฐสุด เช่น ตระกูลกษัตริย์ หรือ พราหมณ์
๔.๕ ชเนตติอายุปริจเฉท มีผู้มีบุญสมควรเป็นพระพุทธมารดา คือ ต้องมีศีล
๕ บริสุทธิ์ ไม่โลเลในบุรุษ บำเพ็ญบารมีมาตลอดแสนกัป
เมื่อพระมารดาประสูติพระโพธิสัตว์แล้ว จะทรงมีพระชนม์ชีพต่อไปได้อีกเพียง ๗ วัน เพื่อไม่ให้พระครรภ์เป็นที่อาศัยเกิดของผู้อื่นอีก (พระพุทธเจ้าต้องเป็นบุตรคนเดียวเสมอ สมกับฐานะคำว่า เอกบุรุษ คือ เป็นหนึ่งทั้งกายเนื้อ และกายธรรม)
พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ทรงมีคุณสมบัติทุกประการตามพุทธวงศ์ในอดีต แต่ที่ดูเหมือนจะมีระยะพุทธกาลไม่นานนักก็ตรงที่ทรงมาอุบัติตรัสรู้ในเวลาที่มนุษย์ มีอายุขัยน้อยที่สุดคือ ๑๐๐ ปี เหล่ามนุษย์มีกิเลสห่อหุ้มใจมาก ทำให้ปัญญาเกิดได้ยาก
อย่างไรก็ดี พระตถาคตเจ้าก็ได้ทรงอุบัติขึ้นมาเป็นกัลยาณมิตรที่ยอดเยี่ยมของชาวโลกแล้ว แม้เวลานี้จะห่างจากกาลเวลาที่พระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่เกินกว่า ๒,๕๐๐ ปีก็ตาม คำสั่งสอนของพระองค์ยังคงเหลืออยู่ พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตาม ยังมีเห็น
เป็นตัวอย่าง
เราซึ่งได้เกิดมาโดยมีคุณสมบัติครบทั้ง ๕ อย่าง จึงนับว่าเป็นผู้ที่มหาโชคมหาลาภอันประเสริฐ จึงควรใช้เวลาในชีวิตให้ได้ประโยชน์เต็มที่ ไม่ให้เสียชาติเกิด
คุณสมบัติทั้ง ๕ นั้นคือ
๑. ได้เกิดเป็นมนุษย์ที่มีอวัยวะสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง มีสติปัญญาดี
๒. เกิดในเวลาที่ยังมีคำสอนในพระพุทธศาสนาเผยแพร่อยู่
๓. ได้อยู่ในที่ที่มีโอกาสมีกัลยาณมิตรได้ศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติตามคำสอนนั้น
๔. ได้เกิดในตระกูลสัมมาทิฏฐิ ผู้คนที่อยู่แวดล้อมล้วนแต่เป็นสัมมาทิฏฐิ
๕. ตนเองเป็นคนมีสัมมาทิฏฐิ
สมบัติทั้ง ๕ นี้มีความสำคัญยิ่งในการช่วยให้ดำเนินชีวิตได้ประโยชน์สมบูรณ์เต็มที่
ข้อแรก การได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งจำเป็น เพราะเป็นสัตว์ที่มีสติปัญญาสามารถพัฒนาตนเองให้ประสบผลสำเร็จได้ง่าย โดยเฉพาะการเห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ ซึ่งต้องมองให้เห็นว่าชีวิตไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรต้องประสบทุกข์ทั้งสิ้น ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ มองเห็นความทุกข์ รู้จักว่าสิ่งใดเป็นทุกข์บ้าง ต่อจากนั้นก็หาสาเหตุของทุกข์ให้พบ ซึ่งก็มาจาก "ความอยาก" อย่างเดียวเท่านั้น อยากอย่างนั้น อยากอย่างนี้ ไม่ได้ตามที่อยากจึงต้องทุกข์ เลิกอยาก หยุดอยากลงได้เมื่อใด ความทุกข์ก็หมดไป สภาพหมดทุกข์ซึ่งเรียกว่านิพพานนั้นต้องทำให้แจ้ง คือให้รู้เห็นจริง ส่วนวิธีดับทุกข์ซึ่งได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ นั้น ต้องทำให้เจริญ
ถ้าเกิดเป็นสัตว์ในภูมิอื่นเห็นความจริงเหล่านี้ได้ยาก เช่น เป็นสัตว์ในอบายภูมิ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย มีทุกข์มากเสียจนหมดปัญญาที่จะนึกถึงเรื่องอะไรทั้งสิ้น เป็นสัตว์เดรัจฉาน แค่หาอาหารกินให้อิ่มท้องไปมื้อหนึ่งๆ ก็ยากลำบาก ปัญญาเรื่องอื่นจึงไม่มี
ส่วนสัตว์ที่เกิดในสุคติภูมิที่ดียิ่งกว่ามนุษย์ เช่น เทวดา พรหม ก็มักมีความสุขมากเกินไป อายุยืนเกินไป ทำให้ประมาท มองไม่เห็นความทุกข์ จึงไม่สนใจพัฒนาจิตใจตนเอง
แม้ว่าได้เกิดเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ที่ดีแล้วก็จริง แต่ถ้าต้องพิกลพิการ เช่น ตาบอด หูหนวก ใบ้ บ้า ปัญญาอ่อน ก็ไม่สามารถพัฒนาปัญญาอะไรได้มาก
ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ในเวลาที่ไม่มีคำสอนในพระพุทธศาสนา ย่อมไม่มีโอกาสสร้างบารมีเพื่อการเลิกเกิดอยู่ดี เพราะขาดกัลยาณมิตร เช่น ครูบาอาจารย์ที่นำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาแนะนำตักเตือน
แม้ว่าขณะนั้นมีคำสอนอยู่ แต่ถ้าไปเกิดเสียในถิ่นที่ห่างไกล เป็นชาวป่า ชาวเขา หรือสถานที่พระพุทธศาสนาแผ่ไปไม่ถึง ก็ไร้ประโยชน์ทำนองเดียวกัน
เรื่องตระกูล ถ้าจะพูดให้ง่ายเข้า ก็คือผู้คนที่เกี่ยวข้องแวดล้อมวงศาคณาญาติ หรือจะรวมเอาเพื่อนพ้อง ผู้ทำงานร่วมกันด้วยก็ได้ ถ้าผู้คนเหล่านี้เป็นมิจฉาทิฏฐิหรือ นับถือลัทธิเดียรถีย์ไปเสีย ย่อมเป็นอุปสรรคขวางการสร้างบารมีอย่างยิ่ง
สําหรับตนเอง ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิ ทุกสิ่งก็หมดความหมายสิ้นเชิง เพราะปิดโอกาสสร้างบารมีทุกอย่างจนหมด สัมมาทิฏฐินั้นคือความเห็นชอบ ความเห็นชอบก็คือ เห็นถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เช่น เห็นทุกอย่างไม่คงที่ ล้วนแต่เป็นทุกข์ คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ ไม่อยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชาของเรา เห็นจริงตามหลักกฎของกรรม บุญมีจริง บาปมีจริง ทําดีได้ดี ท่าชั่วได้ชั่ว บิดามารดามีคุณ ชาติภพต่างๆ มีจริง ฯลฯ
เห็นกามทั้งหลายที่ผู้คนมัวเมากันอยู่ทุกวันนี้ไม่ว่ารูปสวยๆ เสียงเพราะๆ กลิ่นหอมๆ รสอร่อยๆ สัมผัสเย็นนุ่มอบอุ่น ว่าเป็นของไม่ยั่งยืน เป็นของจอมปลอมหลอกลวง ล้วนแต่บ่ายหน้าไปสู่ความพินาศเสื่อมสลาย ไม่ว่ากามของมนุษย์หรือกามของทิพย์
เมื่อมีความคิดเห็นถูกต้อง ย่อมทำให้ไม่ประมาทในชีวิต
ด้วยเหตุนี้ คุณสมบัติดังกล่าวทั้ง ๕ ประการ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรมี เปิดโอกาสให้สร้างบารมีได้สะดวก
ดังนั้น ใครก็ตามมีองค์ประกอบทั้ง ๕ ดังกล่าวแล้ว จึงไม่ควรปล่อยให้เสียโอกาสอันดีไป ควรขวนขวาย เร่งรีบทำความเพียรสร้างบารมีของตนเองให้สุดกำลัง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย มีจำนวนนับประมาณไม่ได้ ทรงสั่งสมพระบารมีเป็นตัวอย่างให้เราเห็น พระองค์ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณด้วยพระองค์เอง พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดยังทรงช่วยสรรพสัตว์อื่นให้รู้เห็นและทำตามบรรลุความเกษมอันนั้นด้วย เป็นจำนวนมากมายเหลือคณานับ ด้วยพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่
แม้แต่พวกเราเองยังพลอยได้พึ่งพระมหากรุณานั้น ได้พบคำสั่งสอนของพระองค์มีโอกาสที่จะเดินตามรอยพระบาท ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าจะกล้าเดินหรือไม่ หรือจะปล่อยให้กิเลสหมุนพาไปชาติแล้วชาติเล่า เกิดๆ ตายๆ ไม่รู้จบสิ้น เกิดครั้งใดมีทุกข์ทุกครั้งไป
ในวินาทีนี้ เรามีองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อ ครบบริบูรณ์ดีแล้ว เรามาตั้งปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันเถิด แค่เพียงตั้งใจ เราก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้ชื่อว่า พระโพธิสัตว์แล้วไม่เหลือวิสัย
เป็นทาสตัณหา นานมา นับเวลาใม่ได้
เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ประเสริฐหรือ?
มาปลดคน พ้นจากนาย ให้ได้คือ
พระโพธิสัตว์ ยังช่วยรื้อ(ขนสัตว์ไว้) ไปนิพพาน.......