มหาสติ มหาปัญญา

วันที่ 23 กพ. พ.ศ.2567

230267b01.jpg

พระธรรมเทศนา พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
๓ มีนาคม ๒๕๒๘

มหาสติ มหาปัญญา

 

                นั่งเจริญภาวนากัน ขอเชิญนั่งขัดสมาธิ ใครนั่งขัดสมาธิไม่ถนัดก็ให้นั่งพับเพียบนะ ขัดสมาธิก็ให้เอาขาขวาทับขาซ้าย สำหรับท่านที่มาใหม่นะ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ ทุก ๆ คน ท่านที่มาใหม่ก็ดูคนที่เค้านั่งข้างเคียง ที่เค้ามาอยู่ก่อนแล้วนะมือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย แล้วก็วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ ทุก ๆ คน หลับตาเบา ๆ หลับตาเบา ๆ พอสบาย ๆ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานอนหลับยังไม่ต้องนึกคิดอะไรทั้งนั้นน่ะ ยังไม่ต้องภาวนาอะไร ปล่อยให้สบาย ๆ หลับตาให้เป็นซะก่อน ตาถ้าหลับเป็นแล้วมันจะสบายคล้าย ๆ กับเรานอนหลับ ไม่บีบหัวตาเหมือนคนทำตาหยีอย่างนั้น ไม่กดลูกนัยน์ตา พอสบาย ๆ 

 


                คราวนี้เราปรับร่างกายของเรา ให้พอเหมาะต่อการที่เราจะนั่งสมาธิกัน ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายของเราให้หมด ตั้งแต่กล้ามเนื้อที่เปลือกตา หน้าผาก ศีรษะ ท้ายทอย ให้ผ่อนคลายให้หมด กล้ามเนื้อที่บ่าทั้งสอง หัวไหล่ทั้งสอง ตลอดจนกระทั่งลำแขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือ ให้ผ่อนคลายให้หมด กล้ามเนื้อบริเวณลำตัวของเรา ตลอดจนกระทั่งขาทั้งสอง ถึงปลายนิ้วเท้า ให้ผ่อนคลายให้หมด ให้ทุกส่วนของร่างกายของเราไม่มีส่วนใดที่เกร็งที่เครียด ถ้าเรานั่งได้ถูกส่วน ได้พอเหมาะพอดีเนี่ย เราจะมีความรู้สึกว่ามั่นคง เหมือนเอาขุนเขาทั้งลูกมาตั้งเอาไว้นะ มันมั่นคง ไม่งุ้มไปข้างหน้า ไม่หงายไปข้างหลัง ไม่เอียงมาข้าง ๆ มันพอเหมาะพอดี จนกระทั่งเรามีความรู้สึกว่า เราจะนั่งในท่านี้นะ ไปได้นานเท่าไหร่ก็ได้ แล้วก็มีความรู้สึกว่าไม่ฝืน สบาย ร่างกายสบาย 

 


                ทุกครั้งที่เราจะปฏิบัติธรรม จะที่วัดก็ดี ที่บ้านก็ดีหรือตามที่ไหน ๆ ก็ดี อย่าลืมหลักการอันนี้ ก็คือต้องปรับร่างกายของเราให้ผ่อนคลาย ให้มันสบาย ๆ ซะก่อนทีนี้เราก็หันมาปรับจิตใจของเรา จิตใจต้องปลอดโปร่งสบาย จึงจะเหมาะสมต่อการปฏิบัติธรรม จะต้องไม่ตั้งใจเกินไป อยากจะได้เร็ว เห็นเร็ว ๆ ใจสงบเร็ว ๆ ความคิดอย่างนี้อย่าให้มันเกิดขึ้นมา ถ้าเกิดขึ้นมาแล้วจะทำให้ใจเราตึงเครียด ไม่สบายเหมือนกัน หรือย่อหย่อนเกินไปจนกระทั่งปล่อยใจให้เลื่อนลอย เรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้น คิดฟุ้งไปในเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งมันไม่เป็นสาระแก่นสารอะไรทั้งสิ้น คิดเรื่องบ้าน ครอบครัวมั่ง ธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน หรือสิ่งที่มันผ่านไปแล้วน่ะ สมัยโน้น เรื่อยเปื่อยไปเรื่อย จนกระทั่งสิ่งที่ยังมาไม่ถึงในอนาคต เรื่อยเปื่อยไปอย่างนี้ กระแสใจก็หย่อน เฉื่อยแฉะเกินไปอย่างนี้ ก็ไม่สบายอีกเหมือนกัน 

 


                ใจที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมกายนั้น จะต้องเป็นใจที่ปลอดโปร่ง ผ่องใส มีความสุขอยู่ภายใน และก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรทั้งสิ้นในโลก ใจไม่ติดเรื่องอะไรเลย ไม่ติดในเรื่องครอบครัว ไม่ติดเรื่องธุรกิจการงาน ไม่ติดเรื่องของโลก ไม่กังวลกระทั่งจะได้เห็นธรรมะเมื่อไหร่ ใจจะสงบเมื่อไหร่ ไม่ได้กังวล จะรู้เห็นเร็วช้าแค่ไหนก็ไม่กังวล แม้กระทั่งร่างกายมันจะเจ็บจะปวดจะเมื่อยจะเป็นอะไรน่ะ ก็ไม่กังวล รวมกระทั่งดินฟ้าอากาศ จะร้อนอบอ้าวแค่ไหน จะหนาวจะร้อน จะเย็นจะอ่อนจะแข็งแค่ไหน ไม่สนใจทั้งนั้น ฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทะลาย คอขาดบาดตาย ไม่สนใจทั้งนั้น ใจอย่างนี้แหละเป็นใจที่เหมาะสมที่จะเข้าถึงธรรมกาย เพราะว่าเมื่อใจมันไม่ไป เกาะเกี่ยวอะไรแล้วมันก็จะสงบ พอสงบก็หยุด พอหยุดก็สว่าง เห็นไม๊ มันเป็นลูกโซ่ที่เกี่ยวเนื่องกันไปตามลำดับ

 


                ถ้าเราไม่ทำขบวนการนี้ ตามขั้นตอนอย่างนี้แล้วละก็ ใจมันก็ไม่หยุด ไม่สว่าง เมื่อไม่สว่างก็ไม่เห็นหนทางที่จะเข้าถึงธรรมกาย ดังนั้นในตอนแรกนี้ เรามาเสียเวลาสัก ๕ นาที ในการปรับปรุง กายและใจให้เหมาะสมต่อการที่จะ ประพฤติปฏิบัติธรรมให้นึกย้อนหลังไปสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์อยู่ที่ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เราลองนึกย้อนหลังไปในสมัยนั้น ว่าในคืนที่ท่านจะตรัสรู้นั้นน่ะ ท่านสบายมาตั้งแต่เบื้องต้น ตั้งแต่เช้าเรื่อยมาเลย กระทั่งเย็น ตลอดจนกระทั่งตอนกลางคืน ถึงเช้าวันรุ่งขึ้น อาหารท่านก็ได้อาหารที่สบาย อาหารที่อร่อยที่สุดของนางสุชาดาน่ะ จิตใจท่านก็เบิกบาน เมื่อมานั่งขัดสมาธิคู่บัลลังก์ในยามเย็น แม้มีพญามารมาผจญท่าน ท่านก็ไม่กลัว ไม่วิตกไม่กังวล ไม่กลัวไม่หวาดหวั่นไม่วิตก ใจเฉย ทำสบาย ๆ ใจสบาย ๆ 

 


                ใจพอไม่วิตกไม่กลัวภัยแล้วมันสบาย ถ้าจะมีกลัว กลัวภัยอยู่ วิตกกังวลอยู่ มันไม่สบาย มันเครียด แต่ท่านสบาย ๆ ตรึกระลึกนึกถึงบุญบารมีของท่าน ที่ได้สั่งสมอบรมมานะ นับภพนับชาติไม่ถ้วน อย่างสบาย ๆ ใจแล้วในที่สุดท่านก็ชนะพญามารอย่างสบายเหมือนกัน ง่าย ๆ เมื่อเอาชนะพญามารได้แล้ว ก็ปล่อยใจสบายอีกเหมือนกัน นั่งปรับท่านั่งของท่านพอเหมาะพอดีทีเดียว ไม่งอตัว ไม่หงายหลัง ไม่เอียงข้าง ๆ น่ะ ใจเฉยถูกส่วนไม่กังวลอะไรทั้งสิ้น ใจปลอดโปร่งทีเดียว และท่านั่งก็มั่นคง จนกระทั่งมีความรู้สึกว่าจะนั่งไปนานเท่าไหร่ก็ได้ถึงตั้งสัตยาธิษฐาน ไม่เห็นธรรมในคืนนี้ หรือตลอดชีวิตไม่ลุกจากที่ มันสบายน่ะ กายสบายใจสบายจนเกิดความมั่นใจ ว่าต้องตรัสรู้ธรรมในคืนนี้อย่างแน่นอน นั่นเพราะว่าวางใจได้ถูกส่วน ปรับร่างกายได้ถูกส่วนได้พอเหมาะ อันนี้ก็เป็นเคล็ดลับ วิธีที่จะทำให้ใจสงบเข้าไปสู่ภายใน ที่จะเป็นทางลัดปรับใจให้เข้าสู่ข้างใน 

 


                เราพุทธสาวกสาวิกาทั้งหลาย ก็จะต้องประพฤติปฏิบัติ ตามแนวทางที่พระองค์ได้ปฏิบัติมาจนกระทั่งประสบความสำเร็จ ดังนั้นเราจึงยอมเสียเวลาเล็กน้อยที่จะปรับให้สบายอย่างนี้นะ ทุก ๆ คน จำกันเอาไว้ให้ดีทีเดียวทีนี้ใจเมื่ออยู่ในสภาพเป็นกลาง ๆ ไม่ตึงไปไม่หย่อนไป ก็เป็นใจที่เหมาะสมที่จะหยุดนิ่งอยู่ภายในหยุดนิ่งไม่คิดเรื่องอะไรเลย สบาย ทีนี้พอใจสบายในเบื้องต้นน่ะ สิ่งที่จะตามมา คือปลอดโปร่งโล่งเบา เบิกบานสดชื่น มันก็ตามมาเรื่อย ๆ ตามมาตามลำดับ และในไม่ช้าก็จะเข้าถึงต้นทางที่จะเข้าถึงธรรมกาย เห็นหนทางไปสู่พระนิพพาน เป็นดวงสว่างติดอยู่ที่ ศูนย์กลางกายตรงฐานที่ ๗ สว่างสุกใสทีเดียว อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ดวงเล็ก ดวงกลาง ดวงใหญ่ขนาดดวงจันทร์ ดวงดาว ดวงอาทิตย์ กลมรอบตัวอย่างเนี้ยะ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ใช้ได้ทั้งนั้น นั่นแหละที่หมาย เป็นต้นทางที่จะเข้าถึงธรรมกายที่อยู่ภายใน

 


                ใจสบายแล้วจะเห็นอย่างนี้ เห็นดวงสว่างเกิดขึ้นมาเองที่ศูนย์กลางกาย อันที่จริงดวงสว่างนี้มันมีอยู่แล้วในตัวของพวกเราทุก ๆ คนในโลก จะเป็นชาติไหนภาษาไหนก็ตาม ดวงสว่างนี้มีอยู่แล้ว ดวงธรรมเบื้องต้น เพราะว่าดวงธรรมอันนี้เป็นธรรมเบื้องต้น ท่านจึงเรียกว่าปฐมมรรค เป็นจุดเริ่มต้นของหนทางที่จะเดินไปสู่หนทางพระนิพพานนะ จะต้องเริ่มต้นจากตรงนี้ และก็ต้องมีลักษณะอย่างนี้ จะปฏิบัติธรรมะแบบไหนก็ตาม จะภาวนาอะไรก็ได้ เมื่อใจสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส สงบ หยุดนิ่งถูกส่วนแล้ว จะเห็นดวงธรรม ปรากฏเกิดขึ้นที่ ศูนย์กลางกายตรงฐานที่ ๗ ลักษณะดังกล่าวแล้ว อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ปรากฏเกิดขึ้นมา เป็นดวงใสบริสุทธิ์อยู่ที่กลางตัวตรงนั้น

 


                พระพุทธเจ้าเมื่อเริ่มต้นท่านก็ได้ตรงนี้แหละ พอเอาชนะพญามารได้ ก็หยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ เห็นเป็นดวงสว่างใสบริสุทธิ์ และท่านก็ทำใจให้สบาย ๆ เข้ากลางนั้นต่อไปอีก คือทำใจให้มันหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนั้นอีก พอถูกส่วนเข้า ดวงปฐมมรรคอันนั้นน่ะ หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมเบื้องต้นนั้น ก็ขยายกว้างขึ้น เหมือนเราโยนก้อนหินลงไปในน้ำ เราจะสังเกตได้ว่ามีวงเกิดขึ้นมาแทนที่ วงเก่าก็ขยายกว้างออกไป วงใหม่ก็ขึ้นมาแทนที่ อันนี้ก็เช่นเดียวกัน ใจน่ะประดุจก้อนหินที่หย่อนลงไปในน้ำ พอหยุดถูกส่วนเข้า ดวงปฐมมรรคก็กว้างออกไป ถ้าอุปมาก็เหมือนประตูพระนิพพาน ก็เปิดออกเลย ก็กว้างออกไป พอกว้างออกไปจิตก็ดำเนินไปอีก จิตก็เข้าไปสู่ภายใน ละเอียดขึ้นไปตามลำดับ แล้วก็เดินผ่านตามขั้นตอนไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติวิมุตติญาณทัสสนะ ซึ่งละเอียดอ่อน ซ้อนกันไป อยู่ตามลำดับ เป็นไปตามลำดับอยู่ภายในตัว เป็นดวงที่ซ้อนกันอยู่ ดวงเหล่านี้มันมีอยู่ก่อน ไม่ใช่เราไปทำให้มันมีเกิดขึ้นมา 

 


                เมื่อจิตใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ ละเอียดอ่อนถูกส่วนเข้า ก็จะเข้าไปถึง ถึงดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เป็นดวงซ้อนกันอยู่ภายใน ซ้อนกันขึ้นมา เหมือนวงของน้ำที่กระจายออก เมื่อเราโยนก้อนหินลงไป ดังกล่าวแล้วนะ มันก็ซ้อนขึ้นมาอย่างนั้น ซ้อนยิ่งซ้อนกันมาก็ยิ่งบริสุทธิ์ขึ้น สะอาดขึ้น ผ่องใสขึ้น ซ้อนอยู่ที่เดิม แต่ความรู้สึกว่าเราเหมือนกับดื่มด่ำ ดื่มด่ำลงไปน่ะ ลึกลงไปเรื่อย ๆ เมื่อใจของเราดื่มด่ำลงไปน่ะ คล้าย ๆ กับเราหย่อนตัวลงไปในน้ำ มันลึกลงไป ความรู้สึกใจก็ขยายออกไปทางกว้าง คือกว้างออกไปเรื่อย พอกว้าง ความรู้สึกเบาถอยทางสูงก็เกิดขึ้นมา ก็เกิดขึ้นมา เราจะมีความรู้สึกว่าปลอดโปร่ง เบาสบาย และมีสุข มีสุขสดชื่นอยู่ในนั้น ในขณะเดียวกันก็มีความรู้ตัว ที่ดีกว่าปกติ

 


                ความรู้ตัวนี้เราเรียกมหาสติ และก็มีความรอบรู้ว่า เราควรจะวางใจยังไง สิ่งอะไรควรยึด สิ่งอะไรควรปล่อย อันนี้เค้าเรียกว่าปัญญา สติกับปัญญาก็จะเกิดขึ้น ในขณะที่เราหย่อนใจของเราเนี่ยเข้าไปสู่ภายใน ดื่มด่ำลึกซึ้งเข้าไปตามลำดับ จนกระทั่งเข้าไปเห็นกายในกาย เข้าไปเห็นกายในกายซึ่งเป็นชีวิตภายในที่ละเอียดอ่อน ลุ่มลึกประเสริฐกว่าชีวิตภายนอกขึ้นไปตามลำดับ เข้าถึงกายภายในเท่าไหร่ ยิ่งกายละเอียดเท่าไหร่ เรายิ่งมีสุขมากขึ้นสติก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นมหาสติ ปัญญาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นมหาปัญญา เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ กายต่าง ๆ ที่ซ้อนกันอยู่นั้นน่ะ ก็ได้แก่กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม แล้วก็ธรรมกายซ้อนกันเข้าไป อยู่ในกลางซึ่งกันและกัน 

 


                กายมนุษย์ละเอียดซ้อนอยู่ในกายมนุษย์หยาบ ที่เราอาศัยนั่งเข้าที่นี้ กายมนุษย์ละเอียดหรือกายฝัน หน้าตาเหมือนเจ้าของ ท่านหญิงเหมือนท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนท่านชายน่ะ ซ้อนอยู่ภายใน กายทิพย์ซึ่งเป็นกายของสุคติภูมิก็ซ้อนอยู่ในกลางของกายมนุษย์ละเอียด กายรูปพรหมซ้อนอยู่ในกลางของกายทิพย์ กายอรูปพรหมก็ซ้อนอยู่ในกลางของกายรูปพรหม กายธรรมโคตรภูก็ซ้อนอยู่ในกลางของกายอรูปพรหม กายธรรมพระโสดาก็ซ้อนอยู่ในกลางของกายธรรมโคตรภู กายธรรมพระสกิทาคาก็ซ้อนอยู่ในกลางของกายธรรมพระโสดา กายธรรมพระอนาคามีซ้อนอยู่ในกลางของกายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอรหัตก็ซ้อนอยู่ในกลางของกายธรรมพระอนาคามี แผนผังของชีวิตน่ะ ต้องเดินไปตามแนวนี้ กายต่าง ๆ จะซ้อนกันอยู่อย่างนี้แหละ เข้าไปตามลำดับ ละเอียดอ่อนลุ่มลึกขึ้นไปเรื่อย ๆ 

 


                ใจเราละเอียดไปถึงกายไหน เราก็ได้คุณสมบัติของกายนั้นมา ถ้าเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดก็ได้คุณสมบัติของกายมนุษย์ละเอียด เข้าถึงกายทิพย์ก็ได้คุณสมบัติของกายทิพย์ คือมีความรู้สึกความเป็นอยู่เป็นกายทิพย์ไปเลย ทิพย์มีความรู้สึกอย่างไง ความเป็นอยู่ยังไง เราก็จะรู้สึกอย่างนั้นแหละ เมื่อเข้าถึงกายพรหม พรหมรู้สึกอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น เมื่อเข้าถึงกายอรูปพรหม อรูปพรหมมีความรู้สึกความเป็นอยู่อย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น เมื่อเข้าถึงกายธรรมโคตร โคตรภูบุคคลเป็นอย่างไร เราก็มีความรู้สึกเป็นอย่างนั้น เมื่อเข้าถึงกายธรรมพระโสดา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระโสดา ความรู้สึกของกายธรรมพระโสดาเป็นอย่างไง ตัดสังโยชน์ได้แค่ไหน เราก็เป็นอย่างนั้น 

 


                เมื่อเข้าถึงกายธรรมพระสกิทาคามี เป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น ใจจะเป็นอย่างนั้น มีความรู้สึกความเป็นอยู่เป็นอย่างงั้นเมื่อเข้าถึงกายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอนาคามีเป็นอย่างไร เราก็เป็นยังงั้น เมื่อเข้าถึงกายธรรมอรหัต ความรู้สึกของกายธรรมอรหัตเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น ลุ่มลึกกันเข้าไปอย่างนี้นะ ไปตามลำดับ ทีนี้สำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ที่อยู่ภายใน ก็จะยังไม่ทราบว่ารสชาติของการที่เข้าถึงในแต่ละกายนั้นน่ะ มันแตกต่างกว่ากันอย่างไร มีสุขกว่ากันอย่างไร จนกว่าเราจะปฏิบัติได้เข้าถึงในสภาวะธรรมอันนั้น ประสบการณ์อันนั้นแหละจึงจะบอกกับตัวของเราเองได้ว่าเราเป็นอย่างนั้น แต่ว่าแผนผังของชีวิตทั้งหมดน่ะ มันซ้อนอยู่กันอย่างนี้แหละ ซ้อนกันเข้าไปตามลำดับ มีอยู่ในตัวของพวกเราทุก ๆ คนในโลก 

 


                จะเป็นชาติไหนภาษาไหน หรือนับถือศาสนาอะไรก็ตามเถิด ถ้าปฏิบัติจิตได้ถูกส่วนถูกต้องแล้วละก็ จะต้องเป็นอย่างนี้ อันนี้ก็จะเป็นเครื่องทดสอบการปฏิบัติธรรมของเราได้เป็นอย่างดี ที่เราเคยปฏิบัติจากตำรับตำรามั่ง หรือจากการได้ยินได้ฟังอะไรต่าง ๆ แล้วเราก็ลองมาเทียบเคียงกับประสบการณ์ที่ได้เรียนให้ท่านทั้งหลายทราบเมื่อสักครู่นี้นะ ถ้าตรงแนวนี้ก็เป็นอันว่าถูกต้องตามแผนผังของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าไม่ถูกตามแนวนี้มันก็เพี้ยนออกไป เพราะฉะนั้นคำว่าโคตรภูบุคคลก็ดี พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี พระอนาคาหรือพระอรหันต์ คำ ๆ นี้จะเกิดขึ้นได้น่ะ เมื่อเราเข้าถึง เมื่อเราเข้าไปถึงแล้วเนี่ย ไปรู้จักไปเห็นไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวแล้วน่ะ เราคือท่าน ท่านก็คือเราอย่างนั้น เมื่อเข้าถึงอย่างนี้ได้แล้วเนี่ย คำ ๆ นี้จึงจะเกิดขึ้นมา เพราะฉะนั้นคำนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ เข้าถึงแล้ว ยืนยันแล้ว เป็นอย่างนั้น จึงได้ชื่อนั้นออกมา

 


                เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายที่มาในวันนี้เนี่ย จึงนับว่าเป็นผู้มีบุญใหญ่มหาศาล ที่ถือเอาวันสำคัญในวันอาทิตย์ต้นเดือน เรามาประชุมพร้อมกัน นำเครื่องไทยธรรมมีดอกไม้ธูปเทียน อาหารหวานคาว เรารวมกันมาคนละเล็กละน้อย เพื่อจะมาประกอบพิธีบูชาข้าวพระ คือนำของละเอียดน่ะ ไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านดับขันธปรินิพพานนานมาแล้วนะ แต่ว่ามีพระธรรมกายปรากฏอยู่ในอายตนนิพพาน ที่เรายึดถือปฏิบัติกันต่อเนื่องมานานหลายสิบปีแล้ว ก็เพราะหวังบุญใหญ่ หวังกุศลใหญ่ และก่อนที่จะบูชาข้าวพระ ก็ได้ทราบแผนผังแนวทางของชีวิต ว่าเราจะต้องดำเนินจิตเข้าไปอย่างนี้ จึงจะเอาตัวรอดได้ จึงนับว่าเป็นผู้มีบุญลาภอันสูงยิ่ง 

 


                ดังนั้นก็ขอให้ใช้วาระโอกาสที่เป็นบุญลาภนี้ ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองให้ได้ โดยจะต้องปฏิบัติตัวของเราเนี่ย ให้เข้าถึงธรรมกายให้ได้ ถ้ายังไม่ถึงแล้ว ชีวิตก็ยังไม่ปลอดภัย ถ้าเข้าถึงได้แล้ว ก็ได้ชื่อว่าเราเป็นพุทธมามกะอย่างแท้จริง หรือเป็นอุบาสกอุบาสิกาอย่างแท้จริง ได้ชื่อว่าเราเข้าไปนั่งใกล้พระรัตนตรัย ไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย เป็นพุทธสาวกสาวิกาที่แท้จริง เพราะว่ามีธรรมกายปรากฏอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ติดเป็นอันหนึ่งอันเดียว มีสรณะมีที่พึ่งที่ระลึกอยู่ในตัวของเรา ชีวิตก็จะไม่ว้าเหว่ ไม่เหงา จะมีความสุขสดชื่นไปนับตั้งแต่วินาทีนี้ จนกระทั่งเราละโลก 

 


                ปีนี้เป็นปีแห่งการเริ่มต้นของการตรัสรู้ธรรม ต่อไปจะมีผู้ที่เข้าถึงธรรมกายกันมาก และก็จะเป็นผู้ที่จะทำหน้าที่ส่องแสงสว่างให้กับเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย โลกจะเกิดสันติสุข เกิดขึ้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนเนี่ยให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมกันให้ดี ก่อนที่เราจะได้บูชาข้าวพระ ขอให้ทุกคนได้พร้อมใจกันทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส เมื่อจิตใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสดีแล้ว จะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญกุศลกันต่อไป ขอให้ทุกคนนึกน้อมจิตตามเสียงของหลวงพ่อที่จะได้แนะนำกันต่อไปนะ ให้กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ เป็นดวงแก้วใสบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว โตเท่ากับแก้วตา กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ ให้เป็นเพชรลูกใสบริสุทธิ์ กลมรอบตัว โตเท่ากับแก้วตา กำหนดตั้งเอาไว้ที่ปากช่องจมูก ท่านหญิงข้างซ้าย ท่านชายข้างขวา นี่สำหรับผู้ที่มาใหม่นะ 

 


                ผู้ที่มาเก่าแล้วก็ให้เอาใจหยุดอยู่ที่ฐานที่ ๗ เลย สำหรับท่านที่เพิ่งจะมานะ ก็ให้นึกน้อมจิตตามเสียงหลวงพ่อไป กำหนดบริกรรมนิมิต ให้ใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา เอาไว้ที่ปากช่องจมูก ท่านหญิงอยู่ที่ปากช่องจมูกข้างซ้าย ท่านชายอยู่ด้านขวา ให้ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางความใสของบริกรรมนิมิต ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางความใสของบริกรรมนิมิต ที่ปากช่องจมูก ให้นึกคิดถึงบริกรรมนิมิตอย่างละเอียดอ่อน อย่างแผ่วเบา อย่างสบาย ๆ ด้วยใจที่เยือกเย็น นึกถึงความบริสุทธิ์ นึกอย่างสบาย ๆ พร้อมกับภาวนาในใจ ภาวนาว่าสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ๆ ตรึกนึกถึงความใส หยุดอยู่ในกลางความใส ของบริกรรมนิมิต

 


                คราวนี้เรานึกเลื่อนบริกรรมนิมิตเข้าไปในปากช่องจมูก ตามลมหายใจเข้าไป บริกรรมนิมิตก็จะค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปอย่างช้า ๆ เลื่อนขึ้นไปช้า ๆ แล้วก็ไปหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงหัวตาของเรา ท่านหญิงอยู่ที่หัวตาข้างซ้าย ท่านชายอยู่ที่หัวตาข้างขวา ตรึกนึกถึงความใส หยุดอยู่ในกลางความใส พร้อมกับภาวนาในใจ สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ภาวนาในใจเบา ๆ พอสบาย ๆ พร้อมกับนึกคิดถึงดวงแก้วใสบริสุทธิ์ ของเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมวโตเท่ากับแก้วตาของเราน่ะ ให้นึกคิดอย่างละเอียดอ่อน อย่างสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่ง และก็ให้มันต่อเนื่องกันไปอย่าให้ขาดตอน 

 


                คราวนี้เราก็นึกเลื่อนบริกรรมนิมิตไต่ขึ้นไปตามหน้าผาก ขึ้นไปช้า ๆ ไปที่กระโหลกศีรษะ แล้วก็เลื่อนลงมาที่กลางกระโหลกศีรษะในระดับเดียวกับหัวตาของเรา ไปหยุดนิ่งอยู่ในระดับเดียวกับหัวตา แต่อยู่ภายในกระโหลกศีรษะ เราจะต้องสมมติว่ากระโหลกศีรษะเป็นโพรงปราศจากมันสมอง ไม่มีมันสมอง เป็นโพรง เป็นที่โล่งว่าง ๆ ว่าง ๆ เหมือนท้องฟ้าอย่างนั้นน่ะ แล้วก็มีบริกรรมนิมิตใสบริสุทธิ์ หยุดนิ่งอยู่ที่กลางกั๊กศีรษะ ในระดับเดียวกับหัวตาของเรา หยุดนิ่งอยู่ในกลางกั๊กศีรษะในระดับเดียวกับหัวตาของเรา เราจะต้องไม่เผลอจากการนึกคิดถึงดวงแก้ว ถึงเพชรเม็ดนั้นน่ะ ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางความใสของบริกรรมนิมิต พร้อมกับภาวนาในใจ ภาวนาว่าสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ๆ 

 


                พอใจสบายดีแล้ว ก็ค่อย ๆ นึกเลื่อนลงมาอีก อย่างช้า ๆ ลอยลงมาอย่างช้า ๆ ลงมาหยุดนิ่งอยู่ที่เพดานปาก เราก็ตรึกนึกถึงความใสหยุดอยู่ในกลางความใสของบริกรรมนิมิต ดวงแก้วดวงนั้นนะ เพชรเม็ดนั้นน่ะ ตรึกนึกถึงความใส หยุดอยู่ในกลางดวงใส อย่าให้คาดจากใจของเราไป ดวงใสดวงนี้แหละ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต จะนำจิตของเราให้ไปหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกาย แล้วเข้าถึงธรรมกาย เพราะฉะนั้นเราจะต้องนึกถึงดวงใสดวงนี้เอาไว้ให้ดีนะ พยายามประคับประคองให้ดี ตรงเพดานปากตรงนั้นนะ อย่าให้คาดจากใจ พร้อมกับภาวนา สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ๆ 

 


                เมื่อใจสบายดีแล้ว เราก็ค่อย ๆ เลื่อนต่อลงมาอีก อย่างช้า ๆ ใช้ใจเราประคองนิมิตดวงนั้นน่ะ ช้า ๆ ลงมาหยุดอยู่ที่ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก ลงมาหยุดอยู่ที่ปากช่องคอเหนือลูกกระเดือก ใจเราจะต้องตรึกนึกถึงความใส หยุดอยู่ในกลางความใสของบริกรรมนิมิต เพชรเม็ดนั้นนะ ประคองให้ดีทีเดียว พร้อมกับภาวนาในใจสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ถ้าเราภาวนาถูกส่วนจะมีความรู้สึกมันสบาย ใจปลอดโปร่ง โล่งไปหมดทีเดียวนะ คราวนี้เรานึกเลื่อนต่อลงมาอีกอย่างช้า ๆ ประคองเอาใจประคองดวงแก้วให้ดีนะ บริกรรมนิมิตนี้ให้ดี เลื่อนลงมาช้า ๆ เข้าไปในลำคอ เข้าไปในลำตัวของเราน่ะ ซึ่งเราสมมติว่าเป็นโพรง เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง ปราศจากอวัยวะภายใน โล่งเหมือนท้องฟ้านะ 

 


                เราก็ประคองต่อลงไป ลงไปช้า ๆ ให้ใจเราเนี่ยะ กับบริกรรมนิมิตเป็นอันเดียวกัน ไม่ใช่ลักษณะที่เรามองของในที่ไกล ๆ ไม่ใช่เรามองดูรถวิ่ง แต่ต้องทำเหมือนเรานั่งในรถ ให้ใจเรากับบริกรรมนิมิตน่ะ เป็นอันเดียวกัน เป็นอันหนึ่งเดียวเลื่อนลงไปช้า ๆ ตรงนี้สำคัญนะ ถ้าใครทำอย่างที่หลวงพ่อแนะนำได้ ๕ นาทีเท่านั้นถึงธรรมกายเลย แต่ถ้ามองดูเฉย ๆ มันก็นานหน่อย เรามองดูรถวิ่งนั่นนะ รถมันวิ่งไปน่ะ เราเห็นที่หมายลิบ ๆ แต่ถ้าเรานั่งรถนี่เราไปกับรถด้วยนะ มันไปถึงที่หมายพร้อมกัน อันนี้ก็เหมือนกันเลื่อนช้า ๆ กระทั่งไปหยุดนิ่ง อยู่ในกลางท้องของเราในระดับเดียวกับสะดือ 

 


                ทีนี้เราจะทราบได้อย่างไร ระดับเดียวกับสะดือ ก็ต้องสมมติขึงเส้นเชือกขึ้นมาสองเส้น เส้นหนึ่งขึงจากสะดือทะลุไปด้านหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย เส้นเชือกทั้งสองจะตัดกันเป็นกากบาท และก็ตรงจุดตัดของเส้นเชือกทั้งสอง เพชรเม็ดนั้นน่ะ บริกรรมนิมิตจะอยู่ที่ตรงนี้ จะอยู่ที่ตรงนี้แหละ เราต้องประคองให้ดีนะ อย่าลืม ต้องตรึกนึกถึงความใส หยุดอยู่ในกลางความใสบริสุทธิ์ของเพชรเม็ดนี้นะ ประคองกันไว้ให้ดีทีเดียว อย่าให้คาดจากใจ เพชรเม็ดนี้แหละ บริกรรมนิมิตดวงนี้แหละ จะนำใจของเราให้เข้าถึงสันติสุขภายใน เข้าถึงความสุขอันเป็นอมตะ พ้นจากทุกข์ทั้งหลาย มีความสุขที่ไม่มีอะไรเปรียบปานได้ ประคองให้ดีนะ 

 


                ตรึกนึกถึงความใส หยุดอยู่ในกลางความใสของบริกรรมนิมิต พร้อมกับภาวนาในใจ ให้ ทีนี้ให้เสียงของคำภาวนา จำให้ดีนะ ให้เสียงของคำภาวนา ดังออกมาจาก จุดกึ่งกลางของบริกรรมนิมิต คือแทนที่จะดังจากที่อื่นลอย ๆ น่ะ ให้เสียงนั้นดังจากจุดกึ่งกลางของบริกรรมนิมิต ดังจากตรงนี้นะ สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ให้สังเกตนะว่า ที่เราภาวนานะ มันดังที่สมองหรือดังในท้อง ถ้าดังที่สมองก็ยังใช้ไม่ได้ ถ้าดังออกมาจากในท้องในกลางบริกรรมนิมิต ใช้ได้ทีเดียว อย่างนี้ล่ะก็ ไม่ช้า ไม่เกิน ๕ หรือ ๑๐ นาที เดี๋ยวถึงแล้ว ถึงฝั่งของธรรมะ สังเกตให้ดีนะ ท่านที่มาใหม่

 


                 ท่านที่มาเก่าแล้ว ท่านเข้าใจดีนะ ท่านคล่องมาหมดแล้ว เก่งกันทุกคนแล้ว แต่ท่านที่มาใหม่ให้ทำตามที่หลวงพ่อแนะนำนะ เนี่ยสังเกตดูว่าเสียงมันดังออกมาจากในท้องหรือดังที่สมอง ถ้าดังที่สมองยังใช้ไม่ได้ เดี๋ยวมันเครียด ถ้าดังในท้องละก็ เดี๋ยวก็ใสบริสุทธิ์ จะถึงที่หมาย เอ้าสังเกตกันให้ดีทุกคน สัมมาอะระหัง ๆ ๆ สังเกตดูว่าเราตรึกนึกถึงดวงใสตลอดเวลาไหม หยุดอยู่ในกลางดวงใสหรือเปล่า หรือพอเผลอประเดี๋ยวเดียวแวบไปถึงบ้านอีกแล้ว แวบไปที่ทำงานอีกแล้ว ให้สังเกตให้ดีนะ ถ้าสังเกตดีแล้วเราจะรู้ตัวของเราเลยว่า อ้อมันอยู่ที่ตรงนี้แหละ ใสบริสุทธิ์ ไม่เผลอเลยตอนเนี้ย จะเป็นหรือไม่เป็นอยู่ที่ตรงเนี้ย จะต้องไม่เผลอจากบริกรรมทั้งสอง ให้สัมมาอะระหังดังจากในท้องและใจเราก็ต้องประคองเห็นดวงใส 

 


                คราวนี้เราเลื่อนบริกรรมนิมิต ถอยหลังขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เลื่อนถอยหลังขึ้นมา ๒ นิ้วมือนะ ช้า ๆ ประคองให้ดี ประดุจว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และความจริงก็เป็นอย่างนั้นแหละ ดวงนี้จะติดตัวเราไปในภพเบื้องหน้าได้ แต่สมบัติในโลกนี้เนี่ย เอาอะไรไปไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว แต่ดวงใสดวงนี้แหละมันจะติดกับใจเราไปติดไปได้ทุกหนทุกแห่ง และติดไปเป็นเพื่อนตายซะด้วย ไปเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง และก็เป็นที่ระลึก ติดไปอย่างนั้นน่ะ สมบัติอื่นเอาไปไม่ได้เลย แต่ตรงนี้จะเอาไปได้ เพราะฉะนั้นจะต้องประคองเอาไว้ให้ดีที่สุด ประคองให้ดีนะประคองให้อยู่เหนือจากจุดตัดขึ้นมา ๒ นิ้วมือน่ะ สังเกตให้ดีว่าใจเราเผลอจากดวงใสรึเปล่า หรือพอเผลอแวบนิดเดียวไปบ้านอีกแล้ว 

 


                ถ้าไปแล้วดึงกลับมาใหม่ มาเริ่มต้นใหม่อย่างง่าย ๆ อยู่ที่ตรงนี้นะ ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางความใสบริสุทธิ์ จะสังเกตได้ว่าหลวงพ่อพยายามพูดเกี่ยวกับความใส และก็กลางความใส พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกนะ ก็เพื่อจะไม่ให้ใจน่ะมันแวบไปที่อื่น และต้องการให้ใจเนี่ยนึกถึงความใส ถ้าเรานึกถึงความใสมันก็ใส ใจเนี่ยเป็นของแปลก ๆ มันเหมือนห้องว่าง ๆ อย่างนี้แหละถ้าเราจะทาสีขาว มันก็เป็นสีขาวทั้งบ้าน ทั้งห้อง ถ้าจะทาให้มันสีดำ มันก็เป็นสีดำทั้งบ้าน ทั้งห้อง เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่เราแหละ จะทาบ้านเป็นสีอะไร ใจเหมือนกัน เรานึกถึงความใสมันก็จะใส ถ้าเรานึกว่ามันมืดมันก็มืด จะนึกว่ามันสว่างมันก็สว่างน่ะ สำเร็จด้วยใจ ยิ่งเรานึกถึงความใสบริสุทธิ์เท่าไหร่ ใจก็จะยิ่งบริสุทธิ์ไป ตามความใสของสิ่งที่เรานึก

 

                เพราะฉะนั้นนี่สำคัญนะ ต้องประคองกันไว้ให้ดี อย่าดูเบากัน อย่านึกว่ามันง่าย ๆ มันดูเหมือนง่าย แต่เวลาทำจริง ๆ แล้วมันไม่ค่อยง่าย เนี่ยตรึกนึกถึงความใส หยุดอยู่ในกลางความใสของบริกรรมนิมิตพร้อมกับภาวนาในใจ ให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากจุดกึ่งกลางของบริกรรมนิมิต มันดังออกมาจากในท้องตรงนั้นนะ ไม่ใช่ดังที่สมอง สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางความใสของบริกรรมนิมิตพร้อมกับภาวนาในใจ ให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากจุดกึ่งกลางของบริกรรมนิมิต มันดังออกมาจากในท้องตรงนั้นนะ ไม่ใช่ดังที่สมอง สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางความใสของบริกรรมนิมิต นี่ประคองให้ดีนะ ตรงนี้ล่ะหัวเลี้ยวหัวต่อถ้าใครทำได้ ไม่ช้าก็จะเข้าถึงปฐมมรรค และต่อไปก็จะถึงธรรมกายอย่างง่ายดายทีเดียว 
        


                เพราะฉะนั้นอย่าดูเบาเทคนิคอย่างนี้ วิธีการอย่างนี้เนี่ยเค้าไม่สอนกัน เค้าพยายามปิดบังอำพรางกันไปทีเดียว แต่หลวงพ่อธัมมะต้องแนะนำต้องสอน เพราะว่ารักพวกเราจริง ๆ มีความปรารถนาดีกับพวกเราทุก ๆ คน อยากจะให้เข้าถึงธรรมกาย เพราะว่าถึงธรรมกายเมื่อไหร่เป็นสุขเมื่อนั้นน่ะ สุขที่เงินซื้อไม่ได้ สุขที่หาอะไรมาเปรียบปานไม่ได้แล้วสุขไปนับตั้งแต่วินาทีที่เข้าถึง จนกระทั่งตาย แล้วก็ต่อไปอีก ตายแล้วก็ไปมีสุข สุขอยู่ในสวรรค์ เกิดมาใหม่มาเป็นมนุษย์สร้างบารมี ยังมีสุขต่อไปอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างเนี้ยะ ทุกภพทุกชาติกระทั่งเข้าสู่พระนิพพานเนี่ย ตลอดระยะเวลาอันยาวนานเนี่ย จะมีสุขไปตลอดเลย ถ้าได้ตรงนี้ จำไว้ให้ดีนะ อย่าลืมตาสิจ๊ะ นั่งหลับตาให้ดีเนี่ย ต้องหยุดอยู่ที่ตรงนี้เนี่ย ตรงนี้สำคัญที่สุดทีเดียว จำไว้ให้ดีนะ 

 


                ถ้าเราได้ตรงนี้ แล้วก็ได้ตอนนี้ เราจะมีสุขตั้งแต่วินาทีนี้เรื่อยไปทุกภพทุกชาติ กระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน จะมีสมบัติอะไรในโลก ก็ลองนึกพิจารณาดู ที่จะให้ความสุขอันยาวนานได้ขนาดนี้ ตั้งแต่วินาทีนี้เรื่อยไปกระทั่งตาย จนกระทั่งตายแล้วก็ยังมีสุข กลับมาเกิดใหม่ก็มีสุข จนกระทั่งไม่ต้องมาเกิดอีกก็มีสุขไปเรื่อย ๆ มีวิชาอะไรในโลก มีสมบัติอะไรในโลกบ้างที่ให้ความสุขยั่งยืนและยาวนานอย่างนี้ เพราะฉะนั้นไม่มีเลยน่ะ จะมีครอบครัวที่อบอุ่นแค่ไหน สมบัติมากแค่ไหน จะมียศฐาบรรดาศักดิ์สูงแค่ไหนก็ตาม จะมีคนสรรเสริญเยินยอยกย่องแค่ไหนก็ตามนะ มันก็สุขประเดี๋ยวประด๋าว เดี๋ยวมันก็ทุกข์อีก มันชั่วคราวเท่านั้น แต่สุขตรงนี้แหละ แล้วก็ตอนนี้แหละ จะยั่งยืนกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน นี่มันคุ้มกับที่เราจะลงทุนจริง ๆ 

 


                ลงทุนนั่งกันทุกวัน และก็ทำตรงนี้ให้ได้ ถ้าได้ตรงเนี้ยแล้วเดี๋ยวสุขไปตลอด นี่ให้เข้าใจทุก ๆ คนนะ คนอื่นเค้าไม่สอนกันอย่างนี้หรอก เค้าไม่แนะเทคนิค เค้ากลัวจะได้ธรรมะกัน เค้าก็ปิด ๆ บัง ๆ แต่หลวงพ่อธัมมะไม่ปิดบัง จะต้องเอาไปให้หมด ขนไปให้หมด ไปสู่พระนิพพานให้หมด ให้มีสุขกันตอนเนี้ยและเดี๋ยวนี้เนี่ย ขอให้ทุกคนร่วมมือกับหลวงพ่อเท่านั้นเอง เป็นต้องเข้าถึงกันทุก ๆ คน ปีนี้เป็นปีเริ่มต้นแห่งการตรัสรู้ธรรม ถ้าใครเอาจริงเอาจัง จะต้องตรัสรู้ธรรมอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจำเอาไว้ให้ดีนะ ตรึกนึกถึงดวงใสอย่างสบาย ๆ จำทุกคำนะ สบาย ๆ น่ะ ตรึกนึกถึงดวงใสอยู่ที่ตรงฐานที่ ๗ อย่างสบาย ๆ อย่างละเอียดอ่อน 

 


                สบายหรือไม่สบายก็สังเกต ถ้ามันเครียดก็ไม่สบาย ถ้าสบายแล้วมันไม่เครียด มันจะสบายคล้าย ๆ กับเรานึกถึงเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่ง แล้วต้องหยุดอยู่ในกลางดวงใส ของบริกรรมนิมิตตรงนี้นะ พร้อมกับภาวนาสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ให้เสียงดังออกมาจากในกลางท้อง ไม่ใช่ที่สมอง ดังจากที่ตรงนั้น ทีนี้เราจะภาวนาไปเท่าไหร่จึงจะพอ ก็ต้องเอาใจเราเป็นเกณฑ์ ถ้าใจเรามีความรู้สึกว่าพอแล้ว ไม่อยากจะภาวนาต่อแล้ว อยากจะอยู่เฉย ๆ นึกถึงแต่ดวงใสอย่างเดียว ถ้าใจคิดอย่างนี้ เอาใจเราเป็นเกณฑ์ ถ้าใจบอกพอไม่อยากภาวนาต่อ ก็ไม่ต้องภาวนา จำให้ดีนะ ถ้าใจบอกว่าพอ ทีนี้คำใจบอกว่าพอเนี่ย เราสังเกตดู มันมีอยู่ ๒ กรณี คือกรณีที่ ๑ เนี่ย ภาวนาไปเรื่อย ๆ พอถูกส่วนเข้า คำภาวนามันหายไป เหลือแต่ดวงใสบริสุทธิ์ 

 


                ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่ต้องมาภาวนาต่อนะ ให้กำหนดดวงใสต่อไป หรือเมื่อภาวนาไปแล้วเนี่ยมันเบื่อ ไม่อยากจะภาวนา มีความรู้สึกว่ามันรำคาญ สู้กำหนดเฉย ๆ อย่างนี้สบายกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต้องภาวนา จำให้ดีนะ ทุกขั้นตอนถ้าทำตามขั้นตอนที่หลวงพ่อแนะนำอย่างนี้แล้วล่ะก็ ไม่นานเท่าไหร่หรอก เราจะต้องเข้าถึงธรรมกันอย่างแน่นอน เอาล่ะต่อจากนี้ไป เมื่อทุกคนเข้าใจดีแล้ว ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม จึงขอให้ทุกคนตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางความใสของบริกรรมนิมิต พร้อมกับภาวนาในใจ สัมมาอะระหัง ๆ ๆ นั่งกันไปเงียบๆ นะ ทุก ๆ คน อย่าลืมตา อย่าพูดอย่าคุยกันนะจ๊ะ เราจะได้ตักตวงบุญกันให้เต็มที่

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0018554170926412 Mins