พระธรรมเทศนาพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
๓ ตุลาคม ๒๕๒๕
ดวงปฐมมรรค
ต่อจากนี้เราจะได้นั่งเจริญภาวนากัน สำหรับท่านชายให้นั่งขัดสมาธิ ท่านหญิงถ้าขัดสมาธิไม่ถนัดให้นั่งพับเพียบ ถ้าขัดสมาธิถนัดก็ให้นั่งขัดสมาธิ ขัดสมาธิก็ให้เอาขาขวาทับขาซ้าย ขาข้างขวาทับขาซ้ายนะ มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตัก วางสบาย ๆ ทุกคนนะ วางสบาย ๆ สำหรับท่านหญิงที่นั่งขัดสมาธิไม่ถนัดก็ให้นั่งพับเพียบ แล้วก็เอามือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย เช่นเดียวกัน ทั้งกายของเราให้ตรง อย่าก้มอย่าเงยนัก กะคะเนว่าเลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก
ขอให้ทุกท่านลืมตามามองดูพระพุทธรูป บนศาลาก็พระพุทธรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่บูชา ที่ข้างล่างศาลาที่ตามเต็นท์ต่าง ๆ ก็อยู่ที่หน้าเต็นท์ ที่หน้าเต็นท์เรามีพระพุทธรูปแก้ว แก้วสีขาวใสเกตุดอกบัวตูม ปางสมาธิ ตั้งอยู่ข้างหน้าของทุก ๆ ท่าน ที่หน้าเต็นท์ ขอให้ท่านได้ลืมตาดู มองดูพระแก้ว พระแก้วที่อยู่ข้างหน้าท่านนะทุก ๆ ท่านน่ะ พยายามจำพุทธลักษณะ พยายามจำกันให้ดี จำความใส จำขนาด จำรูปร่างท่านเป็นพระแก้วขาวใสเกตุดอกบัวตูม นั่งขัดสมาธิเช่นเดียวกับพวกเราทั้งหลายเหมือนกัน ทุกท่านขอให้จำให้ดีนะ ดูให้ดี เราจะอาศัยพุทธปฏิมากรองค์นี้ เป็นจุดเชื่อมโยงใจของเราให้หยุดให้นิ่ง ให้เข้าถึงธรรมะภายในตัวของเรา
เพราะฉะนั้นขอให้พยายามจำกันไว้ให้ดี คราวนี้เราลองหลับตาเบา ๆ หลับตาเบา ๆ ซักนิดนึงหลับตาคล้าย ๆ กับเรานอนหลับ หลับสบาย ๆ ให้ผนังตาให้เปลือกตาน่ะค่อย ๆ ปิดสนิทลงมาน่ะโดยไม่ได้ใช้กำลังบังคับ ไม่กดลูกนัยน์ตา ไม่บีบหัวตา ไม่เกร็งตา หลับเฉย ๆ แล้วทำใจให้สบาย ๆ ใจสบาย ๆ ลองนึกถึงพระปฏิมากร พุทธปฏิมากรพระแก้วใส ๆ ที่อยู่ข้างหน้าพวกเราทุก ๆ ท่าน ลองนึกอย่างสบาย ๆ ทำใจสบาย ๆนึกง่าย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงคนที่เรารักมากที่สุดน่ะ ให้นึกให้ง่าย ๆ โดยไม่ได้ใช้ความพยายามในการนึกคิดลองดูซิว่าเราจะจำได้มั้ย นึกสบาย ๆ จำไม่ได้ ลืมตาขึ้นมาดูใหม่ ค่อย ๆ เผยอเปลือกตาขึ้นมาน่ะ คราวนี้มองดูให้ดีนะ
มองดูพระแก้วขาวใส เกตุดอกบัวตูม ปางสมาธิ ที่อยู่ข้างหน้าของพวกเราทุกท่าน ตอนนี้พยายามจำให้ดี เมื่อสักครู่ที่เราหลับตาไป ๑ นาที เรานึกยังไม่ออก ตอนนี้ดูให้ดีนะ จำให้ดีทีเดียว ที่อยู่ข้างหน้าพวกเราน่ะ มองดูมองดูพุทธลักษณะ เกตุดอกบัวตูม ปางสมาธิ มองดูให้ดีนะ พยายามมอง มองสบาย ๆ อย่าไปตั้งใจมากเกินไปมองสบาย ๆ หลับตาอีกครั้งนึง หลับตาเบา ๆ นะ หลับตาเบา ๆ ทำใจสบาย ๆ ใจเย็น ๆ และก็ลองนึกดูใหม่ นึกอย่างสบาย ๆ อย่าให้มันเครียด นึกง่าย ๆ นึกดูรูปร่างให้ดีนะ ให้เราทำใจสบาย ๆ นึกซัก ๑ นาที ลองนึกดูใหม่
ลืมตาอีกครั้งนึง ลืมเบา ๆ แล้วมองดูให้ดีนะ มองดูพระแก้วใหม่ มองอย่างสบาย ๆ ทำใจเย็น ๆ เมื่อกี้นี้เราตั้งใจมากเกินไปรึเปล่า เราพยายามเพ่งจนกระทั่งปวดหัวตา หรือหัวคิ้วอุ่นเข้าหากันอย่างนั้นผิดวิธีนะ ไม่ถูกลืมอย่างสบาย ๆ ทำใจเย็น ๆ ทำใจสบาย ๆ จำให้ดีนะ คราวนี้จำให้ดี เราหลับตาคราวนี้เราจะไม่ลืมอีกแล้วพยายามมองดูพุทธลักษณะเกตุดอกบัวตูม ปางสมาธิ เป็นพระแก้วขาวใส เอ้าดูให้ดีนะ หลับตาอีกครั้งนึง คราวนี้นึกน้อมจิตตามเสียงอาตมาไปนะ
นึกน้อมจิตลงไป เราก็หลับตานึกให้เห็นพระแก้วขาวใส เกตุดอกบัวตูม ปางสมาธิ เราก็นึกอาราธนาท่านให้เข้าไปอยู่ในตัวของเรา ให้ท่านเลื่อนเข้ามานะ มาอยู่ที่หน้าเรา อยู่ข้างหน้าเราและเลื่อนเข้าไป ถ้าองค์พระท่านใหญ่ เราก็ย่อให้เล็กเหลือนิดนึง กะคะเนว่าเราพอที่จะจำพุทธลักษณะได้ เราก็นึกเลื่อนองค์พระเข้ามาที่กลางกั๊กศีรษะ อยู่ในกลางศีรษะของเรานะ แล้วก็ทำใจสบาย ๆ ตรึกนึกถึงพุทธลักษณะ จำความใส จำรูปร่างของท่านให้ดี แล้วเราก็ค่อย ๆ เลื่อนพระแก้ว ค่อย ๆ เลื่อนเข้าไป คล้าย ๆ กับเรากลืนเอาเข้าไปไว้ในท้อง เลื่อนพระแก้วน่ะ เลื่อนลงไป ให้เข้าไปอยู่ในศูนย์กลางกายของเรา ศูนย์กลางกายในกลางท้องของเรา
ตอนนี้ลักษณะคล้าย ๆ กะเรามองจากด้านบนลงไปด้านล่าง ตั้งแต่เศียรของท่านน่ะ มองตรงออกไป แล้วก็ค่อย ๆ นึกค่อย ๆ คิดทำใจสบาย ๆ นึกคิดให้เห็นพระแก้วให้ชัดเจน คล้าย ๆ กะเราลืมตาเห็นเกตุดอกบัวตูม นั่งขัดสมาธิเหมือนกะเรา หันหน้าออกไปทางเดียวกะเรา ใสเป็นแก้วที่เดียวนะ หรือใสเหมือนกะเพชร ให้มีความใสอยู่ในกลางท้องของพวกเราทุก ๆ คน นึกไปเบา ๆ อย่างงั้นนะ นึกสบาย ๆ ในขณะเดียวกันเราก็นึกถึงบริกรรมภาวนา ควบคู่กันไปด้วย ภาวนาในใจ ให้เสียงของคำภาวนาเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน ดังออกมาจากในกลางท้องขององค์พระนะ กลางท้องของตัวของเรา องค์พระที่อยู่ในตัวของเราน่ะ ให้ดังออกมาจากตรงนั้นนะ เป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน ไม่ได้ยินด้วยหู แต่ว่าได้ยินด้วยใจที่ละเอียด
เราภาวนาว่าสัมมาอะระหังๆๆๆๆ ให้เป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน ดังออกมาจากศูนย์กลางกายขององค์พระที่อยู่ในตัวของเราน่ะ ใจเราก็ตรึกนึกถึงรูปร่างของพระแก้วใส ๆ นึกให้ใสเหมือนกับเพชร ควบคู่กับคำภาวนาอย่างนี้นะ นึกไปเรื่อย สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ให้ภาวนาไปอย่างนี้นะ จนกว่าคำภาวนาสัมมาอะระหัง มันจะหายไปด้วยตัวของมันเอง หายไปคล้าย ๆ กับเราลืมภาวนา แล้วเราก็ปล่อยให้ใจหยุดนิ่ง ให้ใจสงบ ให้ใจผ่องใส อยู่ในกลางองค์พระ ให้ทำกันไปอย่างนี้สักครู่หนึ่งนะ
เมื่อกายวาจาใจเราสะอาด เราบริสุทธิ์ ผ่องใสเหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญกุศลดีแล้ว เราก็จะได้ทำพิธีบูชาข้าวพระกัน แต่ตอนนี้เราจะฝึกใจของเราให้หยุดให้นิ่ง ให้บริสุทธิ์ที่สุด ให้ผ่องใสที่สุด ให้เบิกบานที่สุด ให้สงบที่สุด ในตอนนี้เราจะทำกันอย่างนี้นะ สัมมาอะระหัง ๆๆๆ
บูชาข้าวพระ เรากล่าวคำบูชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งเข้าที่อีกครั้งหนึ่งนะ คราวนี้ตั้งใจให้ดี เราก็นั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย ตั้งกายของเราให้ตรง อย่าก้มอย่าเงยนัก เอาพอดี ๆ กะเลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราก็หลับตาทำใจของเราให้หยุดนิ่งไปที่ศูนย์กลางกาย ใจของเราให้หยุดนิ่งไปที่ศูนย์กลางกายน่ะ ที่เมื่อสักครู่นี้เราได้กำหนดพระแก้วขาวใส เกตุดอกบัวตูมปางสมาธิ ให้เข้าไปสิงสถิตย์อยู่ที่ในกลางท้องของเรา แล้วเราก็ภาวนาว่าสัมมาอะระหัง ๆ ทำใจของเราให้หยุดให้นิ่ง
เหตุที่ให้กำหนดพระแก้วขาวใส และก็คำภาวนาสัมมาอะระหัง ก็เพื่อที่จะให้ทั้ง ๒ สิ่งนี้เนี่ย เป็นสิ่งที่จะเชื่อมโยงใจของเราน่ะ ที่ซัดส่ายไปในที่ต่าง ๆ ให้กลับเข้ามาหยุด ให้มานิ่งอยู่ภายในตัวของเรา เพราะภายในตัวของเรานี่แหละ มีหนทางที่จะไปสู่พระนิพพานได้ หนทางที่จะไปสู่พระนิพพาน อยู่ภายในตัวของเรา อยู่ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ฐานที่ ๗ ฐานที่ ๗ เรากำหนดได้ดังนี้
สมมติว่าเราเอาเส้นเชือกมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปข้างหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ตรงจุดตัดของเส้นเชือกทั้ง ๒ เราเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จะสูงจากจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ สมมติว่าเราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน และนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นเชือกทั้ง ๒ สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเราเรียกว่าฐานที่ ๗
ตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้เป็นฐานที่สำคัญ เป็นที่หยุดใจของเรา เป็นที่ตั้งใจของเรา ไม่ว่าเราจะให้ทาน จะทอดกฐินทอดผ้าป่า จะทำบุญสร้างกุศลอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าอยากจะให้เป็นมหากุศล จะต้องเอาใจของเราน่ะมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ ถ้าเราจะรักษาศีลให้มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาลที่จะทำให้เกิดความเย็นกายเย็นใจน่ะ ก็จะต้องเอาใจของเราน่ะ มาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ เราจะเจริญภาวนาก็เช่นเดียวกัน ก็จะต้องเอาใจของเราเนี่ยมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้
เพราะที่ศูนย์กลางกายตรงนี้แหละ ฐานที่ ๗ ตรงนี้ที่เดียวมีแห่งเดียวเท่านั้นน่ะ เป็นทางที่จะไปสู่พระนิพพาน เป็นทางหลุดทางพ้น เป็นทางที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอรหันต์ทั้งหลายได้อาศัยเส้นทางที่ตรงจุดนี้แหละ ที่ใจหยุดใจนิ่งตรงนี้แหละ จากจุดนี้เรื่อยไปเลย ทำให้ท่านหลุดพ้นจากกิเลสจากอาสวะ ไปสู่พระนิพพานได้ เพราะว่าเมื่อใจของเราหยุดแล้วเนี่ย ที่เรากำหนดองค์พระก็ดี ภาวนาสัมมาอะระหังก็ดี พอมันถูกส่วนเข้า เมื่อใจหยุดใจนิ่งถูกส่วนก็หมายถึงว่าใจนั้นปล่อยอารมณ์ภายนอก ไม่มีความนึกคิดอื่นเลย ความคิดอื่นทั้งหลายมันก็ดับไปหมด ใจจะกลับเข้ามาสู่ภายในน่ะ
หยุดเป็นจุดเดียวกันที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ พอหยุดถูกส่วน พอใจมันหยุดถูกส่วน มันติดอยู่ที่ตรงนี้แหละ พอถูกส่วนจะเห็นหนทางไปสู่พระนิพพานนะ จะเห็นทางหลุดทางพ้นเป็นดวงใส ๆ พอใจเราหยุดถูกส่วนที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี่จะเห็นทางไปสู่พระนิพพาน เป็นดวงใส ๆ เป็นจุดเล็ก ๆ สว่าง ๆ ใส ๆ อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน นี่จะเป็นดวงใส พอใจหยุดแล้วดวงใสก็จะต้องเกิดขึ้นมา ดวงใสก็คือสภาพใจที่เริ่มบริสุทธิ์เบื้องต้น คือความบริสุทธิ์ของใจของเราเบื้องต้นน่ะ
ถ้าหยุดสนิทถูกส่วนแล้วจะเป็นดวงใสอย่างนี้ จะเป็นดวงสว่าง ถ้าเราจะให้ทาน เราจะทำทาน สร้างกุศลอะไรก็ตาม สร้างไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งใจเกิดความปิติเกิดความอิ่มใจ เกิดความสุขใจ พอใจมันสุขเต็มที่แล้ว มันก็จะหยุดนิ่งเอง หยุดนิ่งก็จะเป็นดวงใส ๆ อย่างนี้ เป็นดวงสว่าง อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ หรือเราจะรักษาศีล จะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ นั้นถ้ารักษาให้บริสุทธิ์แล้ว ความบริสุทธิ์ของใจก็จะปรากฏเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางตรงนี้ เป็นดวงสว่าง เป็นดวงใส ๆ หรือถ้าเราจะเจริญภาวนา ไม่ว่าเราจะภาวนาแบบไหนก็ตาม จะกำหนดอะไรก็ตามนะ เมื่อใจบริสุทธิ์ดีแล้ว มันหยุดนิ่งดีแล้วละก้อ ความบริสุทธิ์ก็จะมาปรากฏเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางฐานที่ ๗ เป็นดวงใส
ดวงใสนี่แหละเป็นหลักที่สำคัญทีเดียว เป็นหนทางเบื้องต้นที่จะไปสู่พระนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าดวงปฐมมรรค คือหนทางเบื้องต้น ถ้าจับดวงนี้ได้ ถ้าใจหยุดพบดวงนี้ได้พบ ที่คนโบราณเค้าเรียกพบพระธรรมดวงแก้วน่ะ ถ้าพบดวงนี้ได้เราก็จะแคล้วบ่วงมารนะ จะไปสู่หนทางของพระนิพพาน พบดวงนี้แล้วก็ปิดประตูอบายทั้งหมด บาปกรรมอะไรต่าง ๆ ทั้งหมดน่ะหยุดหมด ยังไม่ให้ผล ความบริสุทธิ์ของใจที่เป็นดวงสว่างนี้จะให้ผลก่อน และก็ให้ผลดียิ่ง ๆ ขึ้นไปตามลำดับ
พระองคุลีมาล ท่านฆ่ามนุษย์มามากมาย ฆ่ามานับกันไม่ถ้วนทีเดียวนะ แล้วมานับได้ตอนหลังละเกือบพันองค์ เกือบพันคน ทำบาปทำกรรมมาซะก็เยอะแยะ พระพุทธเจ้าท่านสอนวิธีการที่จะพ้นจากบาป จากอกุศลกรรมอะไรต่าง ๆ ที่ทำมา ว่ามีวิถีทางเดียวเท่านั้น หนทางเดียวเท่านั้นที่จะหลุดพ้นจากอบาย พ้นจากบาปจากกรรมที่ฆ่ามนุษย์ทั้งหลายน่ะ ทำใจหยุดอย่างเดียว ทำใจของเราน่ะให้หยุดให้นิ่ง ว่าให้ทิ้งความคิดเหล่านั้นซะ ลืมไปซะให้หมด ไอ้ที่เคยฆ่ามนุษย์เคยทำบาปทำกรรมอะไรต่าง ๆ น่ะทิ้งไปซะ ปล่อยวางไป อย่าไปนึก อย่าไปคิดมัน ถ้าเรายิ่งคิด ใจเราก็จะยิ่งขุ่นมัว ใจเราก็จะฟุ้งซ่าน ใจของเราก็จะไม่หยุด ใจของเรามันก็จะไม่นิ่ง
ถ้าใจเรายังขุ่นมัว ใจเรายังเศร้าหมอง ละโลกไปตอนนั้น ตายตอนนั้นก็ไปสู่อบายนั่นน่ะ เราจะต้องไปตกนรกอีกยาวนาน อยู่นานแสนนานในนรกเป็นกัปป์ทีเดียว กับก็คือนับกันไม่ไหวน่ะ พ้นจากนรกแล้วจะต้องมาเป็นเปรตอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก แล้วก็จะต้องมาเป็นมนุษย์ให้เค้าเบียดเบียนให้เค้าฆ่าเค้าฟันกันไปอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าท่านก็แนะว่ามีหนทางเดียวนะองคุลีมาล ทำใจให้หยุดอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าหยุดได้อย่างนี้แล้วละก้อพ้นจากบาปจากกรรมทั้งหลาย เพราะฉะนั้นตอนที่องคุลีมาลวิ่งไล่ฆ่าพระพุทธเจ้าจะเอานิ้วมือน่ะ พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ให้นัยยะเอาไว้นะ ให้หนทางพระนิพพานเอาไว้ ท่านพูดกับคนที่มีปัญญา อย่างองคุลีมาลว่า "สมณะหยุดแล้ว" สมณะหยุด ท่านเดินอยู่แต่ทำไมท่านบอกว่าหยุด ก็ท่านหมายเอาใจของท่านที่หยุดน่ะ เดินข้างนอก แต่ว่ามันหยุดข้างในนะ ถ้าใจหยุดอยู่ที่ตรงนี้แล้วละก้อ ความบริสุทธิ์ก็เกิดขึ้น พอความบริสุทธิ์เกิดขึ้น ความคิดก็บริสุทธิ์ คำพูดก็บริสุทธิ์ การกระทำก็บริสุทธิ์ ผลออกมามันก็บริสุทธิ์ไปหมด
หยุดใจอย่างเดียว ได้ชื่อว่าหยุดทั้งกายทั้งวาจา ทั้งการกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดไปหมดเลย นั่นท่านพูดกับคนที่มีปัญญานะ สอนองคุลีมาลน่ะ ว่าจะหลุดพ้นจากเวรจากกรรมที่ฆ่ามนุษย์นี่หยุดใจอย่างเดียวนะ ทำใจหยุดอย่างนี้ พระองคุลีมาลท่านก็ปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่านก็เข้ามาทำความเพียร ในระยะแรกกว่าจะฝึกใจให้หยุดให้นิ่งได้น่ะ ยิ่งกว่าพวกเราทั้งหลายน่ะ เพราะท่านฆ่ามนุษย์มามากมาย พวกเรานั่งที่นั่งอยู่ในที่นี้เนี่ย บางทียังทำบาปทำกรรมไม่ถึงท่าน ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เคยฆ่ามนุษย์น่ะ ไม่เคยเบียดเบียนถึงกับมากมายขนาดนั้น อย่างมากก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน มดมั่ง ยุงมั่ง นกมั่ง อะไรต่าง ๆ พวกนั้น ยังไม่ถึงกับมนุษย์
เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมเบื้องต้นของพระองคุลีมาลนะ ที่จะฝึกใจให้หยุดนิ่งเนี่ย ท่านลำบากมากกว่าพวกเรานัก พอจะทำใจให้หยุด ภาพที่เคยฆ่าฟันมนุษย์ทั้งหลายมันก็มาปรากฏเกิดขึ้นมาในใจ เห็นตามที่ฟันคอขาด ตัดเอานิ้วมือน่ะมาร้อยเป็นพวงมาลัยแน่ะ เห็นเลือดหลั่งไหลออกจากกายมนุษย์ของพวกเหล่านั้นน่ะ ที่ฆ่าฟันไป เห็นกริยาอาการของมนุษย์ที่แสดงความเจ็บปวด ความทรมานที่ถูกฆ่านะ มันมาปรากฏให้เกิดขึ้นมาในใจของท่าน เพราะฉะนั้นน่ะใจท่านก็เร่าร้อนกระวนกระวาย ไม่หยุดไม่นิ่ง ไม่หยุดไม่นิ่ง
พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงแนะนำสั่งสอนว่าให้ลืมมันซะเถอะ ปล่อยมันไปวางมันไป ความคิดอะไรที่มันเกิดขึ้นมาละก็ปล่อยมันไปก่อน อย่าไปเพ่งไล่ความคิดมัน ไม่ต้องไประวังไม่ให้ความคิดเกิด อย่าไปมัวกลุ้มอกกลุ้มใจเสียเวลาการนึกคิดถึงบาปอกุศลกรรมไอ้ที่ผ่านมา คนเรากว่าจะมาพบหนทางไปสู่พระนิพพานนะ ก็ดำเนินชีวิตผิดพลาดกันมาแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนก็มีโอกาสพลาดพลั้งได้ แต่ว่าบัณฑิตทั้งหลายเมื่อพลาดพลั้งแล้วก็ตั้งหลักให้ได้ ช้างศึกเมื่อตกหล่มแล้วได้ยินเสียงกลองศึกดีขึ้น ก็โดดขึ้นจากหล่มได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นองคุลีมาล ได้ทำใจปล่อยให้มันสบาย ๆ อย่าไปกังวลกะมัน
พระองคุลีมาลก็ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างนั้น ท่านปล่อยวางหมด ไม่นึกถึงบาปอกุศลกรรมอะไรต่าง ๆ ภาพต่าง ๆ มันจะเกิดขึ้นมาหลอกหลอนยังไงก็ไม่สนใจ ไม่ไปยึดมั่นถือมั่น ท่านถือซะว่าท่านเมื่อพลาดพลั้งแล้วก็จะตั้งหลักใหม่ แล้วในที่สุดท่านก็สมหวัง ใจท่านหยุดนิ่งถูกส่วนเข้า ใจมาหยุดที่ศูนย์กลางฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละหยุดจนกระทั่งถูกส่วน พอถูกส่วนขึ้นปฐมมรรคเกิดขึ้นมาทันที เกิดความเย็นกายเย็นใจขึ้นมาเป็นครั้งแรกน่ะ ที่เห็นดวงสว่างปรากฏเกิดขึ้นมาตรงนี้นะ ดวงสว่างไสว ใสเป็นแก้วทีเดียว ใสเป็นเพชร ใสยิ่งกว่าเพชร จนกระทั่งไม่มีตัวอย่างในโลก ไม่ทราบว่าจะเทียบความใสของสิ่งที่เห็นภายในน่ะ กับเอาวัตถุภายนอกได้อย่างไรน่ะ และก็มีความเย็นกายเย็นใจน่ะ ภาพบาปอกุศลกรรมอะไรต่าง ๆ มันก็ดับหายไปหมด มันก็เลือนหายไป กุศลกรรมก็ให้ช่องส่งผลใหญ่ บุญเก่าก็ตามมาทันที
บุญเก่าที่ภพในอดีตที่ท่านเคยให้ทาน เคยรักษาศีล เคยเจริญภาวนานะ เคยทำความดีอะไรเอาไว้มากมายเท่าไหร่ก็ได้ช่องตอนนี้ เพราะว่าเมื่อใจหยุดแล้ว ดวงสว่างเกิดขึ้น ก็จะเชื่อมโยงบุญเก่าที่เคยทำมานะ กับบุญใหม่น่ะที่ทำในปัจจุบันน่ะ ให้สนับสนุนให้หยุดหนักเข้าไปอีก ให้มีความสุขหนักเข้าไปอีก ให้หลุดให้พ้นหนักเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นถ้าได้ดวงใส ๆ แล้ว ใจท่านก็ตั้งมั่น มีที่ตั้งหลักของใจ มีสรณะ มีที่พึ่งมีที่ระลึก มีที่พึ่งที่ระลึก พ้นจากทุกข์ทั้งหลายน่ะ ท่านก็มีความรู้สึกเกิดขึ้นมาเลยว่าชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดน่ะ ไอ้ที่ผ่าน ๆ มาแล้วเหมือนว่ายน้ำอยู่ในท้องทะเล อยู่ในมหาสมุทร จะต้องเสี่ยงภัยต่อชีวิตทุกอย่าง อันตรายรอบด้าน ภัยจากสัตว์ร้าย จากฝูงปลาอะไรต่าง ๆ ภัยจากคลื่นภัยจากลม ภัยจากการว่ายน้ำจะหมดแรง จะจมน้ำตายเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
เมื่อท่านมาถึงธรรมะถึงดวงสว่างใส ๆ ของปฐมมรรคแล้วเนี่ย เหมือนกับว่ายน้ำขึ้นเกาะพ้นจากน้ำน่ะ พ้นจากภัยอะไรต่าง ๆ หายสะดุ้ง หายหวาดเสียว เมื่อขึ้นเกาะแล้วน้ำก็ท่วมไปไม่ถึง ไอ้ฝูงปลาร้ายแรงต่าง ๆ มันก็ตามไปได้ได้ คลื่นเอย ลมเอย ก็ตามขึ้นไปทำร้ายเบียดเบียนท่านไม่ได้ ท่านก็มีความสุข เพราะฉะนั้นดวงปฐมมรรคอันนี้จึงเป็นที่พึ่งและที่ระลึกของท่าน เป็นทั้งเกราะเป็นทั้งที่พึ่ง เมื่อใจท่านมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ได้นะ ใจท่านก็มีความสุข มีความเบากายเบาใจ และตั้งแต่นั้นมาท่านก็ทำความเพียรของท่านไปเรื่อย ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็แนะหนทางต่อไป ให้เข้าเส้นทางสายกลางของกลาง อย่างนี้ ไปตามลำดับ
จนกระทั่งในที่สุดท่านได้เข้าถึงธรรมกาย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกาย ท่านถอดกายต่าง ๆ ออกหมด ขันธ์ทั้ง ๕ ถอดออกหมด ไม่ติดอะไรเลยในทั้ง ๕ ขันธ์ ขันธ์ทั้ง ๕ หลุดหมด สิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาน่ะหลุดหมด ขันธ์ทั้ง ๕ หลุดหมด ขันธ์กายมนุษย์ ขันธ์กายทิพย์ ขันธ์กายพรหม อรูปพรหม สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ในภพทั้ง ๓ หลุดหมด ใจท่านล่อนไม่ติดเลย ไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะว่าไปเห็นสิ่งที่วิเศษกว่า มีความสุขกว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกอย่างแท้จริง เป็นสรณะอย่างแท้จริง คือธรรมกายนะ เข้าไปถึงกายธรรมอรหัต หมดกิเลส หมดอาสวะ หมด มีความสุขอันเป็นอมตะ อย่างหาที่เปรียบไม่ได้เลย เป็นความสุขที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซึ่งมีอยู่ภายในตัวของท่านนั่นเองน่ะ ท่านได้เข้าถึงมีความสุขและก็มีความเย็นกายเย็นใจ นับตั้งแต่บัดนั่นเป็นต้นมา
เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าเราอยากจะหลุดพ้นจากกระแสกรรมทั้งหลายแล้วละก็ อยากจะหลุดพ้นจากบาปกรรมทั้งหลายที่เราทำผ่านมาตั้งแต่เวียนว่ายตายเกิดก็ดี หรือกระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ดี ที่เจตนาก็ดี หรือไม่เจตนาก็ดี ทั้งที่ลับที่แจ้งนะ ทุกคนเคยพลาดพลั้งกันมาแล้วทั้งนั้น ที่นั่งกันอยู่ในที่นี้เนี่ย ถ้าอยากจะหลุดอยากจะพ้นจากกระแสกรรมทั้งหลาย ไม่อยากไปสู่อบาย อยากไปสู่สุคติภูมิ อยากจะไปอยู่ในภพอันวิเศษ และสูงขึ้นไปจนกระทั่งไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดน่ะ มีวิถีทางเดียวเท่านั้น หนทางเดียวเท่านั้น คือทำใจของเราให้หยุด ทำใจของเราให้นิ่ง อย่างที่ได้แนะนำมาเมื่อสักครู่เนี่ย ว่าให้ฝึกใจหยุดนิ่งโดย
กำหนดองค์พระแก้วใส ๆ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งทางใจ แล้วก็ให้ภาวนาสัมมาอะระหัง สองอย่างนี้แหละจะค้ำจุนชีวิตของพวกท่านทั้งหลายเนี่ย ให้ขึ้นมาสู่เกาะแห่งธรรม พ้นจากภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งหมด พ้นจากเวรพ้นจากกรรม พ้นจากอบายทั้งหลาย จะไปสู่ภพอันวิเศษ เพราะฉะนั้นอันนี้ล่ะเป็นสิ่งที่วิเศษ ที่มีคุณค่ามากที่สุดสำหรับทุก ๆ ท่านที่มาในวันนี้ เมื่อได้ยินได้ฟังอย่างนี้แล้ว เวลาเรากลับไปอยู่ที่บ้าน เราจะได้ไปประพฤติปฏิบัติตามคำแนะนำสิ่งเนี่ย นี่แหละเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดสำหรับชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ จะทำให้ชีวิตของเราเกิดมาเป็นมนุษย์มีคุณค่ามากกว่าชีวิตที่ผ่านมาแล้วใน ในอดีตนั้น นี่ให้จำเอาไว้ให้ดีนะ
ก่อนที่เราจะทำพิธีทอดกฐินกัน เราจะทำใจของเราให้สงบ ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใสซะก่อน เมื่อกายวาจาใจเราสะอาด เราบริสุทธิ์ผ่องใสดีแล้ว เราจะได้ทำพิธีทอดกฐินกัน ต่อจากนี้ขอเรียนเชิญทุกท่านตั้งใจนั่งเจริญภาวนากันซักครู่นึง อย่างที่ได้แนะนำเอาไว้เมื่อเช้านี้ สำหรับท่านชายให้นั่งขัดสมาธิ ท่านหญิงถ้าขัดสมาธิไม่ถนัดให้นั่งพับเพียบ และก็เอามือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายนะ แล้ววางไว้บนหน้าตัก วางไว้บนหน้าตัก ลืมตามองดูพระพุทธรูป พระแก้วขาวใสที่อยู่ข้างหน้าพวกเรา บนศาลาก็อยู่บนโต๊ะหมู่บูชา ที่ข้างล่างก็อยู่ อยู่ที่หน้าเต็นท์ เต็นท์ของแต่ละท่านน่ะอยู่ข้างหน้า ให้ทุกคนพยายามจำภาพนิมิตพุทธปฏิมากรองค์นี้ให้ดี เวลาเราหลับตาอีกครั้งนึกเราจะได้ยึดเอาภาพของพระแก้วขาวใสนี้ เป็นนิมิตในการปฏิบัติธรรม
ขอให้ทุกคนพยายามจำให้ดีนะ จำภาพพระแก้วใส ๆ ที่อยู่ข้างหน้าพวกเราทุก ๆ ท่าน จำได้แล้วหลับตาเบา ๆ ทุก ๆ คน หลับตาเบา ๆ นะ จำได้แล้วก็หลับตาของเราเบา ๆ ทุก ๆ คน หลับตาและก็นึกน้อมใจของเราน่ะ ให้หยุดนิ่งอยู่ที่กลางองค์พระพระแก้วใส ๆ ที่อยู่ในกลางตัวของเราน่ะ จำภาพนิมิตพระแก้วใส ๆ ให้อยู่ในกลางตัวของพวกเราทุกท่านนะ ท่านหญิงอยู่ในกลางของท่านหญิง ท่านชายอยู่ในกลางของท่านชาย ให้ใจหยุดให้ใจนิ่ง พร้อมกับบริกรรมภาวนา บริกรรมภาวนาในใจของเราเบา ๆ ภาวนาว่าสัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ๆ ภาวนาสัมมาอะระหัง ก็นึกให้องค์พระนะให้ใส ให้ใสเป็นเพชรทีเดียว ให้ใสเป็นแก้ว ใสเป็นเพชรอยู่ในกลางท้องของพวกเราทุกคน อยู่ในกลางท้องนะ นึกเบา ๆ นึกเบา ๆ ใจเย็น ใจสบาย ๆ ค่อย ๆ ตรึก ค่อย ๆ นึก ค่อย ๆ คิดไป
เมื่อเช้าเราก็ทราบดีแล้วว่ามหากุศลจะเกิดขึ้นได้ จะต้องประกอบไปด้วย ๓ อย่าง อย่างน้อย ๓ อย่างคือ ผู้รับเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ หรือกำลังประพฤติปฏิบัติฝึกฝนตัวให้บริสุทธิ์ ให้บริสุทธิ์จากความโลภ ความโกรธ ความหลงนะ ให้ใจให้บริสุทธิ์อย่างนั้น นี่ผู้รับต้องบริสุทธิ์ วัตถุทานคือสบง จีวร สังฆาฏิ หรือที่เราเรียกว่าไตรจีวร เป็นของที่เราได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ไม่ได้คิด ไม่ได้ไปคดไปโกง ไปจี้ไปปล้นเค้า เราได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยการประกอบสัมมาอาชีวะ ทำมาค้าขายกันยังงั้นได้มาด้วยความบริสุทธิ์ และก็อันที่ ๓ ตัวของพวกเราเนี่ย ผู้บริจาคก็จะต้องเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ด้วย มีความบริสุทธิ์ มีความผ่องใส อย่างน้อยในช่วงที่ทำบุญเนี่ย ใจต้องว่างจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ปลอดจากกังวล ไม่มีกังวลอะไรทั้งหมดเลยเนี่ย มีแต่ความบริสุทธิ์ผ่องใส จนกระทั่งความบริสุทธิ์มาปรากฏอยู่ในกลางหยุดกลางนิ่ง ที่อยู่ในตัวของพวกเราทุก ๆ คน อย่างนี้จึงจะใช้ได้ เนี่ยล่ะถึงจะเป็นมหากุศล
เพราะว่าเมื่อใจของเราหยุด ใจของเรานิ่งดีแล้วเนี่ยะ ความบริสุทธิ์ก็จะมาปรากฏเกิดขึ้น เกิดขึ้นอยู่ในกลางตัวของเรา เป็นดวงใส ๆ ที่เมื่อเช้าเราได้ทราบแล้วว่า พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ดวงปฐมมรรค ว่าเป็นหนทางเบื้องต้นที่จะไปสู่พระนิพพาน ถ้าเข้าถึงดวงนี้ได้ ใจหยุดใจนิ่ง เห็นดวงใส ๆ อันนี้ได้ ได้ชื่อว่าเข้าถึงที่พึ่งที่ระลึกเบื้องต้น เรามีที่พึ่ง เรามีที่ระลึก มีที่ยึดมีที่เกาะของเรา และจะเป็นสิ่งที่จะยืนยันได้ว่า ต่อจากนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่เราเห็นปฐมมรรค ชีวิตของเราจะไม่ผิดพลาดเหมือนอย่างที่ผ่านมา ชีวิตของเราจะไม่ผิดไม่พลาดเหมือนอย่างที่ผ่านมา ที่แล้ว ๆ มาน่ะ จะเดินถูกต้องร่องรอย จนกระทั่งไปสู่พระนิพพาน
ชีวิตของทุก ๆ คนในโลกนี้จะเป็นใครก็ตาม จะเป็นชาติไหน ภาษาไหน ศาสนาไหน จะมีความเชื่อถืออะไรก็ตามเป็นหญิง เป็นชาย เด็กเล็ก ผู้หลักผู้ใหญ่ จะเป็นใครก็ตามในโลกนี้ ในตอนสุดท้ายเนี่ยะของการเวียนว่ายตายเกิดนะ จะต้องไปสู่พระนิพพานด้วยกันหมดทุก ๆ คน ต่างกันแต่ว่าจะไปช้าหรือว่าไปเร็วกันเท่านั้น ถ้าหากว่าใครยังไม่พบหนทางที่จะไปสู่พระนิพพาน คนนั้นก็ไปช้าหน่อย หรือใครพบแล้วแต่ว่าประมาท ไม่ตั้งอกตั้งใจที่จะเดินทางนั้นต่อไปนะ ก็ยังไปช้าอยู่อีก แต่ถ้าใครพบหนทางแล้วน่ะ ตั้งใจฝึกฝนอบรมตัวของเราไปเรื่อย ๆ ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าก็จะต้องไปสู่พระนิพพาน แล้วก็จะไปอย่างรวดเร็วด้วย
ชีวิตทุกคนก็จะเป็นอย่างนี้แหละ จะเป็นคนร้ายคนดีอะไรก็ตามเถอะ ในตอนสุดท้ายนะ เมื่อตั้งใจฝึกฝนอบรมตัวดี กลับจิตกลับใจได้ กลับเนื้อกลับตัวได้ละก็จะต้องไปสู่พระนิพพานกันทุก ๆ คนทั้งนั้น พวกเราที่มานั่งอยู่นี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีโชคดีแล้ว เราได้ผ่านชีวิตของเรามามากนับภพนับชาติกันไม่ถ้วน จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ เราได้ประสบพบธรรมประจำโลกมนุษย์ทุกคน มีลาภ และก็เสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีคนสรรเสริญมีคนด่า คนว่า คนนินทา บางครั้งก็มีสุข บางครั้งที่มีทุกข์เนี่ย เราก็ผ่านกันมาหมดกันแล้วทุก ๆ คน แล้วเราจะเห็นได้ว่ามันไม่ได้เป็นจริงเป็นจังอะไรเลย
เหมือนการเล่นละครโรงใหญ่อย่างนั้นน่ะ เป็นตัวละครกันซักตัวนึง ที่สมมติกันขึ้นมาน่ะ แสดงบทบาทอะไรกันไปต่าง ๆ นั่นเป็นเพราะว่าเรายังไม่พบหนทาง แต่บัดนี้พวกเราทุกคนได้ทราบแล้วเนี่ยมาถึงเดี๋ยวนี้ ในวันเนี่ยะนับว่ามีโชค ที่อย่างน้อยเราก็จะได้ทราบว่าหนทางที่จะไปสู่พระนิพพาน เป็นทางหลุดทางพ้นเข้าถึงความสุขอันเป็นอมตะ เป็นความสุขที่ไม่มีอะไรมาเปรียบปาน ไม่มีอะไรมาเสมอเหมือนได้นะ
วันนี้เราจะได้ทราบว่าหนทางนั้นมันอยู่ในตัวของเรานี่แหละ อยู่ในตัวของพวกเราทุก ๆ คน แล้วก็อยู่ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อยู่ที่ตรงนี้ทีเดียว ไม่ใช่ที่อื่น ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ คือจุดที่เหนือจากจุดตัดของเส้นเชือกทั้ง ๒ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ นั่นแหละเราเรียกว่าฐานที่ ๗ สูงจากจุดตัดขึ้นมา ๒ นิ้วมือนะ สมมติเราขึงเส้นเชือกจากสะดือทะลุไปข้างหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง เส้นเชือกทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม จุดตัดตรงนี้เราเรียกว่าฐานที่ ๖ สูงจากจุดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือน่ะ คือเรานิ้วชี้นิ้วกลางมาวางซ้อนกันนั่นน่ะ เอาไปทาบตรงนั้นสูงขึ้นมา นั่นน่ะเรียกว่าฐานที่ ๗
เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงฐานที่ ๗ ก็หมายเอาตรงนี้นะ ตรงนี้ล่ะ ตรงที่ฐานที่ ๗ ตรงเนี่ยะ ให้เอาใจมาหยุดเอาใจมานิ่ง มาตรึกมานึก คิดถึงองค์พระก็นึกอยู่ที่ตรงเนี้ยะ จะภาวนาสัมมาอะระหัง ก็นึกมันอยู่ที่ตรงนี้แหละ ทำมันไปทุกอริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน ตรึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าใจของเราก็จะหยุดจะนิ่งเอง และก็จะเข้าถึงกันทุก ๆ คนนั่นแหละ และเมื่อเช้านี้ก็ได้เรียนให้พวกเราทุกคนได้ทราบแล้ว ว่าหนทางที่เราจะพ้นจากบ่วงแห่งมาร พ้นจากอบาย ทั้งหลายได้น่ะ ก็มีอยู่วิถีทาง ทางเดียวเท่านั้นก็คือการฝึกใจขอเราให้หยุดให้นิ่ง อย่างที่ยกตัวอย่างพระองคุลีมาลเมื่อเช้านี้ ว่าท่านได้สร้างบาปสร้างกรรมมามากมาย ฆ่ามนุษย์มาก็เยอะแยะ นี่ถ้าหากว่าไม่พบพระพุทธเจ้า เกิดพลาดพลั้งไปทำอนันตริยกรรม ฆ่ามารดาเข้าไปอีก ยิ่งแย่ใหญ่เลย หรือแม้ไม่ได้ฆ่ามารดา
ถ้าหากไม่พบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่ชี้ทาง ไม่แนะนำว่าให้ทำใจหยุดใจนิ่งอย่างนี้แล้วละก็ เวลาใกล้จะตาย เวลาที่ใกล้จะตาย สิ่งที่ตัวทำมาทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนกระทั่งใกล้จะละโลก ที่ทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจเนี่ย มันจะมาปรากฏให้เห็น ให้เห็นเป็นภาพทีเดียว เค้าเรียกว่ากรรมนิมิต เห็นสิ่งที่ตัวได้กระทำเอาไว้ ในระหว่างที่ยังแข็งแรงอยู่น่ะ ตั้งแต่เด็ก ๆ เรื่อยมาเลย ที่ทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจน่ะ มันจะมาฉายให้เห็น ฉายให้เห็นเป็นเรื่องเป็นราว เห็นเป็นภาพไปเลยน่ะ เห็นอยู่คนเดียว คนอื่นไม่เห็น นอนป่วยอยู่อย่างนั้นละก็มองเห็นชัดทีเดียวนะ
ถ้าเรา เราคงเคยได้ยินได้ฟังคนที่เค้าเคยฆ่าหมูหรือฆ่าวัวนั่นนะ ทำเป็นนิจศีลนะ ทำบ่อย ๆ ใกล้จะละโลก ร้องออกมาเป็นเสียงหมูน่ะ ร้องออกมาเป็นเสียงวัว นั่นเป็นเพราะว่าได้ภาพเหล่านั้นน่ะมันมาฉายให้เห็น พอฉายให้เห็นก็บังคับ บังคับใจนะ บังคับกายละเอียด ให้ร้องออกมาอย่างนั้น เพื่อที่จะประกาศให้ชาวโลกเค้ารู้ว่านี่นะไอ้ที่ตัวทำเอาไว้เดี๋ยวนี้มันมาให้เห็นอย่างนี้แล้ว องคุลีมาลก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่พบพระพุทธเจ้าก็จะเห็นอย่างนั้นแหละ ถ้าเห็นอย่างนี้จิตก็จะขุ่นมัว จะไม่ผ่องใส จิตจะเศร้าหมอง
ถ้าเศร้าหมองตรงนี้ละก็จะหลงตาย หลงทางตาย คือตายแล้วอยากจะไปสวรรค์แต่หลงไปลงนรกอย่างงั้นน่ะ เนื่องจากไอ้ภาพไอ้สิ่งไม่ดีเหล่านี้น่ะมันมาฉายให้เห็น พอฉายให้เห็นเข้าก็จะเห็นคตินิมิต เห็นหนทางที่จะไป เห็นหนทางของตัวน่ะ แล้วในที่สุด เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ พอดับจิตลงเข้า อายตนะภูมิของอบายน่ะที่พอเหมาะกับกระแสกรรม กระแสบาปก็ดึงดูดเข้าไปสู่ภพภูมินั้น มันดูดวูบลงไปเลย ไปอยู่ในภพอยู่ในภูมิอันนั้น
ทีนี้มันมีวิธีที่เราจะหลีกเลี่ยงจากกระแสกรรมอย่างเนี้ยะ เราสามารถหลีกเลี่ยงกันได้ทุก ๆ คน มันมีอยู่วิธีเดียวคือ ฝึกใจให้หยุดให้นั่ง แล้วทำใจให้เข้าถึงธรรมกาย อยากจะพ้นกรรมต้องทำธรรมกายให้เกิดขึ้น ฝึกใจอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านแนะนำพระองค์คุลีมาลว่า ว่าเธอต้องทำอย่างนี้นะ ฝึกใจให้หยุด ฝึกใจให้นิ่ง ถ้าใจหยุดนิ่งแล้ว ใจจะได้ผ่องใส พอผ่องใสก็เห็นความบริสุทธิ์ ปรากฏเกิดขึ้นมาเป็นดวงใส ๆ อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลาง ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน เป็นดวงกลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ดวงแก้วที่อยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชานี่เหมือนกัน กลม กลมรอบตัว แต่ใส ใสเป็นเพชรทีเดียวนะ ใสสว่างอยู่ในตัว นี่ท่านสอนพระองคุลีมาลอย่างนี้นะ
เมื่อเช้าได้เรียนให้ทราบเอาไว้ว่าถ้าเห็นธรรมอันนี้ เห็นดวงใส ๆ อันนี้ ไม่ช้าจะเข้าถึงธรรมกาย ถึงธรรมกายชำระกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้ก็หมด หมดกระแสกรรมกัน หมดกิเลสก็หมดกรรม หมดกรรมก็หมดวิบาก หมดผลของกรรมอย่างนั้นน่ะ ไม่ต้องไปชดไปใช้กัน ชีวิตพวกเราทุกคนก็เหมือนกันที่นั่งอยู่ในที่นี้น่ะ ทุกคนเคยพลาดพลั้งกันมาแล้วทั้งนั้น ตั้งแต่เด็ก ๆ เล็ก ๆ เรื่อย ๆ มาจนกระทั่งบัดนี้ ภาพนั้นน่ะมาหมดเพราะฉะนั้นวันนี้เราทราบแล้วหนทางที่เราจะหลุดจะพ้น ว่ามีวิถีทางเดียวคือการฝึกใจในตัวของเราเอง ไม่ใช่ไปบนบานศาลกล่าวนะ จะไปบนบานศาลกล่าวที่ไหนก็ตาม ตามต้นไม้ ตามจอมปลวก ตามศาลพระภูมิ ตามผี ตามสาง ตามจ้าวอะไรต่าง ๆ ว่าให้พ้นเวรพ้นกรรมยังไงมันก็ไม่พ้น มันจะพ้นไปได้ไง ให้ตะโกนเข้าไปอย่างงั้นเท่าไหร่มันก็ไม่พ้นหรอก
มีหนทางเดียวเท่านั้นคือฝึกใจของเราเนี่ยะให้หยุด ให้จิตใจของเราผ่องใส พอใจหยุดถูกส่วนที่ปฐมมรรคก็ปรากฏเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาใสแจ่ม จิตใจผ่องใส ถ้าใจผ่องใสละโลกไปตอนนั้นสุคติเป็นที่ไป ภพภูมิของสุคติภูมิที่จะให้มีแต่ความสุขความสบายก็จะดึงดูดผู้ที่จิตใจผ่องใสบริสุทธิ์ที่เหมาะสมกัน ดึงดูดไปสู่ภพภูมิอันนั้น นี่หลักมันมีอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนเนี่ยได้อดทน อย่าได้เกียจคร้านในการที่เราจะฝึกฝนอบรมใจของเรา ให้ทำอย่างจริง ๆ จัง ๆ ถ้าทำจริงจังละก็ที่นั่งกันอยู่ในที่นี้ละถึงกัหมดทุกคนทีเดียวนะ
ทำไมถึงว่าถึง ประการแรกดวงธรรมน่ะ ที่ทำให้เป็นปฐมมรรคมันมีอยู่ในตัวของพวกเราทุก ๆ คน ประการที่ ๒ ใจของทุกคนก็มีอยู่แล้ว มันก็ของในตัวแหละ ประการที่ ๓ หนทางหรือวิธีการน่ะก็ได้แนะจนกระทั่งหมดสิ้นแล้วว่าให้ฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง ประการที่ ๔ พวกเราทุกท่านน่ะมีบุญเก่ามามากพอน่ะ ที่มานั่งอยู่ที่นี้น่ะ ที่มานั่งอยู่ในที่นี้ทุก ๆ คนมีบุญมากพอน่ะที่จะเข้าถึงปฐมมรรค เข้าถึงธรรมกายกันได้ทั้งนั้น ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้น่ะ ถึงหมด ไม่มีเว้นเลยแม้แต่คนเดียว มีบุญมีบารมีมามากพอกันทุก ๆ คนที่จะเข้าถึง เหลืออยู่อย่างเดียวเท่านั้นว่า เราจะทำกันจริง ๆ จัง ๆ กันแค่ไหน ถ้าทำจริงจัง ทำอย่างสม่ำเสมอทุก ๆ วัน อย่างน้อยวันละ ๒ ครั้ง ตอนเช้าหนหนึ่ง ตอนเย็นหนหนึ่ง ตอนกลางวันก็ทำมาหากินไป ถ้ามีเวลาว่างนาทีหรือ ๒ นาที เราก็นึกไปเรื่อยๆ ตรึกไปเรื่อย ๆ ภาวนาไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าเข้าถึงกันทุกคน ทำกันอย่างนี้แหละ อย่างนี้แหละเข้าถึงกันนะ
ทำไมถึงว่าพวกเราทุกคนมีบุญมากพอที่จะเข้าถึง การที่พวกเราได้สละเวลาน่ะ สละความสนุกสนานเพลิดเพลินในทางโลก ซึ่งเรามีโอกาสที่จะเพลิดเพลินในทางโลก ไปสนุกไปสนานไปทำอะไรก็ได้ แต่เรายังได้สละไอ้สิ่งนั้นน่ะ มานั่งประชุมกันในที่นี้ ทนปวด ทนเมื่อย ทนความอบอ้าว ทนความร้อน ความเหน็ดความเหนื่อยอะไรต่าง ๆ เรามานั่งเนี่ย เราสละทรัพย์ สละทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็มานั่งประชุมอยู่ที่นี้นี่ คนไม่มีบุญทำไม่ได้ ต้องมีบุญเก่าแล้วจึงจะทำได้ เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นเครื่องยืนยันทีเดียวน่ะ ว่านี่จะเป็นเหตุให้เป็นเครื่องยืนยัน เป็นเหตุให้ทุกคนเนี่ยจะเข้าถึงธรรมได้ เพราะว่าเป็นผู้มีบุญ และอันที่สอง ถ้าหากว่าไม่มีบุญแล้วจะไม่ได้ยิน ได้ฟังเกี่ยวกับเรื่องของธรรมกาย จะไม่ได้ยินได้ฟังว่าในตัวของเรานี่นะ มีหนทางที่เราจะหลุดจะพ้นจากทุกข์ทั้งหลายได้ เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเรา เราจะเข้าถึงความสุขอันเป็นอมตะได้ ถ้าไม่มีบุญจะไม่ได้ยินได้ฟังอันนี้ โน่นจะต้องไปอยู่ตามป่าตามเขานั่น ไปเกิดในที่เค้ารบราฆ่าฟันกัน ไอ้ที่อด ๆ อยาก ๆ น่ะ ไปเป็นมิจฉาทิฏฐินั้น อยู่ในฝูงสิงสาราสัตว์ไปปูน จะไม่ได้อยู่ในฝูงของบัณฑิต ในหมู่ของบัณฑิต
เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นเครื่องยืนยันน่ะ ยืนยันว่าพวกเราน่ะมีบุญ มีบุญมากพอที่จะเข้าถึงได้ นี่จำเอาไว้นะ อย่าไปน้อยอก น้อยใจ หรือไปมัวโทษตัวเองว่า มีบุญบารมีน้อย มีวาสนาน้อย คงจะเข้าไม่ถึง อย่างนี้เราเรียกว่าดูถูกตัวของเราเอง ประมาทตัวของเราเอง หรือไม่ก็ตีตนไปก่อนไข้อย่างนั้น ถ้าหากว่าตั้งใจฝึกฝนอบรมกันจริง ๆ ล่ะทุกคนในที่นี้น่ะ ถึงหมดทุกคน อันนี้ ขอยืนยันว่าจะต้องเข้าถึงกันอย่างแน่นอน นี่จำเอาไว้นะ
เอาล่ะก่อนที่เราจะได้ถวายกฐินเนี่ย ขอให้ทุกคนตั้งอกตั้งใจกันให้ดี เราจะชำระกาย วาจาใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ให้เข้าถึงพระในตัวของเราให้ได้ ใครที่ปวดที่เมื่อย ไม่เคยนั่งนาน ๆ ก็เปลี่ยนอริยาบถเอา ขยับแข้งขยับขาแต่ว่าอย่าสะเทือนคนข้างเคียงเค้านะ อย่าทำเสียงให้หนวกหู กระเทือนคนข้างเคียงเค้าบางทีคนข้างเคียงเค้าอาจจะใจกำลังจะหยุดจะนิ่ง จะสว่างไสวอยู่แล้ว พอเราไปส่งเสียงดัง เราไปกระทบกระเทือนเค้าน่ะ ใจเค้าก็จะเคลื่อนจากสมาธิ พอใจเคลื่อนจากสมาธิ ไอ้ที่มันจะสว่าง มันก็กลับมืดลงไป มันจะพลอยเป็นผลบาปให้กับเราด้วย