ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

วันที่ 20 กพ. พ.ศ.2567

200267B01.jpg
พระธรรมเทศนาพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)   

๒ ตุลาคม ๒๕๒๖

ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

 

                ต่อจากนี้เราจะได้นั่งหลับตาเจริญภาวนากัน ขอเรียนเชิญทุกท่านนั่งขัดสมาธิ ท่านที่นั่งขัดสมาธิไม่ถนัดก็ให้นั่งพับเพียบนะ ขัดสมาธิก็ให้เอาขาขวาทับขาซ้าย สำหรับท่านที่มาใหม่ เอามือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้มือขวา จรดกับนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตัก วางพอสบาย ๆ ทุก ๆ คน หลับตาเบา ๆ พอสบาย ๆคล้าย ๆ กับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่าไปกดลูกนัยน์ตา หลับพอสบาย ๆ อย่างนั้นนะ ปรับร่างกายของเราให้นั่งให้สบาย ๆ อย่าให้กล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเรามันเกร็ง ให้ทุกส่วนผ่อนคลายให้หมด หลับพอสบาย ๆ 

 

                   วันนี้เป็นวันอาทิตย์ต้นเดือน เดือนนี้ก็เช่นเดียวกับเดือนก่อน ๆ โน้น ที่พวกเราทุกท่านได้นำอาหารหวานคาว ดอกไม้ธูปเทียน จากบ้านมาคนละเล็กคนละน้อย เพื่อที่จะมาประชุมพร้อมกัน บูชาข้าวพระ อันเป็นประเพณีที่เราได้ประพฤติปฏิบัติสืบเนื่องต่อกันมานาน นับเป็นหลายสิบปีแล้ว การบูชาข้าวพระเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง อย่างที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาทุก ๆ เดือน ว่าเราจะต้องเข้าถึงธรรมกายเท่านั้น เราถึงจะน้อมนำเครื่องไทยธรรมเหล่านี้ ไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เรายังเข้าไม่ถึงพระธรรมกาย การที่เราจะทำอย่างนี้มันก็ทำไม่ได้ ได้แต่แค่ขอถึง เช่นเดียวกับที่เราสวดมนต์ไหว้พระขอถึงพระรัตนตรัยนั่นเอง เพราะฉะนั้นอานิสงส์มันก็จะหย่อนลงไป

 

                แต่ถ้าหากเราเข้าถึงธรรมกายได้ การบูชาข้าวพระจึงจะเป็นมหาทาน ได้อานิสงส์มาก เพราะธรรมกายเท่านั้นจึงจะไปสู่อายตนนิพพานได้ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เมื่อท่านดับขันธปรินิพพานไปแล้ว กิเลสอาสวะท่านหมดสิ้นจากใจ ก็จะเหลือแต่พระธรรมกายปรากฏอยู่ในอายตนนิพพาน ถ้าเราเข้าถึงธรรมกายด้วยตัวของเราได้ เราจึงจะเข้าไปถึงพระพุทธเจ้า ที่มีพระธรรมกายปรากฏอยู่ในอายตนนิพพานได้ เพราะว่าความละเอียดอ่อนนั้นตรงกัน ละเอียดอ่อนเท่ากัน แต่การที่จะเข้าถึงธรรมกายได้นั้น เบื้องต้นต้องฝึกใจของเราให้หยุดให้นิ่ง ให้สงบ ให้ระงับที่ฐานที่ ๗ ซะก่อน ที่เราหยุดอยู่ที่ฐานที่ ๗ ก็เพราะว่าที่ฐานที่ ๗ นี้เป็นที่สิงสถิตของธรรมกายของทุก ๆ คนในโลก 

 

                ถ้าหากว่าวางใจผิดที่เราก็จะเข้าไม่ถึงพระธรรมกาย ถ้าวางใจถูกที่ตรงฐานที่ ๗ แห่งเดียวเท่านั้น จึงจะเข้าถึงธรรมกายได้ ธรรมกายนี้คือเป้าหมายของชีวิตทุก ๆ คนในโลก ที่เราเกิดมากันแต่ละภพแต่ละชาติ มีเป้าหมายเพียงประการเดียว คือจะขจัดความทุกข์ให้หมดสิ้นไป ให้เหลือแต่ความสุขล้วน ๆ ที่คงที่ ไม่มีขอบเขต และเป็นอมตะ นั่นคือเป้าหมายที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ตราบใดเรายังไม่พบหนทางที่จะขจัดทุกข์ ให้พ้นจากทุกข์ทั้งหลายได้ เราก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป ธรรมกายที่มีอยู่ในตัวของเราอันนี้แหละ เป็นผู้พ้นแล้วจากทุกข์ทั้งหลาย เข้าถึงความสุขอันเป็นอมตะ ทรงความสุขอันนี้เอาไว้อย่างมั่นคง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง 

 

                เพราะฉะนั้นถึงใช้คำว่าธรรมกาย เพราะคำว่าธรรมะแปลว่าทรงเอาไว้ ทรงรักษาความดีเอาไว้ ไม่ให้เปลี่ยนแปลง รักษาความสุขเอาไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลง เป็นกายที่มีความสุขล้วน ๆ ไม่มีทุกข์เจือเลย นี่เป็นเป้าหมายของการเกิดมาเป็นมนุษย์ก็คือพยายามที่จะให้บรรลุถึงธรรมกาย นี่เป็นหลักอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นธรรมกายนี้แหละคือหลักของชีวิต หลักของพระพุทธศาสนา คือหลักสากล ถ้าใครเข้าถึงหลักอันนี้ได้ก็พ้นจากทุกข์ทั้งหลาย ธรรมกายนั้นประกอบไปด้วย ลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนบริบูรณ์ ใสเป็นแก้ว ใสเกินใส ใส ไม่มีอะไรจะมาเปรียบ ใสกว่าเพชร ใสกว่าน้ำแข็ง ใสกว่ากระจก ใสกว่าน้ำ ใสกว่าความใส ที่สงบนิ่งนานทีเดียว  เพราะใจไม่ยึดอะไรแล้ว เพราะเห็นโลกนั้นว่างเปล่า ไม่มีของที่เป็นสาระแก่นสารเลย เป็นของว่างเปล่าทั้งสิ้น ใจก็จะสงบ ไม่ผูกพันกับอะไรทั้งหมด ความสงบอันนี้แหละเป็นต้นทางที่จะเข้าถึงธรรมกาย 

 


                เราจะได้รับรสแห่งความสุขเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นจากใจสงบ ใจที่ปลด ที่ปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้ว มันจะสงบนิ่ง และมีความสุขอย่างประหลาดเกิดขึ้นมาในใจของเรา มีความปลอดโปร่ง มีความเบาสบายแล้วจากความปลอดโปร่งความเบาสบายอย่างนี้ไม่ช้าใจก็จะนิ่งถูกส่วน พอถูกส่วนเข้าก็จะเห็นความบริสุทธิ์ของใจเกิดขึ้น เห็นใจของตัวเราเอง เห็นธรรมเบื้องต้น คือธรรมะที่ครอบคลุมใจน่ะ มีความบริสุทธิ์ สว่างไสวเราจะเห็นเป็นดวงใส ๆ สวยงามยิ่งกว่าเพชร อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ปรากฏเกิดขึ้นตรงฐานที่ ๗ ตรงที่ใจหยุด 

 

                ตรงที่ใจนิ่ง เป็นดวงใสสว่าง นั่นแหละคือความบริสุทธิ์เบื้องต้นของใจ ที่ปล่อยวางโลกภายนอกแล้ว ปล่อยจากสิ่งที่ไม่เป็นสาระ เข้าถึงสิ่งที่เป็นสาระในเบื้องต้น แล้วความสุขก็จะเกิดขึ้นมาในทันที ที่ความบริสุทธิ์ปรากฏเกิดขึ้นมาในใจเราเป็นดวงใส เป็นความสุขที่ยากต่อการ ที่จะอธิบายให้คนที่ยังเข้าไม่ถึง เข้าใจแจ่มแจ้งได้ นอกจากว่าใครที่ได้เข้าถึงแล้วจึงจะเข้าใจ และก็ซาบซึ้งกับไอ้ความรู้สึกอันนี้ มันมีความสุข มันมีความปลอดโปร่ง มีความเบาสบาย กายเบาใจเบา มีความสดชื่นเบิกบานอะไรอยู่ในตัวอย่างนั้น แล้วก็มีความอบอุ่นใจ ไม่เหงา ไม่ว้าเหว่ มีความมั่นใจในชีวิตของตัว ว่าต่อจากนี้ไปเราจะดำเนินชีวิตอยู่บนหนทางแห่งความสุขและก็มั่นคง ปลอดภัยจากสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย เราจะไม่พบกับอุปสรรคอะไรทั้งสิ้น ในโลก เราจะไม่มีความรู้สึกว่าสิ่งทั้งหลายที่เราพบ จะพบต่อไปในอนาคตมันเป็นอุปสรรคของชีวิต นั่นแหละความมั่นใจมันจะเกิดขึ้นทันทีที่เข้าถึงดวงใส ๆ ของความบริสุทธิ์เบื้องต้น 

 

                ดวงนี้พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่าปฐมมรรค หนทางเบื้องต้นที่จะไปสู่พระนิพพาน หรือหนทางเบื้องต้นที่จะเข้าถึงธรรมกาย เพราะฉะนั้นหลักจึงมีอยู่ว่า ต้องปลด ต้องปล่อย ต้องวาง จากโลกภายนอกโดยการพิจารณา ให้เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ปล่อยวาง เมื่อใจปล่อยวางแล้วก็จะสงบหยุดนิ่งอยู่ภายใน นี่หลักมันมีอย่างนี้นะ ทีนี้ถ้าทางลัด นั่นเป็นทางอ้อมที่เราจะต้องพิจารณาให้สม่ำเสมอ คุ้นอยู่กับใจของเราทุก ๆ วัน ถ้าทางลัด เรามีเวลาอยู่ไม่กี่นาทีที่เราจะนั่งอยู่ที่ตรงนี้ มันก็มีทางลัดที่จะเข้าถึงได้ ทางลัดนั้นเราจะต้องฝึกสติ ให้มีสติ ให้มีสัมปชัญญะ ให้มีความรู้ตัวอยู่ภายใน กับสิ่งที่จะได้แนะนำต่อไป

 

                  คือให้ใจของเรานี่ ไม่เผลอจากบริกรรมทั้งสอง บริกรรมนิมิตอย่างหนึ่ง กับบริกรรมภาวนาอย่างหนึ่ง ถ้าเราไม่เผลอจากบริกรรมทั้งสอง มีความรู้ตัว อย่างละเอียดอ่อนอยู่ภายใน กับบริกรรมทั้งสองอย่างนี้ ไม่ช้าใจของเราก็จะทิ้งโลกภายนอก แล้วก็จะหยุดอยู่กับภายในตัวของเรา ตรงฐานที่ ๗ ได้ ไม่ช้าชั่วระยะเวลาอันสั้น เราก็จะเข้าถึงปฐมมรรคได้ เพราะฉะนั้นหลักจึงมีอยู่ว่าเราจะต้องไม่เผลอจากบริกรรมทั้งสอง แล้วภาวนาไปอย่างใจสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเราคิดถึงเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่ง ที่ต่อเนื่องกันไปไม่ขาดตอน นี่หลักมันมีอย่างนี้นะ ใจถึงจะหยุด ใจถึงจะนิ่ง เอาล่ะเมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว ต่อจากนี้ไปจะได้สอนให้รู้จักการเจริญภาวนา 

 

                 สำหรับท่านที่มาใหม่นะ ให้สมมติหยิบเส้นเชือกขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง เส้นเชือกเส้นหนึ่ง ขึงจากสะดือทะลุไปด้านหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย เส้นเชือกทั้งสองจะตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม สูงจากจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ สูงจากจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ เป็นดวงแก้วใส ๆ กลมรอบตัว โตเท่ากับแก้วตา หรือโตเท่ากับปลายนิ้วก้อยของเรา กำหนดให้ชัดเจนคล้าย ๆ กับเราลืมตาเห็น กำหนดให้ใสคล้ายกับเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว ไม่มีขีดไม่มีข่วน ไม่มีไฝ ไม่มีฝ้า ไม่มีรอยตำหนิ กลมรอบตัว โตเท่ากับปลายนิ้วก้อยหรือโตเท่ากับแก้วตาของเรา เป็นดวงแก้วกลมใส คล้ายกับเพชร กลมรอบตัว ให้หยุดนิ่งอยู่ที่ตรงฐานที่ ๗ 

 

                  การกำหนดบริกรรมนิมิตให้นึกง่าย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่ง ให้ง่าย นึกให้สบาย ๆ อย่าไปบังคับจิต อย่าไปสะกดจิต เรากำหนดให้ง่าย ๆ อย่างนั้นนะ พร้อมกับภาวนาในใจ ให้เสียงของคำภาวนา ดังออกมาจากจุดกึ่งกลางของบริกรรมนิมิต เราภาวนาว่าสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ให้ภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ นะ แล้วก็ให้เสียงของคำภาวนาเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน ดังออกมาจากจุดกึ่งกลางของบริกรรมนิมิต ดวงแก้วใสคล้ายเพชร กลมรอบตัว โตเท่ากับแก้วตาหรือปลายนิ้วก้อย อยู่ที่ตรงฐานที่ ๗ เราจะไม่เผลอจากคำบริกรรมทั้งสอง เราจะภาวนาสัมมาอะระหังไปเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันเราก็จะตรึกนึกถึงความใสของบริกรรมนิมิต เราจะภาวนาไปเรื่อย ๆ จนกว่าใจของเราจะหยุดใจจะนิ่ง ใจอยากจะวางเฉย ๆ อยู่ที่บริกรรมนิมิต ตรงฐานที่ ๗ ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็รักษาความนิ่งเฉย อยู่ที่บริกรรมนิมิต ไม่ต้องภาวนาต่อไป 

 

                ภาวนาไปเรื่อย ๆ จนกว่าไม่อยากจะภาวนาหรือคำภาวนามันเลือนหายไปเองน่ะ เราก็รักษาความสงบ ความหยุด ความนิ่งอยู่ที่บริกรรมนิมิตตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้ ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ นี่คือกิจเบื้องต้นที่เราจะต้องทำให้ได้ในวันนี้ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคน ทำจิตใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส พร้อมกับกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นที่ฐานที่ ๗ แล้วก็บริกรรมภาวนาสัมมาอะระหังให้ต่อเนื่องกันไป ให้ทำกันไปอย่างนี้นะ จนกว่าจะถึงเวลาอันควร แล้วเราจะได้ประกอบพิธีบูชาข้าวพระกันต่อไป ขอให้ทุกคนได้ตั้งอกตั้งใจทำกันไป สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะ

 

                เราก็หลับตาของเราเบา ๆ ไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่สูงจากจุดตัดของเส้นเชือกทั้ง ๒ ขึ้นมาสองนิ้วมือ หยุดนิ่งเฉย ทำใจให้เบิกบานสบาย ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เมื่อใจของเราหยุดได้ถูกส่วน ถ้าถูกส่วนจริง ๆ เราจะเห็นเป็นดวงใส ๆ ปรากฏเกิดขึ้นมาที่ตรงฐานที่ ๗ ตรงนั้นแหละ ใสเกินใส ใสยิ่งกว่าเพชร ปรากฏเกิดขึ้นมาเอง ถ้าหากว่าใจหยุดถูกส่วนนะ จะหยุดเพราะว่าไปพิจารณา ปล่อยวางโลกภายนอกก็ตาม หรือหยุดเพราะว่าเรากำหนดบริกรรมนิมิต หรือบริกรรมภาวนา พอถูกส่วนแล้วจะเป็นดวงใส เพราะคนในโลกจะเป็นดวงใสทั้งนั้นน่ะ 


                นี่แหละเรียกว่าปฐมมรรค หรืออีกนัยหนึ่งบางทีก็เรียกว่าธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมเบื้องต้น ความบริสุทธิ์เบื้องต้น สัมมาทิฏฐิเบื้องต้น เกิดขึ้นแล้ว ความถูกต้องก็เกิดขึ้น ความถูกกับความดีเกิดขึ้นเห็นเป็นดวงใส ใสยิ่งกว่าเพชรทีเดียวนะ สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน แต่ว่าแสงเย็นตากว่า นุ่มนวล ถึงจุดนี้ได้ ถ้าใครเข้าถึงจุดนี้ ปิดประตูอบายภูมิ มีสุคติเป็นที่ไป ทำไมถึงว่าอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบมา คนเราจะไปสู่สุคติหรือทุคติ อยู่ที่ใจ ในวาระสุดท้ายของชีวิต ถ้าใจผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุคติก็เป็นที่ไป ถ้ามัวหมองไม่ผ่องใส ทุคติก็เป็นที่ไป ใจผ่องใสมันเป็นยังไงน่ะ ก็ใสอย่างนี้แหละ จะเห็นเป็นดวง บางทีเค้าก็เรียกว่าดวงใจ 

 

                ใจมันเป็นดวง กลมรอบตัว ดวงอันนี้เกิดขึ้นเมื่อ ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ น่ะที่มันกระจัดกระจายไปเห็นไปทางนึง จำไปทาง คิดไปทางรู้ไปทางน่ะ เมื่อมันมารวมกัน มันก็จะมาเป็นดวง เค้าเรียกว่าดวงใจน่ะ มันจะใส แล้วไม่คิดเรื่องอะไรเลย เพราะว่ารวมกันเข้าได้แล้ว ไม่ฟุ้งไปคิดเตลิดเปิดเปิงไปในเรื่องราวอะไรต่าง ๆ มันจะนิ่งอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน อยู่กับเดี๋ยวนี้ นาทีนี้ แล้วก็ใสสว่าง พอความใสความสว่างเกิดขึ้นความสุขก็เกิด ความเบิกบานก็เกิด ความสดชื่น ความมีชีวิตชีวา ความกระปี้กระเปร่าเกิดขึ้นมา ถ้าละโลกเป็นอย่างนี้นะ รักษาอย่างนี้ไปกระทั่งใกล้จะดับจิต พอใสได้อย่างนี้ละก็ กายละเอียดข้างใน กายมนุษย์ละเอียดหรือกายฝัน หรือที่เราเรียกว่าวิญญาณนั่นน่ะ

 

                มันก็จะใสตามไปด้วย ถ้าใจใส กายก็ใส ถ้าใจขุ่นมัวกายก็มัวหมอง เพราะกายและใจมันสัมพันธ์กัน มันจะใสอย่างนี้นะ ถ้าใสความนึกคิดก็คิดแต่ในสิ่งที่ดีงาม ระลึกนึกถึงผลบุญที่ตัวเคยทําเอาไว้ได้ เคยทอดกฐินก็เห็นเป็นภาพทอดกฐิน เคยทอดผ้าป่าก็เห็นภาพทอดผ้าป่า เคยบูชาข้าวพระเห็นภาพบูชาข้าวพระ เคยสร้างโรงเรียนก็เห็นภาพโรงเรียนเกิด เคยสร้างโรงพยาบาลก็เห็นภาพโรงพยาบาลเกิด เคยช่วยเหลือเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ให้ทานกับสัตว์เล็กสัตว์น้อย สุนัข แมว นก หรืออะไรก็แล้วแต่ ปล่อยสัตว์ปล่อยปลา เคยฟังธรรมก็เห็นภาพฟังธรรม เคยแนะนำชักชวนคนอื่นให้เข้าวัดเข้าวา มาปฏิบัติธรรมก็จะเห็นภาพเหล่านั้นเกิดขึ้น คือเห็นภาพของความดีเกิดขึ้นที่กลางใจใส 

 

                พอถูกส่วนไอ้ดวงใสมันขยายกว้าง กว้างไปไม่มีขอบเขตเลย เหมือนอยู่ในอวกาศโล่ง ๆ ที่มีแต่ความใสความสว่าง แล้วภาพเหล่านั้นมันก็มาปรากฏ เหมือนเราฉายหนังภาพไปปรากฏที่จอ อันนี้เหมือนกันภาพเหล่านี้ก็มาปรากฏที่จอของใจเรา แต่ว่าเป็นจอที่ไม่มีขอบเขตกว้าง แล้วในขณะนั้นใจของเราก็จะเบิกบาน จะแช่มชื่น ทุกข์เวทนาที่กายมนุษย์มันก็ดับไป เพราะว่าไม่ได้นึกถึง สิ่งที่จะเข้ามาในใจได้ มันเข้ามาได้ทีละอย่าง ถ้าความสุขเข้า ทุกข์ไม่เข้า ถ้าทุกข์เข้า สุขไม่เข้า ถ้าความดีเข้าชั่วไม่เข้า ถ้าชั่วเข้า ดีไม่เข้า กุศลธรรมเข้า อกุศลไม่เข้า นี่มันเข้ามาทีละอย่าง เพราะฉะนั้นใจก็จะเกาะไอ้สิ่งเหล่านี้น่ะ ใสมีความสุข เบิกบาน อิ่มเอิบอยู่ในตัว 

 

                ให้สังเกตดูคนป่วยนะ ร่างกายภายนอกน่ะสุขใส ผิวพรรณผ่องใสทั้ง ๆ ที่ป่วยอย่างนั้นน่ะ เหมือนเอาเหล็ก ลูกเหล็กทึบ ๆ เอาไปเผาไฟ แล้วมันลุกเป็นสีแดง มีความสดใสต้องเบายังไงก็เป็นอย่างนั้นแหละ กายข้างนอกก็จะนวล มีน้ำมีนวลเปล่งปลั่งเกิดขึ้น เพราะใจข้างในมันใส ทั้ง ๆ ที่ร่างกายนั้นเต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บน่ะ แต่ใจใสซะแล้ว ไอ้ความใสของใจก็แทรกซึมไปตามเลือดตามเนื้อ ตามขุมตามขน ปรากฏออกมาข้างนอก มันใสอย่างนั้น เมื่อถูกส่วนเข้า ถอดกายออกไปนะ ภพภูมิที่พอเหมาะมันก็จะดึงดูดไป ไปสู่สุคติ สุคติคือภูมิ ภพที่มีความสุขล้วน ๆ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้ ไม่ปวด ไม่เมื่อย ไม่วิตกไม่กังวล ไม่ทุรนทุรายกระวนกระวาย ไม่มีสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ เหมือนในมนุษย์อย่างนั้นน่ะ 

 

                มันก็ดูดวูบไป บางทีแจ่มใสหนักเข้า ๆ ความดีเรามาก ชาวสวรรค์ที่เค้ามีกายละเอียด เค้าก็จะมาปรากฏให้เห็น เห็นชัดเหมือนตามนุษย์เห็นคนที่เรารู้จักอย่างนั้นน่ะ แต่มันชัดเกินชัด ใสเกินใส แจ่มแจ้งทีเดียว เหมือนดึงเอาของที่อยู่ในที่สลัวออกมาที่กลางแจ้งนะ มันชัด ชัดกว่าลืมตาเห็น ชัดเจน เค้าก็เชื้อเชิญให้เราไปสู่ภพภูมิของเค้าอย่างนั้นแหละ เหมือนธรรมิกอุบาสกสั่งสมบุญเอาไว้มาก ใกล้จะละโลก จิตใจผ่องใส มีความสว่างเห็นชัด ชาวสวรรค์ทุกชั้น ๖ ชั้นน่ะมาเลย มาเชิญชวนขอให้ธรรมิกอุบาสกนี้ ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นเดียวกับของเค้า ต่างก็พรรณนาสรรพคุณของสวรรค์ชั้นนั้นให้ฟัง นั่นเพราะความดีของธรรมิกอุบาสกน่ะมีมาก และภาพที่มาปรากฏก็อยู่ที่ กลางความใสความสว่าง เราอย่าเข้าใจว่าตอนนั้นเนี่ยความรู้สึกที่ดวงอยู่ภายในมีขอบเขต มันไม่มีขอบเขต ร่างกายก็หายไป ตอนนั้นความรู้สึก มันก็อยู่ที่กลางความสว่าง ความใส นี่แหละสุคติเป็นที่ไป 

 

                แต่ถ้าหากว่าใจเศร้าหมองไม่ผ่องใส มันมืด มีแต่ความมืด ความสลัว อยู่กับความทุกข์ ความทรมาน ความซึมเซา มันซึมต่าง ๆ และภาพที่มาปรากฏเป็นภาพที่ไม่ดี ที่เราเคยดื่มสุรามั่ง ลักทรัพย์มั่ง ประพฤติผิดในกามมั่ง พูดปด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียดให้เค้าทะเลาะกันมั่ง ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมั่ง หรือมีความคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมั่ง มีความผูกพยาบาทเค้ามั่ง เห็นเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย หรือเพ่งเล็งโลภอยากจะได้ของ ๆ คนอื่น ก็มาปรากฏเกิดชัดขึ้นมาตอนนั้นน่ะ ทำอะไรเอาไว้ก็จะเห็นชัดเจน เห็นได้ชัดเจนเหมือนอย่างที่ดูทีวีดูภาพยนตร์อย่างนั้นน่ะ คือเหมือนอย่างแสดงละครอย่างนั้น ตัวเราเป็นผู้แสดงเอง เห็นเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย ภพภูมิที่ทุกข์ทรมาน มีความเศร้าหมอง ที่พอเหมาะกับจิตดวงนั้น ก็จะดึงดูดไป ร่างกายของบุคคลนั้นก็จะซูบซีดเศร้าหมองไปอย่างนั้น

 

                เพราะฉะนั้นนี่ หยุดกับนิ่งนี่จึงเป็นหัวใจของชีวิตทุก ๆ คน ถ้าเราฝึกหยุดฝึกนิ่งได้ทุก ๆ วัน เท่ากับเราเตรียมหนทาง กรุยทางไปสู่สุคติตั้งแต่เรายังมีชีวิตอยู่ เตรียมหนทางไปแล้ว ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ต้องตายหมดทุกคน ไม่มีใครรอดเลย แต่ใครเล่าจะชนะสงครามของชีวิต ที่ใกล้จะละโลกแล้วก็ยิ้มแล้วแจ่มใสได้ เบิกบานได้ภาคภูมิในผลงานของตัวเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้สั่งสมความดีเอาไว้มาก แล้วจากไปแบบผู้ชนะ จะมีซักกี่คนที่คิดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นที่เราฝึกฝนอบรมใจของเราสั่งสมเอาไว้ก็เพื่อที่จะทำใจให้บริสุทธิ์ ให้ใสนี่เอง ความใสความบริสุทธิ์ที่ปรากฏขึ้นน่ะเค้าเรียกว่าบุญ บุญกุศลเกิดขึ้นที่ใจ มันเกิดขึ้นอย่างนี้ และภพภูมิที่พอเหมาะที่เป็นสุคติก็ดึงดูดไป

 

                เพราะฉะนั้นในระหว่างนี้เรายังมีชีวิตอยู่ ร่างกายเรายังแข็งแรง เราจะต้องพยายามทำดวงปฐมมรรคให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อที่เราจะได้เข้าถึงธรรมกาย ถึงธรรมกายได้ก็ปลอดภัยในชีวิตทั้งหมด นี่จำให้ดีนะ มีสุภาษิตโบราณ คำพังเพยโบราณเค้าว่า ซ้อมรบกันร้อยวัน รบกันวันเดียว แพ้ชนะก็รู้กันวันนั้น นักกีฬาแข่งขันกันชั่วโมงนึง แพ้ชนะก็รู้กันในชั่วโมงนั้น แต่กว่าจะมาแข่งขันได้ก็ซ้อมกันมานานหลายเดือน บางทีก็เป็นปีทีเดียวสงครามของชีวิตก็เช่นเดียวกัน จะแพ้ชนะก็อยู่ที่ตรงนั้นแหละ ใกล้จะละโลก แต่เราจะเป็นนักรบที่เข้มแข็งได้จะเอาชนะได้ก็หมายความว่าเราได้ฝึกฝนจิตใจให้คุ้นเคยกับความดี มานานหลายสิบปีเหล่านั้นน่ะ นั่นแหละความดีเหล่านั้นจึงจะส่งเสริมสนับสนุนให้เราเอาชนะศึกได้ในตอนสุดท้ายของชีวิตหยุดกับนิ่งทำให้เกิดความสว่าง อันนี้แหละหนทางลัดที่เราจะเอาชนะศึกได้ แล้วไปสู่สุคติภูมิ นี่พูดถึงว่าถ้าเรายังไม่ไปพระนิพพานนะ สุคติภูมิก็จะรองรับ แล้วก็ดึงดูดของเราไป ดึงดูดตัวของเราไป นี่จับหลักเอาไว้ให้ดี 

 

                เพราะฉะนั้นเราก็ทำใจของเราให้หยุดในหยุด ๆ นิ่งในนิ่ง ให้จิตใจผ่องใส มีความสว่างไสว ใครหยุดได้แค่ไหน หยุดเข้าถึงดวงปฐมมรรค ก็เอาใจอยู่ที่ตรงนี้ ใครเข้าถึงดวงศีลได้ ก็เอาใจหยุดอยู่ที่ตรงนั้น หยุดไปตามลำดับอย่างนั้นน่ะ ใครเข้าถึงกายในกายได้ ก็เอาใจหยุดอยู่ตรงนั้นมันจะสว่างโพลง ทะลุร้อนไปตลอดหมดโล่งไปตลอดหมด ให้หยุดในหยุด ๆ ให้นิ่งอยู่อย่างนี้นะตอนนี้คุณยายก็คุม ควบคุมอาหารหวานคาว ดอกไม้ธูปเทียนของพวกเรา ที่เราได้รวบรวมมาในวันนี้น้อมนำไปถวายเป็นพุทธบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านมีพระธรรมกายปรากฏอยู่ในอายตนนิพพาน อย่างที่เราได้เคยประพฤติปฏิบัติกันมาทุก ๆ อาทิตย์ต้นเดือน น้อมขึ้นไปถวายให้หมด ให้ทั่วถึง กลั่นเอาของหยาบ ให้เป็นของละเอียดเป็นพุทธบูชาถวายให้หมด ให้ทั่วถึงหมด ส่วนพวกเราทุกท่านก็เอาหยุดในหยุด ๆ หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางอย่างสบาย อย่าให้ใจวอกแวก ให้หยุดนิ่งเฉย รักษาความบริสุทธิ์เอาไว้นะ ให้หยุดให้นิ่ง

 

                ส่วนการน้อมถวายเป็นเรื่องของคุณยายท่านจะน้อมคุมพวกเราไป คุมเครื่องไทยธรรมไป ไปถวายเป็นพุทธบูชาให้ทั่วให้ถึงกันให้หมด คุณยายก็ทับทวีขึ้นไปเรื่อย ให้ทั่วให้ถึงหมด ตามสุดรู้สุดญาณพระพุทธเจ้าท่าน มีมากกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้งสี่ มีมากเกินมาก มีพระธรรมกายปรากฏอยู่ในอายตนนิพพาน หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา ใสเป็นแก้วทีเดียว งามไม่มีที่ติ นั่งอยู่บนนิโรธสมาบัติ อยู่บนฌานสมาบัติ เข้านิโรธ สงบนิ่ง นับไม่ถ้วนเลย นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน คุณยายก็คุมถวายให้ทั่วถึงให้หมด ทุก ๆ พระองค์ ทับทวีให้ทั่วถึง สุดรู้สุดญาณ ทีเดียว แล้วก็คุมกายละเอียดพวกเราทุก ๆ คนขึ้นไปขอศีลขอพร ขอบุญ ขอบารมี รัศมีกำลังฤทธิ์ อำนาจวาสนา ให้กับทุก ๆ คน ให้ทุกคนมีความสุขมีความเจริญ ให้ได้สำเร็จมรรคผล ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ให้เข้าถึงพระธรรมกายกันทุก ๆ คน

 

                ให้มีความสุขกายสบายใจ พ้นจากทุกข์โศกโรคภัย และให้บุญปัจจุบันทันตาเห็น ประกอบธุรกิจการงานก็ให้ราบรื่น ทำข้าราชการก็ให้ไปสูงสุดในสายนั้น ตามกำลังบุญของตัว ที่ศึกษาเล่าเรียนก็ให้ศึกษาเล่าเรียนสำเร็จสมความปรารถนา เอาบุญที่ได้ถวายเป็นพุทธบูชาน่ะให้หลั่งไหลปรากฏเกิดขึ้นมาที่ศูนย์กลางกายของทุก ๆ คน ติดเป็นควงสว่างใสเหมือนกับเพชรหรือยิ่งกว่าเพชร ติดที่ศูนย์กลางกำเนิดหมดทุก ๆ คน ที่ฐานที่ ๒ ให้ได้ควงบุญหมด ให้มีความสว่างไสว ปิดประตูอบายภูมิให้ได้ เนี่ยคุมให้ดีทีเดียว คุณยายคุมบุญหมด ไม่ให้หกไม่ให้หล่น ให้ติดที่ศูนย์กลางกำเนิดให้หมดทุก ๆ คน ขอศีลขอพร ขอบุญ ขอบารมีของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ที่กลางหยุดกลางนิ่งตรงนั้นนะ

 

                ตอนนี้พวกเราที่เป็นเจ้าของเครื่องไทยธรรม เราก็เอาใจของเราตรึกนึกเข้าไปที่ศูนย์กลางกายตรงฐานที่ ๗ ให้หยุดให้นิ่ง ให้จิตใจสว่าง ให้ผ่องใส แล้วเราก็อธิษฐานจิตของเราตามใจชอบ อธิษฐานให้ดีทีเดียวนะ บุญกุศลที่เราได้ทับทวีเครื่องไทยธรรมไปถวายแด่พระพุทธเจ้า ให้หลั่งไหลเข้ามาที่ศูนย์กลางกาย เป็นเครื่องสนับสนุนให้ความปรารถนาของเรา สำเร็จสมความปรารถนาทุกประการเลยน่ะ เรานึกถึงอย่างนั้นนะ อธิษฐานจิตใจของเราตามใจชอบ ตอนสุดท้ายก็ให้อธิษฐานให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานให้เข้าถึงธรรมกาย กันทุก ๆ คน ต่างคนต่าง อธิษฐานกันเงียบๆ นะ

 

                คุณยายก็คุมคำอธิษฐานทุกคนให้สำเร็จสมความปรารถนาเนี่ยให้ใส แล้วก็ทับทวีอาหารทิพย์ คุณยายทับทวีมา แจกจ่าย อรูปพรหมสี่ชั้นทุกท่าน พรหม ๑๖ ชั้น สวรรค์ ๖ ชั้น เรื่อยไปถึงอากาศเทวดา รุกเทวดา ภุมมเทวา ตลอดหมด ทั่วถึงกันให้หมด นากยักษ์ คนธรรพ์ ผีสาง นางไม้ กายละเอียดตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล สั่งจักรพรรดิไปให้ทั่วถึง ให้เค้าทับทวีให้ทั่วถึง ว่าเป็นบุญของพวกเราทุก ๆ คน สั่งจักรพรรดิ ให้เอาไปให้หมู่ญาติของพวกเราที่ละโลกไปแล้ว ไปอยู่ที่ไหนก็ตาม เอาอาหารทิพย์เอาบุญนี้ไปให้เค้า ให้เค้าอนุโมทนาสาธุการ แล้วก็เอาอาหารทิพย์เหล่านี้ไปไว้ที่วิมานของพวกเราทุก ๆ คน เมื่อเค้าละโลกไปแล้ว ยังไม่ไปพระนิพพาน ก็จะได้ไปเสวยที่วิมาน ของใครก็ของมันอย่างนั้น ให้ทับทวีไป สั่งจักรพรรดิไปให้ทั่วถึงให้หมด ส่วนพวกเราก็อธิษฐานจิตเอานะ ที่กลางหยุดในหยุด ๆ นิ่งในนิ่งกันทุก ๆ คน


 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.016347352663676 Mins