พระธรรมเทศนาหลวงพ่อธัมมชโย
๗ สิงหาคม ๒๕๒๖
วิชชาธรรมกายเท่านั้น
บูชาพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้เราจะได้เจริญภาวนา ขอเรียนเชิญทุกท่านนั่งขัดสมาธิ นั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย แล้ววางไว้บนหน้าตัก วางสบาย ๆ อย่าให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเราเกร็งนะ ให้กล้ามเนื้อทุกส่วนผ่อนคลายให้หมด หลับตาเบา ๆ ทุก ๆ คน หลับตาเบา ๆ หลับตาแค่พอสบาย ๆ อย่าเม้มตาแน่น อย่าบีบหัวตา แล้วก็อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานอนหลับ ให้ทุกส่วนของร่างกายของเราผ่อนคลายให้หมด ปรับร่างกายของเราให้สบาย ๆ ทำจิตใจของเราให้เบิกบานให้แช่มชื่น ให้เยือกเย็น ให้ใสเป็นแก้ว ปล่อยวางภารกิจเครื่องกังวลที่มีอยู่ในใจของเราให้หมด จะเป็นเรื่องธุรกิจการงาน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องการศึกษาเล่าเรียนก็ตาม ทําประหนึ่งว่าเราอยู่คนเดียวในโลก ไม่มีภารกิจไม่มีเครื่องผูกพันอะไรทั้งสิ้น วันนี้เป็นวันอาทิตย์ต้นเดือน เป็นวันที่พวกเราทั้งหลาย ได้นำอาหารหวานคาว มาคนละเล็กคนละน้อย มาประชุมพร้อมกันเพื่อที่จะบูชาข้าวพระ อันเป็นประเพณีที่เราได้ประพฤติปฏิบัติต่อเนื่องกันมานานหลายสิบปีมาแล้ว
การบูชาข้าวพระนั้นเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง เป็นของทำได้ยาก ถ้าเข้าไม่ถึงธรรมกายแล้ว จะทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะธรรมกายเท่านั้น จึงจะน้อมนำเครื่องไทยธรรมเหล่านี้ ไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านดับขันธปรินิพพานนานมาแล้ว เหลือแต่พระธรรมกายปรากฏอยู่ในอายตนนิพพาน เมื่อทำได้ยากอย่างนี้ บุญกุศลที่เกิดขึ้น จึงเป็นมหัคตกุศลเป็นกุศลใหญ่ ไม่เหมือนอย่างที่เรานำอาหารหวานคาวไปบูชาแด่ พระพุทธรูปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชาเท่านั้น เพราะการทำอย่างนั้นเป็นแต่เพียงการขอถึง ส่วนการทำอย่างนี้เป็นการเข้าถึง ดังนั้นเราจะทำอย่างนั้นตั้งแต่เกิด จนหมดอายุไขไม่ได้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว นับร้อยนับพันชาติ บุญกุศลที่ได้ก็ยังไม่กับที่เราได้เข้าถึงธรรมกายแล้วน้อมนำเครื่องไทยธรรมเหล่านี้ ไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่ พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานเพียงครั้งเดียว
เพราะฉะนั้นในวันนี้ ขอให้ทุกคนพึงตั้งใจให้เป็นพิเศษ พยายามชำระกายวาจาใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ปราศจากความโลภ ความโกรธ และความหลง ให้ใจหยุดนิ่งอยู่ภายใน ซึ่งจะได้แนะนำสอนต่อไป ชำระให้สะอาดให้บริสุทธิ์ จนกว่าจะเหมาะสม ที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญกุศล ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ ก่อนที่เราจะได้ทำใจหยุดทำใจนิ่ง เพื่อชำระกายวาจาใจให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ให้หยุดให้นิ่ง ทุกคนจะต้องศึกษา ให้ทราบทางเดินของใจซะก่อน ฐานที่ตั้งของใจมีทั้งหมด ๗ ฐาน ฐานที่ ๑ อยู่ที่ปากช่องจมูกที่เราสูดลมหายใจเข้าออก ฐานที่ ๒ อยู่ที่หัวตา ฐานที่ ๓ อยู่ที่กลางกั๊กศีรษะ ฐานที่ ๔ อยู่ที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก ฐานที่ ๕ อยู่ที่ปากช่องคอเหนือลูกกระเดือก ฐานที่ ๖ อยู่ที่ศูนย์กลางกายในระดับเดียวกับสะดือของเรา
สมมติเราขึงเส้นเชือกจากสะดือทะลุไปข้างหลังเส้นหนึ่ง ขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง เส้นเชือกทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม จุดตัดตรงนี้เราเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ ฐานที่ ๗ อยู่เหนือจากจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ สมมติเราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมาวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นเชือกทั้งสอง สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เราเรียกว่าฐานที่ ๗ เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงฐานที่ ๗ ก็หมายเอาตรงนี้นะ ตรงจุดที่เหนือจากจุดตัดของเส้นเชือกทั้งสองขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ฐานที่ ๗ ฐานนี้เป็นทางไปเกิดมาเกิดของสัตว์โลกทั้งหลาย
คำว่าสัตว์โลกก็หมายเอาตั้งแต่มนุษย์เรื่อยไป จนกระทั่งสัตว์ทุกชนิด เป็นทางไปเกิดมาเกิด เวลาเราจะเกิด เราก็ต้องเริ่มต้นเข้ามาตั้งแต่ฐานที่ ๑ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ตรงฐานที่ ๗ เวลาไปแสวงหาที่เกิดใหม่ก็ออกจากฐานที่ ๗ ไปฐานที่ ๑ ไปเกิดมาเกิดนี่สวนทางกันอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นฐานที่ ๗ นี่เป็นฐานที่สำคัญ เป็นทางไปสู่พระนิพพาน เป็นทางที่เข้าถึงธรรมกาย ถ้าใครเอาใจของเราเนี่ยมาหยุดอยู่ตรงฐานที่ ๗ ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ไม่ช้าก็จะเข้าถึงธรรมกายได้
การปฏิบัติในโลกนี้ รวมสรุปแล้วมีอยู่ ๓ วิธี วิธีที่หนึ่ง ส่งจิตออกข้างนอก เป็นวิธีที่ส่วนใหญ่ในโลกนี้ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ ได้ฝึกจิตฝึกใจด้วยวิธีการแบบนี้ คือเอาใจส่งออกไปข้างนอก เพราะมันง่าย เนื่องจากเรามีนิสัยชอบมองไปข้างนอก ดังนั้นการส่งจิตออกไปข้างนอกจึงสบาย ง่าย แล้วก็ทำได้กันเกือบจะทุกคน แต่ข้อเสียก็มีคือจะมีภาพนิมิตลวงเกิดขึ้นมา เป็นนิมิตเลื่อนลอยไม่ใช่ของจริง เกิดขึ้นมากมายก่ายกองทีเดียว บางนิมิตก็น่าเพลิดเพลิน บางนิมิตเห็นแล้วก็น่าสะดุ้งหวาดเสียว ถ้าหากว่าได้ครูที่ไม่ชำนาญ ไม่มีประสบการณ์เป็นผู้แนะนำ ก็จะเตลิดเปิดเปิงออกไปข้างนอก และนี่แหละที่เราได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ ว่าการปฏิบัติธรรมฝึกจิตเป็นเหตุให้เป็นบ้า แต่อันที่จริงเอาวางใจไว้ผิดที่ เอาออกไปสู่ข้างนอก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นมานี่ผิดมากกว่าถูก เก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ในโลกนี้ ฝึกจิตด้วยวิธีการแบบนี้ จึงไม่รู้จักธรรมกาย ไม่เข้าถึงสรณะ เข้าไม่ถึงที่พึ่งที่ระลึกภายในตัว นี่เก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เป็นอย่างนี้ มีอยู่จำนวนมาก และเป็นโอกาสให้หลงตัวเองได้ พลาดพลั้งได้เดินผิดทางได้
ประเภทที่ ๒ เอาใจไว้ข้างใน คืออยู่ภายในใจแล้วก็หยุดนิ่งเฉย ๆ อยู่ลอย ๆ อยู่ภายใน ภายในตัวของเรานี่แหละ ตามฐานต่าง ๆ ส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่เหนือฐานที่ ๗ แถวบริเวณทรวงอก แล้วหยุดนิ่งสงบ มีความเย็นกายเย็นใจเกิดขึ้น มีสติ มีปัญญา มีความรู้รอบตัวเกิดขึ้นมากมาย การปฏิบัติด้วยวิธีที่สองอย่างนี้มีน้อย มีอยู่น้อยมาก ในโลกนี้ วิธีอย่างนี้ถูกมากกว่าผิด แต่ก็เข้าไปไม่ถึงธรรมกาย ถ้าจิตฝึกฝนด้วยการปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรทั้งสิ้น แล้วก็ปล่อยให้สงบนิ่ง อยู่ภายในตัว มีความสุขอยู่ภายใน มีความรู้สึกว่าเราไม่ติดอะไรเลย ไม่ยินดียินร้าย ปล่อยวางสงบ สว่างเย็น อยู่เฉย ๆ อยู่ภายใน อย่างนี้มีน้อย ถูกมากกว่าผิด จะไม่ค่อยมีนิมิตเลื่อนลอยเกิดขึ้น เพราะว่าปล่อยวางหมด เอาแต่ความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างเดียว ให้สงบเย็น ความรู้ต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นกว้างขวางกว่าเดิมมาก แต่ก็เข้าไม่ถึงธรรมกาย และก็ไม่รู้จักธรรมกาย ยังไม่ได้ชื่อว่าเข้าถึงไตรสรณคมน์ ยังไม่เป็นสรณะ ยังไม่ถึงสรณะที่พึ่งที่ระลึก
ประเภทที่ ๓ ฝึกใจโดยการเอาใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงฐานที่ ๗ หยุดจนกระทั่งถูกส่วน แล้วเห็นปฐมมรรคเกิดขึ้นมาเป็นดวงสว่าง เกิดขึ้นมาเป็นดวงสว่าง ได้ดำเนินจิตเข้าไปในทางนั้น กลางของกลาง เข้าไปเรื่อย ๆ โดยเอามรรคมีองค์แปดประการขึ้นมาเป็นเครื่องปฏิบัติ คำว่ามรรคนี้แปลว่าหนทาง ในที่นี้หมายความว่าทางเดินของใจ ทางเดินของใจที่จะเข้าไปสู่ภายใน จนกระทั่งหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย โดยอาศัยศีล สมาธิปัญญา เป็นเครื่องกลั่นกรองใจ ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใสขึ้นไปตามลำดับ จนกระทั่งเข้าไปถึงธรรมกาย องค์ที่สุดที่บริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย
คำว่ามรรค แปลว่าทาง แปลว่าหนทาง ทางเดิน ทางเดินของใจไม่ได้เดินด้วยเท้า เดินด้วยใจน่ะ สอดเข้าไป ถ้าหากจิตออกข้างนอก ไม่เห็นทางเดิน จิตเข้าข้างในไม่เข้ากลางก็ไม่เห็นทางเดิน ถ้าตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้ที่เดียวจึงจะเห็นทางเดิน แล้วก็ดำเนินจิตเข้าไปตามลำดับ จนกระทั่งเข้าถึงธรรมกาย นี่แหละคือหลักในทางพระพุทธศาสนา เป็นหลักของโลก ใครอยากจะหลุดอยากจะพ้นก็ต้องทำมรรคให้เกิดขึ้นมา แล้วก็ดำเนินจิตเข้าไปตามลำดับ จนกระทั่งเข้าถึงธรรมกายนะ ถ้าใครอยากจะเวียนว่ายตายเกิด ก็เอาจิตถอยออกจากฐานที่ ๗ ออกไปสู่ภายนอก ยึดมั่นถือมั่นในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์อะไรต่าง ๆ เหล่านั้น แล้วก็เที่ยวแสวงหา เป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิด เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นไปเกิดมาเกิด เวียนว่ายตายเกิดกับหลุดพ้น จึงเดินสวนทางกัน วัฏฏสงสารเดินนอกออกไป นิวัฏฏเดินในเข้ามา สวนทางกันอย่างนี้ ใจที่ตั้งไว้ที่ฐานที่ ๗ ตรงนี้ มีเพียงไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายที่ได้เคยศึกษาธรรมะ เคยอ่านตำรับตำรามามากมาย พบครูบาอาจารย์ก็มาก จะไม่ค่อยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องของธรรมกาย เพราะว่าไม่รู้จักธรรมกาย เมื่อไม่รู้จักธรรมกายเพราะว่าไม่เห็น จึงไม่เข้าใจเรื่องราวของธรรมกาย เมื่อไม่เข้าใจก็ยืนยันว่าไม่มี ไอ้คำว่าไม่มีเพราะไม่เห็นน่ะ มันคนละเรื่องกัน อย่างนี้เราจะได้ยินบ่อย และก็มักจะเข้าใจผิดว่า ที่กำลังสอนอยู่นี้เป็นอีก ๑ วิธีใน ๔๐ วิธี คือวิธีที่ ๔๑ ที่พระพุทธเจ้าท่านรวบรวมเอาไว้ แต่อันที่จริงทุก ๆ วิธีนั้น เป็นวิธีเข้าถึงธรรมกายทั้งนั้น
ถ้าหากว่าเรานำใจของเรามาตั้งไว้ตรงที่ฐานที่ ๗ แล้วก็เริ่มต้นอย่างง่าย ๆ ด้วยวิธีการดังกล่าว จะเริ่มต้นจากกสิณ ๑๐ อสุภ ๑๐ อาหาเรปฏิกูลสัญญา อนุสสติ ๑๐ หรืออะไรก็ตาม อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าใจหยุดถูกส่วนตรงฐานที่ ๗ นี้แล้ว ดำเนินเข้าไป ดำเนินจิตเข้าไปตามลำดับ ไม่ช้าก็จะพบธรรมกาย ของเหล่านี้มีอยู่แล้วในตัวของพวกเราทุกคน ไม่ใช่เป็นสิ่งใหม่ เป็นสิ่งที่มีอยู่ แต่ว่าเราไม่เคยรู้เรื่องเพราะไม่มีใครมาชี้แจง มาแนะนำเรื่องเหล่านี้ สูญหายมานานแล้ว กว่าจะกลับเกิดขึ้นมาได้ใหม่ หลวงพ่อวัดปากน้ำต้องปล่อยชีวิตถึงสองคราว จึงจะเข้าถึงธรรมกาย ปล่อยไปตรงนี้แหละ แล้วจึงนำเรื่องราวของธรรมกายมาเปิดเผยในโลก เมื่อนำมาแนะนำสั่งสอนใหม่ ๆ ก็มีปัญหาเกิดขึ้น เพราะผู้ไม่รู้ทั้งหลายโจษจันท์กันไปต่างๆ นานา ด้วยความไม่รู้ คัดค้านกันไป แต่ของจริงก็ยังมีอยู่ ผู้ที่เข้าถึงได้ยืนยันได้
ดังนั้นพวกเราทั้งหลายที่มาในวันนี้ ก่อนอื่นก็มาเพื่อที่จะศึกษาให้เข้าถึงธรรมกาย อันเป็นทางหลุดทางพ้น จากทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง และก็เป็นหลักของพระพุทธศาสนาจะต้องตั้งใจเป็นพิเศษ ในพรรษานี้ผู้พูดได้ชักชวนญาติโยมทั้งหลายว่า เราจะตั้งเวลาศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม ตีห้าให้ตรงกันทุกบ้าน ใครอยากจะเห็นธรรมกาย อยากจะเข้าถึงธรรมกาย ภายในพรรษานี้ตั้งใจให้ดี อยู่ที่บ้านตื่นนอนมาก่อนตีห้านิดหน่อย พอตีห้าเป๊งเราก็จะเริ่มลงมือปฏิบัติพร้อม ๆ กัน ทำประหนึ่งว่าเราได้มานั่งอยู่ที่ศาลาที่นี่ แล้วก็ปล่อยวางภารกิจทุกอย่าง ให้หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการทั้งหลาย นั่งกันไปตั้งแต่ตีห้า จนกระทั่งถึงหกโมงเช้า ทำอย่างนี้ให้ได้สม่ำเสมอทุกวัน ไม่ขาดเลยแม้แต่วันเดียว พรรษานี้แหละจะต้องเอาเข้าถึงกันให้ได้ เกิดมาทั้งทีถ้าเข้าไม่ถึงธรรมกายก็เสียเวลา เกิดมาฟรี ๆ ตายไปฟรี ๆ
เพราะฉะนั้นใครอยากเข้าถึงธรรมกายนะ ตีห้าเวลาศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม เราจะนั่งพร้อม ๆ กัน บ้านใครก็บ้านมัน และก็น้อมนำเอาตัวของเราน่ะประหนึ่งว่าเรามานั่งที่ศาลาแห่งนี้ หรือรอบ ๆ ศาลา เลือกเอาที่ใดที่หนึ่งในวัด แล้วก็นั่งไปพร้อม ๆ กัน ผู้พูดกับคุณยายอยู่ที่วัดนี้จะช่วยคุมธรรมะให้ ช่วยอธิษฐานจิตให้ทุกคนเข้าถึงธรรมกายกัน นี่ขอให้ทุกคนได้รับทราบเอาไว้นะ เอาล่ะต่อจากนี้ไปเมื่อเรารับทราบกันอย่างนี้แล้วว่า ธรรมกายเท่านั้นจึงจะนำเครื่องไทยธรรมทั้งหลาย เข้าไปถึงพระธรรมกายของพระพุทธเจ้า ที่ท่านดับขันธปรินิพพานนานมาแล้ว ไปถวายเป็นพุทธบูชา ต้องธรรมกายเท่านั้นถึงจะทำได้ ต่อจากนี้ไปเราจะได้ฝึกฝนอบรมใจให้เข้าถึงธรรมกายกัน ก่อนอื่นเราจะต้องฝึกใจของเราให้หยุด ใจที่แวบไปแวบมา ฝึกให้หยุดนิ่งอยู่ที่ตรงฐานที่ ๗ พระธรรมกายเกิดขึ้นอยู่ตรงนี้ที่เดียว ไม่เกิดขึ้นที่อื่น เกิดขึ้นที่อื่น จะเห็นเป็นรูปองค์พระอะไรก็ตาม ไม่ใช่ธรรมกายทั้งนั้น มันคล้ายกัน มันเพี้ยนออกไป
ธรรมกายจริง ๆ ต้องอยู่ภายในฐานที่ ๗ แล้วก็ต้องกลางของกลางเข้าไปตามลำดับ จึงจะเข้าถึง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเข้าถึงจะต้องฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง ดังนั้นต่อจากนี้ไป ขอให้ทุกคนนึกน้อมจิตตามเสียงอาตมาไปนะ กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ ว่าตรงฐานที่ ๗ เหนือจากจุดตัดของเส้นเชือกทั้งสองขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ภายในตัวของเรา มีดวงแก้วกลมรอบตัว โตเท่ากับปลายนิ้วก้อย แล้วก็ใสคล้าย ๆ กับเพชร หรือยิ่งกว่าเพชร ตั้งอยู่ กำหนดดวงแก้วกลมรอบตัว โตเท่ากับปลายนิ้วก้อย ให้ใสคล้าย ๆ กับเพชร ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ กำหนดนึกอย่างง่ายๆ สบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงเรื่องอะไรซักเรื่องหนึ่ง กำหนดเห็นให้ชัดเจน คล้าย ๆ กับเราลืมตาเห็น แต่อย่าให้เครียด อย่าใช้ความเพ่งไปสะกดจิตสะกดใจให้อยู่ตรงนั้น แต่ให้ทำอย่างง่าย ๆ สบาย ๆ นึกคิดคล้าย ๆ กับเรานึกถึงเรื่องอะไรซักเรื่องหนึ่ง เป็นดวงแก้วกลมรอบตัว ใสคล้ายกับเพชร โตเท่ากับปลายนิ้วก้อยของเรา หยุดนิ่งอยู่ที่ตรงฐานที่ ๗ ในขณะเดียวกัน
เราก็ประกอบบริกรรมภาวนาในใจของเราเบา ๆ ภาวนาว่า สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ให้คำภาวนาสัมมาอะระหัง ดังออกมาจากศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือดังออกมาจากกลางบริกรรมนิมิต ดวงแก้วใสคล้ายกับเพชร กลมรอบตัว โตเท่ากับปลายนิ้วก้อยของเรา สัมมาอะระหัง ๆ ๆ เราจะภาวนาสัมมาอะระหังไปเรื่อย ๆ จนกว่าใจจะหยุด ใจจะนิ่ง เวลาหยุดนิ่งแล้วเราสังเกตุดูว่า เรามีความรู้สึกปลอดโปร่งภายใน ไม่มีความคิดอื่นเข้ามาแทรกเลย แล้วคำภาวนาสัมมาอะระหังก็เลือนหายไป ค่อย ๆ เลือนไป ๆ จนกระทั่งเราลืมภาวนา มีความปลอดโปร่งภายใน มีความสดชื่น ไม่มีความคิดอื่นเข้ามาแทรก คำภาวนาก็หายไป ถ้าเป็นอย่างนี้เราก็ต้องรักษาใจหยุดนิ่งเอาไว้ให้นานที่สุด ที่ฐานที่ ๗ โดยไม่ต้องกลับมาภาวนาใหม่ เราจะภาวนาต่อเมื่อมีความคิดอื่นเข้ามาแทรก ถ้าไม่มีความคิดอื่นเข้ามาแทรก เราก็ไม่ต้องภาวนา จำเอาไว้อย่างนี้นะ
เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปทุกคนให้ตั้งใจให้ดี สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ต่างคนต่างทำกันเงียบ ๆ นะ อย่าลืมตานะจ๊ะ ตั้งใจเอาใจหยุดให้ดี ปิดตานอก เปิดตาใน ทำจิตใจให้ผ่องใส หยุดอยู่ภายใน ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ทุก ๆ คน สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ภาวนาไปเรื่อย ๆ นะหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ใจเราหยุดในหยุด ๆ ๆ นิ่งในนิ่ง หยุด นิ่ง เฉย ให้ใจบริสุทธิ์ ให้ผ่องใสนะ หยุดนิ่ง ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นทางไปสู่พระนิพพาน เว้นจากทางนี้ ทางเดียวแล้ว ทางอื่นไม่มีทางที่จะเข้าไปถึงได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่าเอกานยมรรค หนทางอันนี้หนทางเดียว อยู่ภายในตัวของทุก ๆ คนในโลก เป็นทางไปสู่พระนิพพานทางหลุดทางพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย
กิเลสอาสวะมันก็หุ้มกายต่าง ๆ เป็นชั้น ๆ เข้าไป เครื่องถอดถอนกิเลสทั้งหลาย หรือมรรคเป็นเครื่องฆ่ากิเลสทั้งหลาย ก็มีหยาบมีละเอียดเป็นชั้น ๆ เข้าไป อย่างในกายมนุษย์หยาบของเราก็มีกิเลสหยาบ หุ้มอยู่ คืออภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ หุ้มกายมนุษย์หยาบอยู่ อภิชญาความเพ่งเล็ง โลภ อยากจะได้ของของคนอื่นในทางที่ทุจริต พยาบาทคือความผูกโกรธ ความขุ่นมัวครอบงำใจ มิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดไปจากความเป็นจริง เช่นเห็นว่าบิดามารดาไม่มีพระคุณ การทำบุญทำทานไม่มีผล คือสูญเปล่า คนตายแล้วสูญ ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อว่าหนทางแห่งความพ้นทุกข์นั้นมีจริง ไม่เชื่อว่าผู้ที่เข้าถึงปฏิบัติถึงคือพระรัตนตรัยนั้นมีจริง อะไรทำนองอย่างนี้เป็นต้น ครอบงำใจเราอยู่จนกระทั่งมันมืดมิด มองไม่เห็นความเป็นจริงของโลกของชีวิต นี่คือกิเลสหยาบที่หุ้มห่อจิตใจของเราเอาไว้
อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ หุ้มเป็นชั้น ๆ ๆ อยู่ภายในกายมนุษย์หยาบ ในขันธ์ ๕ ของกายมนุษย์เนี้ยะ จึงเป็นเหตุให้เกิดการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ มองไม่เห็นว่าขันธ์ ๕ นี้น่ะตามความเป็นจริงแล้วมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา มองไม่เห็นมองไม่ออก เพราะได้ ๓ อย่างมันเข้าไปหุ้มเอาไว้ หุ้มใจ อยู่ภายในตัวนี่ล่ะ หุ้ม หรือที่เราเรียกว่าอวิชชาน่ะมันหุ้ม ความมืดหุ้ม หุ้มแล้วทำให้เกิดความนึกคิด ๓ อย่างอย่างนั้นน่ะ แต่ละอย่างก็แยกแยะออกไป อย่างเช่นอยากจะได้ของของคนอื่นก็เยอะแยะ นับอสงไขยไม่ถ้วน ความโกรธก็นับอสงไขยไม่ถ้วน มิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดก็นับไม่ถ้วนเหมือนกัน แยกแยะไป แต่โดยย่อมาจากรากเหง้าตรงนี้แหละ นี่อวิชชานี่มันครอบงำอย่างนี้ กิเลสหยาบครอบกายมนุษย์หยาบ ทีนี้มรรคเป็นเครื่องแก้ เป็นเครื่องฆ่ากิเลส ก็มีอยู่ที่ตรงนี้น่ะ ที่เดี๋ยวนี่แหละ ตรงฐานที่ ๗ มันหุ้มตรงนี้เราก็ต้องแก้ตรงนี้ มันหุ้มไม่ให้เรามองเห็นหนทางไปสู่ความหลุดพ้น หุ้มไม่ให้เห็นของจริง ไม่ให้เห็นไปตามความเป็นจริง สร้างความรู้สึกนึกคิดที่ผิด ๆ เกิดขึ้นมา เป็นเหตุให้เราพูดผิดทำผิด แล้วก็มีวิบากมีผลกรรม เวียนว่ายตายเกิดกันต่อไป ทนอยู่ในความทุกข์ทรมาน ไอ้นี่ไอ้สามอย่างมันหุ้มเอาไว้
ทีนี้มรรคเป็นเครื่องฆ่าก็มีอยู่ตรงนี้แหละ ฆ่าด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยการเจริญภาวนาในขั้นหยาบที่เราทำอยู่เนี่ย ทานฆ่าอภิชฌา ศีลฆ่าพยาบาท ภาวนาฆ่ามิจฉาทิฏฐิ คือทำวิชชาให้เป็นขึ้นมานั่นเอง ทำวิชชานี่ให้เป็น วิชชาเป็นแล้วจิตที่บริสุทธิ์สว่าง ทำวิชชาก็คือการทำใจหยุดใจนิ่งพอถูกส่วนเข้าเท่านั้น ไอ้สามอย่างนี้มันหุ้มไม่ได้ ถ้าใจหยุดแล้ว วิชชาก็เกิดขึ้น เห็นความสว่างเกิดขึ้นมา เป็นดวงปฐมมรรค เห็นชัดทีเดียว เห็นศีล สมาธิ ปัญญา เห็น อยู่ภายในตัว ฆ่าอภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิจะแก้ได้ก็ต้องใจหยุด พอใจหยุดความสว่างเกิดขึ้น สัมมาทิฏฐิก็เกิด เพราะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไปตามความเป็นจริง เห็นกายมนุษย์หยาบนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นชัดเจนแจ่มใส ด้วยปัญญาภายใน ปัญญาเป็นเครื่องเห็น เห็นชัด แล้วก็ถอดถอนกิเลสออก ก็หลุดร่อนไป ใจก็ร่อนจากขันธ์ ๕ ของกายมนุษย์ ร่อนไปเลย หลุดร่อนหมด
เมื่อมองเห็นอภิชฌา มันหุ้มกันอย่างไง ลักษณะมันเป็นยังไงก็จะเห็น พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ ก็สิ่งเหล่านี้น่ะ พอมันหุ้มแล้วเนี่ย มันก็เป็นรากเหง้าของความคิดผิด อย่างเช่นถ้าอภิชฌาหุ้มดวงจิต มันก็คิด คิดอยากจะได้แต่ไอ้ของของคนอื่นเค้าอย่างเดียวคิดเรื่องอื่นไม่ออก พอคิดแล้วก็พูด พูดแล้วก็ทำ ทำแล้วก็มีวิบากมีผลของการกระทำอันนั้น เนี่ยเกิดขึ้น มันก็ดึงใจเราออกข้างนอกไปติดกับไอ้สิ่งเหล่านั้น ให้มองเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นมีคุณค่า จะทำให้เรามีความสุขมาก มากมายทีเดียว ด้วยการคิดอย่างนั้น พูดอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ไอ้สามอย่างมันอยู่ในกายมนุษย์หยาบ มันหุ้มอยู่ แก้ก็แก้ด้วยการเอาใจหยุดตรงเนี้ย ก่อนจะใจหยุดก็แก้ด้วยการให้ทานซะ รักษาศีล และก็เจริญภาวนา พอวิชชาเกิดขึ้นไอ้นี่ก็ร่อน พอร่อนหลุดจะเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดทันที จะเข้าถึงเลย ถึงกายมนุษย์ละเอียด
พอเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด มองย้อนหลังเห็นกายมนุษย์หยาบ เหมือนกับเสื้อผ้าหรือเหมือนกับซากอะไรสักอย่างที่สวมขันธ์อยู่ ที่เราอาศัยอยู่ชั่วคราวเหมือนกับของขอยืม พอหมดสัญญาเช่าก็ต้องส่งคืนเขาไป เห็นชัดทีเดียวน่ะ เห็นชัดด้วยตาของกายมนุษย์ละเอียด มองย้อนหลังเห็นกายมนุษย์หยาบ ที่นั่งเข้าที่เนี่ยไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา เห็นเหมือนของขอยืม ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาน พอเห็นกายหยาบเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เนื่องกับกายหยาบ จะเป็นอะไรก็ตาม มันก็มองเห็นตามไปด้วย แล้วก็ปล่อยหลุดปล่อยพ้นไปด้วย นี่มันเป็นอย่างนี้นะ กิเลสมันหุ้มเป็นชั้น ๆ เข้าไปน่ะ ถ้าพูดแล้วเวลามันก็ไม่พอ ถ้ากายทิพย์ก็มีกิเลสละเอียดลงไปอีก หุ้มอยู่ หุ้มเป็นชั้น ๆ ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ แหละ เราก็เอาใจเราหยุด เราเดินทางนี้ไป มันก็ร่อนไปเรื่อย จนกระทั่งเข้าถึงธรรมกาย เป็นอย่างนี้นะ
เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ ต่อจากนี้เราก็รวมใจของเราให้หยุดนิ่งเฉยที่ศูนย์กลางกาย หยุดในหยุด ๆ ๆ นิ่งในนิ่ง เราก็รวมอาหารหวานคาว ดอกไม้ธูปเทียนที่เรานำมาในวันนี้ทั้งหมด เอาไว้ที่ศูนย์กลางกายตรงฐานที่ ๗ หยุดให้ดี หยุดในหยุด ๆ ทำจิตใจให้เบิกบาน ให้ผ่องใส ให้ใสเป็นแก้วทีเดียวนะ หยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายตรงนี้ อาหารหวานคาวดอกไม้ธูปเทียนทั้งหมดมารวมมาเป็นจุดเดียวกันที่ศูนย์กลาง คุณยายก็คุมขึ้นไปเลย คุมสิ่งเหล่านี้น่ะกลั่นให้สะอาด ให้ใสเป็นแก้ว ใสให้หมด ไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอายตนนิพพาน คุณยายคุมขึ้นไปให้หมดเลย ทับทวีไปถวายให้ทั่วถึง พระพุทธเจ้าที่ท่านมีพระธรรมกายปรากฏอยู่ในอายตนนิพพานนะ นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน นับไม่ถ้วน มากกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้ง ๔ สว่างโล่งหมด ไม่มีอะไรกำบังเลย เป็นที่โล่ง ๆ ว่าง ๆ มีแต่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ธรรมกายของพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา ใสหมดเลย สว่าง
คุณยายก็คุมหมด คุมขึ้นไปถวาย บอกว่าเป็นผลทานของพวกเราทุก ๆ คน ที่นำมาในวันนี้ คุณยายก็คุมหมดเลย ทับทวีขึ้นไป สั่งพุทธจักร จักรพรรดิ์ทับทวีขึ้นไปถวายพระพุทธเจ้า ให้ละเอียดหนักเข้าไปเรื่อยเลย แล้วก็ขอบุญ ขอบารมีขอรัศมีของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ให้พวกเราทุกคนน่ะมีความสุข มีความเจริญ ให้ได้สำเร็จมรรคผล ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงพระธรรมกายกันทุก ๆ คน และให้ได้ผลบุญในปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้เรายังอาศัยกายมนุษย์สร้างบารมีอยู่ ยังต้องทำมาหากินอยู่ในทางโลก ก็ขอให้บุญอันเนี่ยให้ได้ผลบุญในปัจจุบัน ท่านที่ทำธุรกิจการงาน ก็ให้ซื้อง่ายขายคล่องกำไรงาม ที่รับราชการ ก็ให้ไปสูงสุดในสายนั้น ให้ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านเมตตาปราณีสงสารรักใคร่เอ็นดู ให้งานการประสบความสำเร็จ ท่านที่ศึกษาเล่าเรียนก็ให้สำเร็จสมความปรารถนา ให้ครอบครัวเค้าอยู่เย็นเป็นสุข
ขอบุญ ขอบารมีของพระพุทธเจ้า ให้ได้ผลบุญกันในปัจจุบันกันทุก ๆ คน คุณยายก็คุมบุญหมด ให้ทุก ๆ คนที่มาในวันนี้ ให้ได้ผลบุญหมด แล้วก็ทับทวีอาหารทิพย์ ทับทวีแจกจ่ายหมดเลย อรูปพรหม ๔ ชั้นทุกท่าน พรหม ๑๖ ชั้น สวรรค์ 6 ชั้นน่ะ ทับทวีขึ้นไปเรื่อยเลย เอาอาหารนี่แจกจ่ายเป็นผลทานของพวกเราแจกจ่ายไปให้หมด จนกระทั่งถึงอากาศเทวดา รุกขเทวดา และก็ภุมมเทวดา ทับทวีมา ภุมมเทวดาก็คือพวกมนุษย์ทั้งหลายเนี่ย ที่บาปไม่พอที่จะฉุดไปลงนรก ที่บุญไม่พอที่จะขึ้นสวรรค์ พวกนี้เวลามีชีวิตอยู่ในโลก มีความคิดอย่างนี้ ว่าเอ้อเราไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร เพราะฉะนั้นเราอยู่ที่บ้านเราก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเข้าวัดเข้าวาให้ทาน รักษาศีลเจริญภาวนา แค่นี้เราก็พอแล้วจะเอาอะไรกันมากมาย คิดอยู่แค่นี้เอง ว่าเราไม่ได้ไปเบียดเบียน ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน แล้วก็อยู่เฉย ๆ แต่เค้าลืมนึกไปว่ากิเลสที่อยู่ในตัวของเค้าน่ะ มีอยู่ บางทีเผลอเรอฆ่าสัตว์มั่ง มด ปลวกยุงมั่ง เวลาโกรธใครก็ขุ่นมัวมั่ง อะไรต่าง ๆ เหล่านี้เค้าลืมนึกไปว่าเค้ามีอยู่เป็นประจำ เป็นอุปนิสัยเค้า แต่ส่วนใหญ่เค้าสังเกตุว่า เค้าไม่ได้ไปทำอะไร ไปเบียดเบียนใคร ตายแล้วก็มาเป็นอยู่อย่างนี้
ภุมมเทวดา อาหารของเค้าละเอียดกว่าของมนุษย์ไปชั้นหนึ่ง คล้าย ๆ กับของมนุษย์นี่แหละ แต่ไม่ต้องทำมาหากิน อยู่บนพื้นมนุษย์ ภุมมเทวา รูปร่างก็ละเอียดกว่าเราไปชั้นนึง คล้าย ๆ กับของเราอย่างนี้แหละ รุกขเทวามีวิมานที่อาศัยของเค้านะ ซ้อนอยู่ในต้นไม้ อาหารของเค้าเป็นอาหารทิพย์ อาหารทิพย์อย่างเดียว สีมันเหลือง ๆ สีน้ำตาลเหลือง ๆ ละเอียด ๆ เหมือนข้าวมนุษย์นี่แหละ พระธุดงค์ทั้งหลาย ที่เค้าไปธุดงค์ ที่ท่านมีบุญไปสร้างบุญมา อดอยากไม่ได้ฉันอาหาร กลางป่า รุกขเทวดาพวกนี้อาศัยบุญของพระองค์นั้น มาใส่บาตรอาหารละเอียดของเค้านี่ สีเหลือง ๆ ใส่ลงไปในบาตร ใส่นิดหนึ่ง เวลาเราทับทวีอาหารเนี่ยมาแจกจ่ายกับพวกนี้อาหารพวกนี้ก็เป็นสีเหลือง ๆ อย่างนี่แหละ สีเหลือง ๆ
พอเป็นอากาศเทวดา อาหารทิพย์ก็ปราณีตขึ้นไปอีก พวกนี้ทำบุญมากขึ้นไปหน่อยหนึ่ง ทำบุญทำทานใครชวนก็ทำไปตามประสาอย่างนั้นเอง ไม่ได้มีศรัทธาอะไรหรอก ทำเพราะความเกรงใจมั่ง แต่ก็ทำ ๆ ไปอย่างนั้น พื้นฐานใจเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สงเคราะห์โลก ทำเป็นนิจศีล นี่มาเป็นอากาศเทวดา อาหารของเค้าใสขึ้นมา ใสขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่งใสแล้วนึกถึงพลอยนะ ความใสอย่างนั้น และอาหารทิพย์นี่แปลกไม่เหมือนของมนุษย์
ของมนุษย์เวลาเราจะรับประทานอาหารอะไรให้มันครบทุกรส จะต้องมีอาหารหลายอย่าง ๗-๘ อย่างมีเปรี้ยวหวานมันเค็ม กว่าจะทานให้ครบทุกรสได้ ก็ต้องใช้เวลานาน แต่ของทิพย์นี่แปลก อาหารทิพย์นี่โอชารสทุกอย่างมันไปรวมอยู่ไอ้ที่เดียวกันน่ะ ชนิดเดียว เวลานึกอยากจะทานอะไรนะ พอเรานึกมันก็อิ่ม แล้วก็มีโอชารสชนิดนั้นน่ะ ชุ่มชื่นใจ ทุกชนิดไปรวมอยู่อย่างเดียว เอิบอาบไปทั้งเนื้อทั้งตัว ไม่มีกาก สดชื่นอยู่อย่างนั้น นี่ของอากาศเทวดาเป็นอย่างนี้
จาตุมหาราช สวรรค์ชั้นนี้พวกทำบุญมากขึ้นมาหน่อยหนึ่ง อาหารทิพย์เค้าก็ละเอียดขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง มีอย่างเดียวเหมือนกันอาหารทิพย์ มีโอชารส และก็มีความใสขึ้น ใสคล้าย ๆ เพชรน่ะ ใส แต่พอพูดถึงเพชร แล้วพอเรานึกว่ามันเป็นของแข็ง ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ เราเทียบถึงความใส แต่ความอ่อนนุ่มทุกอย่างมันก็มีอยู่ในนั้น แต่ว่ามันใส สวยงามขึ้น ละเอียดเป็นชั้น ๆ อย่างนี้เรื่อยไป เราก็เทียบขึ้นไปเรื่อย จาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิตา นิมานนรดี ปรนิมมิตวสวัตตี ขึ้นไปเรื่อย ๆ สิ่งเหล่านี้ที่เราทำกันในวันนี้นี่แหละ จะไปเป็นเสบียงไปเป็นอาหารทิพย์ให้กับพวกเรา เมื่อเราละโลกไปแล้ว ถ้าใครทำมากก็ได้มาก ใครทำน้อยก็ได้น้อย เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับเราจะตักตวงเอากันแค่ไหน
นี่เรามีโอกาสอย่างนี้แล้วนะ ที่เราจะตักตวงให้เต็มที่ อย่าไปรอคอยให้ลูกหลาน ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เลย มันสู้เราทำเองไม่ได้ นี่ถ้าเข้าถึงธรรมกายแล้วเห็นหมด รู้เรื่องราวสิ่งเหล่านี้ไปตามความเป็นจริง ก็จะทำให้เรามีหิริโอตตัปปะ มีความละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อผลของบาป มีกำลังใจที่จะสร้างความดี แล้วก็อยากจะหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งหลาย มันจะเห็นได้ชัดเจน เพราะฉะนั้นหลักสำคัญเราจะต้องทำธรรมกายของเราให้เป็น พรรษานี้ใครอยากจะเข้าถึงธรรมกาย ตื่นมาตอนตีห้าแล้วมานั่งพร้อม ๆ กัน หรือจะตื่นก่อนนั้นก็ได้ นั่งมาเรื่อยเลย ทำประหนึ่งว่าเรานั่งประชุมกันอยู่ที่ศาลาหลังนี้นะ แล้วก็ตั้งอกตั้งใจนั่ง จะได้เข้าถึงธรรมกาย ถึงธรรมกายเมื่อไหร่ได้ชื่อถึงไตรสรณคมน์ ถึงสรณะถึงที่พึ่งที่ระลึก ใจเราขึ้นเกาะแล้ว เราจะได้มีความสุขกัน พ้นจากทุกข์ทั้งหลาย ผู้ที่เข้าถึงธรรมกายแล้วเค้ามีความสุขจริง ๆ ลองไปเลียบเคียงลองไปถามเค้าดูเถอะ ใจสบาย ที่เคยพูดมากก็นั่งเฉย ๆ ยิ้มมีความสดชื่นอยู่ข้างใน ไม่อยากพูดเท่าไหร่หรอก มันเสียเวลา สู้เอาใจหยุดใจนิ่งอย่างนี้ไม่ได้ มันมีความสุขมากกว่า นี่เป็นอย่างนั้นนะ คราวนี้เราก็หยุดในหยุด ๆ นิ่งเฉยนึกถึงบุญนึกถึงบารมีอธิษฐานจิตให้ดี ตามใจชอบของพวกเราทุก ๆ คน