เวลาธรรมกาย
๔ พฤษภาคม ๒๕๔๐
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
ต่อจากนี้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพานนะจ๊ะ นั่งขัดสมาส เอาขาขวาทับขาซ้ายมือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอเปลือกตาปิดสนิท อย่าไปบีบหัวตา อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับให้สบาย คล้าย ๆ กับเรานอนหลับนะจ๊ะ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย ให้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายเราผ่อนคลายให้หมดนะจ๊ะ กล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ เปลือกตา หัวคิ้ว ทั้งศีรษะหมด เลย คอ บ่าไหล่ แขนทั้งสอง ถึงปลายนิ้วมือ ให้ผ่อนคลายให้หมด ลำตัวของเรา ขาทั้งสอง ถึงปลายนิ้วเท้า ผ่อนคลาย ทั้งหมดผ่อนคลายหมดเลยนะจ๊ะ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ผ่องใส อย่าให้มีเครื่องกังวลใจใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ทำประหนึ่งว่าเราอยู่คนเดียวในโลก ไม่เคยมีภารกิจมาก่อนน่ะ ต้องทำอย่างนี้นะจ๊ะ ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้ใจว่างเปล่าจากเครื่องกังวลทั้งหมดเลย หมดเลย รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดว่าทำอย่างไร ใจถึงจะหยุด จะนิ่ง จะสงบ ก็ไม่ต้องคิดทั้งนั้นน่ะ ให้ใจว่าง ๆ นิ่ง ๆ เหมือนไม่เคยเจอความคิดมาก่อนเลยนะจ๊ะ แล้วก็ทำใจให้แช่มชื่น ว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นความดี เราได้ทำตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทำตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว สิ่งนี้เป็นความดี และก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะชีวิตมนุษย์นั้น พื้นฐานพื้นเพของชีวิตนั้นมีแต่ความทุกข์ทรมาน ทรมานซะจนกระทั่งเราเกิดความเคยชิน ถือเป็นปกติก็มี เป็นความทุกข์อยู่ในระดับที่เราชินชาก็มี เป็นความทุกข์ในระดับที่เราทนไม่ได้ก็มี แต่ล้วนแต่เป็นความทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์ที่ติดตัวเรามา จนกระทั่งทุกข์ที่มาเจอใหม่น่ะ มันจรมาเจอ
แต่รวมทั้งหมดแล้ว ชีวิตมีพื้นเพคือความทุกข์ทรมาน ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ชั้นไหนก็ตาม เป็นมนุษย์ชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูง ทุกระดับล้วนมีความทุกข์หมดทั้งสิ้น แม้ว่าจะมีความแตกต่างหลากหลายในการประกอบอาชีพก็ตาม แต่ล้วนแต่มีความทุกข์ทั้งหมด ไม่มีใครเว้นเลยแม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อพื้นเพชีวิตของเราเนี่ยมีความทุกข์ กิจที่เรากำลังจะทำนี้ คือกิจที่เราจะมุ่งดับทุกข์ คือให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานที่มีอยู่ ถ้าเมื่อไหร่นี่เราเข้าใจ และกล้าหาญพอที่จะหันกลับมาดูตัวเราเอง จนกระทั่งแจ่มแจ้ง ว่าเรานี่ ชีวิตเรานี่มีทุกข์จริง ๆ แล้วสืบไปเถอะ ไอ้ต้นเหตุของความทุกข์นะ ล้วนมาจากความทะยานอยากทั้งสิ้น มาสุดที่ความอยากทั้งหมดเลย ว่าอยากเนี่ยเป็นรากเหง้าของความทุกข์ทรมาน ยกตัวอย่าง อิณัง ทุกขัง โลเก ความเป็นหนี้เป็นทุกข์อย่างหนึ่งในโลก หนี้เนี่ยะ มันมาหลายทาง ยกตัวอย่างซะทางหนึ่ง มันเกิดขึ้นได้หลาย ๆ วิธี แต่เอาซะวิถีทางหนึ่ง หนี้ที่เกิดก็เพราะเราไปกู้เขา ไอ้กู้เขาก็เพราะว่าเราอยากรวย เห็นไม๊จ๊ะมันมาสุดที่อยากรวยน่ะ
พออยากรวยเนี่ย ก็ต้องระดมทุนหาทุนกัน ทุนไม่ใช่ว่า พอเดินออกจากบ้านหรือลืมตามันมากองอยู่หน้าเตียงเราเมื่อไหร่ มันก็มีเงื่อนไขในการแสวงหาทุน เมื่อเราไม่มี ก็ต้องไปหาให้มันมี ไอ้สิ่งที่จะหาให้มันมี มันก็มีเงื่อนไขของมัน แล้วนั่นมันก็ก่อให้เกิดหนี้ ถ้าเราประสบความสำเร็จในธุรกิจการงานได้ดังใจ มันก็ไม่เป็นทุกข์เพราะเราสามารถใช้ได้ ใช้คืนเขาได้ แต่ถ้าหากว่ามันไม่ได้ดังใจน่ะ เราเกิดเพลี้ยงพล้ำกันขึ้นมา ในสถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม ความทุกข์มันก็เกิด เพราะฉะนั้นสาวไปดูเนี่ยในที่สุดมันก็ไปจบเอาตรงที่ อยากรวย เนี่ยยกตัวอย่างนะจ๊ะ
เพราะฉะนั้นนี่ถ้าหากเราเข้าใจว่าชีวิตพื้นเพนั้นมันเป็นทุกข์ ทุกข์มาจากความอยาก อยากทั้งสิ้น เกิดขึ้นมานะ เราจะดับได้อย่างไรน่ะ ท่านบอกว่าต้องหยุด หยุดความอยากนั้นซะ คือใจที่มันฟุ้งซ่านไปน่ะ เอามาหยุดไว้ให้อยู่กับที่ หยุดคือทำเฉย ๆ น่ะ ให้นิ่ง ๆ เอาใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวของเราน่ะ มาสู่ที่ตั้งดั้งเดิมของใจน่ะ ที่เค้าเรียกว่าปริมณฑลของใจน่ะ เอานำกลับเข้ามา ให้มาอยู่นิ่ง ๆ พอใจกลับเข้าที่ตั้งดั้งเดิมในปริมณฑล ก็จะเกิดความอัศจรรย์ขึ้นมาทีเดียว คือมันจะค่อย ๆ ตกตะกอน แล้วก็ค่อย ๆ ใสขึ้น บริสุทธิ์ข บริสุทธิ์ในระดับที่สามารถเห็นความบริสุทธิ์เกิดขึ้นมาได้ ความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นมาได้ในครั้งแรก มันไม่ได้มากมายก่ายกองน่ะ มันเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ของความบริสุทธิ์ เล็กขนาดปลายเข็ม เล็กขนาดดวงดาวในอากาศ น่ะความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นตรงที่ใจหยุดนิ่ง และตะกอนของใจน่ะที่ขุ่น ๆ มันตกตะกอน มันก็ใสขึ้นมา มีปริมาณแห่งความบริสุทธิ์เพียงนิดเดียวน่ะ จุดเล็ก ๆ
ถ้าเราอยู่กับความบริสุทธิ์นี้ไปนาน ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ อย่าไปอยู่ที่อื่น อย่าไปอยู่กับคน กับสัตว์กับสิ่งของ หรือเหตุการณ์อะไรต่าง ๆ ที่ผ่านมาแล้วก็ดี หรือยังมาไม่ถึงในอนาคตก็ดีอยู่กับความบริสุทธิ์ที่มีเพียงน้อยนิด เล็กเท่ากับปลายเข็ม หรือดวงดาวในอากาศนั้นน่ะ อยู่ตรงนั้นแหละ อยู่ให้นิ่ง ๆ เฉย โดยไม่ต้องคิดอะไรนะจ๊ะ ในไม่ช้าความบริสุทธิ์ก็จะเพิ่มพูนขึ้น คือมันจะโตขึ้นมาขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ที่ปราศจากหมู่เมฆเห็นกลมใส กลมรอบตัวทีเดียว ที่เราเคยมองเห็นด้วยตาเปล่าบนท้องฟ้าน่ะ เมื่อเราอยู่กับความบริสุทธิ์นี้ต่อไป มันก็จะโตขึ้นขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ความบริสุทธิ์นี้เนี่ยะ ทำให้ใจเรามีคุณภาพ สิ่งที่เป็นมลทินของใจ หรือเป็นอุปสรรคต่อความสุขกายสบายใจ มันถูกขจัดให้หายไป
เพราะฉะนั้นทันทีที่ความบริสุทธิ์ปรากฏเกิดขึ้นมา เป็นดวงใส ๆ กลมรอบตัว ความบริสุทธิ์นี้ก็จะนำมาซึ่งความสุขกายสุขใจอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อนเลย โดยตอนแรก ๆ เนี่ย ใจมันจะโล่งก่อน ที่เราเรียกว่าโล่งใจน่ะ คือมันปลอดจากความคิดทั้งมวล มาอยู่ในที่ไม่มีความคิด พอมันโล่ง มันก็โปร่งหนักขึ้นไป เบา ตัวจะเบา เหมือนจะเหาะจะลอยได้ เบาบาง นุ่มเนียนทีเดียว คล้ายกับกลืนไปกับบรรยากาศ แล้วมันจะขยายออกไปน่ะ ขยายออกไปไม่มีที่สิ้นสุดเลย จนกระทั่งไม่มีความรู้สึกว่ามีท้องฟ้า ขยายออกไปน่ะ ความสุขก็เกิดขึ้น เบาสบาย เบาสบายในระดับที่เรายอมรับว่า นี่คือความเบาสบาย นี่คือความสุขที่เราอยากได้ และไม่เคยเจอมาก่อนเลยเนี่ย อยากได้ความสุขจังเลยเนี่ยะ ไปเที่ยวแสวงหาตามชายทะเลมั่ง ตามป่าตามเขา ต่างประเทศมั่ง ร้านเพชรมั่ง ร้านอะไรต่าง ๆ ร้านอาหารตามเหลา ไปกิน ไปดื่ม ไปดม ไปดูไปเดิน ไปเที่ยว มันก็ไม่ได้เจอความรู้สึกชนิดนี้เลย แต่ว่าเมื่อความบริสุทธิ์เกิดขึ้นในยามที่ใจนิ่ง ทิ้งความคิดทั้งมวล อยู่ในแหล่งของที่ สถานที่ที่ปลอดความคิด ปลอดความกังวล ความสุขชนิดนี้ก็เกิดขึ้น ใสบริสุทธิ์ทีเดียวนะจ๊ะ ใสขนาดไหน ตั้งแต่ใสน้อย ๆ เหมือนน้ำที่นิ่ง ๆ ใส ๆ กระทั่งใสเหมือนกับน้ำแข็งใส ๆ เหมือนกระจกที่ส่องเงาหน้า เหมือนเพชร แต่เพชรในที่นี้ในกลางนี้น่ะ ที่เราเห็นนี่ มันเป็นเพชรที่ดูดตา
ต่างจากเพชรทางโลกที่มันดีดตา มันผลักลูกนัยน์ตาออกไปน่ะ เพราะมันระคายเคือง แต่นี่มันใส แต่ว่ามันดูดตา มาพร้อมกับความเย็น ชุ่มฉ่ำใจน่ะ ใสขนาดนั้นน่ะ จนกระทั่งใสเกินใส คือไม่มีความใสใด ๆ ในโลกน่ะจะเอามาเป็นตัวอย่าง เปรียบเทียบกับความใส ที่ใสเกินใสในระดับที่ใจเราหยุดนิ่งสนิทกับความบริสุทธิ์ชนิดนี้นะจ๊ะ แล้วมันก็จะใสบริสุทธิ์ผุดผ่องทีเดียว บังเกิดขึ้น นี่แหละคือความบริสุทธิ์เบื้องต้นที่จะนำใจของเราเนี่ยไปสู่ความบริสุทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้น ยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลุดพ้นจากความไม่บริสุทธิ์ แล้วเข้าไปถึงจุดที่บริสุทธิ์อันสูงสุด จนกระทั่งความบริสุทธิ์นั้นน่ะ ประกอบเกิดขึ้นเป็นกาย ความบริสุทธิ์ทั้งมวลประกอบเอามาต่อ ๆ กัน อัดแน่นรวมกันเกิดขึ้นเป็นกายที่สวยงามทั้งลักษณะ สวยงามทั้งความใส เพียบพร้อมไปด้วยความสุขบริบูรณ์ กายที่ประกอบไปด้วยความบริสุทธิ์อันนี้เนี่ย เค้าเรียกว่าธรรมกาย ธรรมแปลว่าความบริสุทธิ์ผุดผ่องทีเดียว กายที่ประกอบไปด้วยความบริสุทธิ์ทั้งหมด เรียกว่าธรรมกาย เมื่อมาถึงระดับ ณ จุดตรงนี้แล้วน่ะ อายตนนิพพานซึ่งเป็นสถานที่มีความบริสุทธิ์ล้วน ๆ ก็จะดึงดูดธรรมกายไปสิ่งสถิตอยู่ ณ ที่นั้น
เพราะฉะนั้นนี่คือหนทางแห่งความบริสุทธิ์ ที่เรากำลังจะทำกันอยู่ในวันนี้นะจ๊ะ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นกิจที่สำคัญยิ่งสำหรับชีวิตมนุษย์ เป็นสิ่งที่เราไม่ควรจะละเลย ควรจะให้ความสำคัญอยู่ตลอดเวลา เกิดมาถ้าเข้าไม่ถึงธรรมกาย เกิดมาชาตินั้นก็ตายฟรี พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่าโมฆะบุรุษ คำว่าบุรุษที่นี้ไม่ใช่หมายถึงเพศชายอย่างเดียว หมายถึงทุกเพศ ว่าเป็นผู้ที่ว่างเปล่า ไร้แก่นสาร คล้ายต้นกล้วยที่ไม่มีแก่นน่ะ มันต้องมีแก่นของกาย แก่นของใจ ต้องเข้าถึงแก่น คือกายที่ประกอบไปด้วยความบริสุทธิ์ล้วน ๆ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ขันธ์ ก็แปลว่ากอง กอง เป็นกอง เป็นดวง ทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ มาต่ออัดแน่นเป็นกาย เรียกว่าธรรมกาย
เพราะฉะนั้นท่านที่มาใหม่ จำตรงนี้เอาไว้นะจ๊ะ ว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ดังนั้นเราจะละเลยสิ่งนี้ไม่ได้ลูกหลายคนที่อยู่ต่างประเทศในยามนี้ ได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ทั้ง ๆ ที่เวลาในต่างแดน แตกต่างเวลาในที่นี่ ในขณะนี้ที่นี่สิบโมงกว่า แต่ต่างแดนบางแห่งนั่นน่ะ ตีสองก็มี ตีสามก็มีน่ะ ได้ตื่นขึ้นมาที่จะทำความเพียรทำภาวนา นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ ทำถูกต้องแล้วนะลูกนะ ที่อยู่ต่างแดนนั้นน่ะให้ดีใจไว้เถอะ เราตื่นมาตอนดึกเพื่อมาทำภาวนาในเวลาธรรมกาย แม้เราจะสูญเสียการนอนหลับพักผ่อนในชีวิตประจำวัน แต่เราจะได้สิ่งที่ดีงามเป็นเครื่องตอบแทน เสียสิ่งนี้ แต่จะไปได้สิ่งโน้น เสียสิ่งที่หยาบกว่า แต่จะได้สิ่งปราณีตกว่า ทั้งสุขเล็กน้อยจากการหลับนอน แต่จะได้สุขที่ยิ่งใหญ่จากการเข้าถึงธรรมนะลูกนะ
เพราะฉะนั้นที่อยู่ต่างแดนให้ดีใจเถอะ ว่าตัดสินใจทำอย่างนี้ถูกต้องแล้ว ให้มีความปีติ มีความภาคภูมิใจ แล้วตั้งใจปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมให้ได้ โดยเฉพาะที่ฝรั่งเศสก็ดี ในเยอรมันก็ดี เวลามันต่างกันมากในเยอรมันนี่ยังมีลูกหลวงพ่ออยู่คนหนึ่ง ตอนนี้อายุ ๙ ขวบ ผ่าตัดอยู่โรงพยาบาล ผ้าตัดไส้ติ่ง แต่ขออนุญาตหมอออกมาจากโรงพยาบาล ๒๔ น. ๒๔ ชั่วโมงเพื่อจะมาทำกิจอันยิ่งใหญ่ในทางพระพุทธศาสนา จะมาบูชาข้าวพระ ขอลาหมอ ๒๔ ชั่วโมง มาปฏิบัติธรรม มาทำความเพียร แม้มีอายุเพียง ๙ ปี แต่ยังมีจิตใจที่เข้มแข็ง อย่างกับกินเพชรกินพลอยแทนข้าวทุก ๆ เช้า น่าอนุโมทนานะลูกนะ ตั้งใจให้ดี แล้วเอาบุญนี้กลับไปที่โรงพยาบาล รักษาไข้ให้หาย กลับออกมาให้มีร่างกายที่แกร่งกล้ากว่าเพชร ใสทั้งมวลนะจ๊ะ
เพราะฉะนั้นให้ทุก ๆ คน ทำใจให้หยุดนิ่ง อยู่ภายใน ก่อนที่เราจะบูชาข้าวพระ สำหรับท่านที่มาใหม่นั้น ให้ทำความเข้าใจซะก่อน ว่าฐานที่ตั้งของใจนั้นน่ะมีทั้งหมด ๗ ฐาน ฐานที่ ๑ อยู่ที่ปากช่องจมูก หญิงข้างซ้าย ชายข้างขวา ฐานที่ ๒ อยู่ที่หัวตา หญิงข้างซ้าย ชายข้างขวา ฐานที่ ๓ อยู่ที่กลางกั๊กศีรษะ ในระดับเดียวกับหัวตาของเรา ฐานที่ ๔ อยู่ที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก ฐานที่ ๕ อยู่ที่ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก ฐานที่ ๖ อยู่ในกลางท้อง ระดับเดียวกับสะดือของเรา สมมติเราเอาเส้นด้ายมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปข้างหลังเส้นหนึ่ง จากขวามาซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่าปลายเข็ม ตรงนี้แหละเรียกว่าฐานที่ ๖ ยกถอยหลังขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จำไว้นะลูกนะ ท่านที่มาใหม่น่ะ
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อยู่ตรงนี้ เหนือจากจุดของเส้นด้ายทั้งสองขึ้นมา ๒ นิ้วมือ จำไว้แค่นั้น เพื่อจะได้เข้าใจว่า เมื่อหลวงพ่อพูดถึงฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นทางเสด็จไปสู่อายตนนิพพานของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย ในกลางตัวท่านน่ะ หลวงพ่อหมายเอาตรงนี้ ตรงที่อยู่ในกลางท้องของเรา เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วในกลางท้องนะ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ แต่ในแง่ของการปฏิบัติจริง ๆ นะ อย่าไปมัวไปเสียเวลาควานหานะจ๊ะ ว่าศูนย์กลางฐานที่ ๗ อยู่ตรงไหนน่ะ ควานหากันตั้งชั่วโมงสองชั่วโมงนั่นน่ะ ก็เลยเสียเวลา ทำให้จิตหยาบ ไม่ได้อะไร เอาเป็นว่า ฐานที่ ๗ อยู่ในกลางท้อง เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้ว จำแค่นี้พอ ในแง่การปฏิบัติจริง ๆ นั่นน่ะ
เราก็ทำความรู้สึกนึกคิด หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านใช้คำว่าเอาเห็น เอาจำ เอาคิด เอารู้น่ะ ทั้ง ๔ อย่าง รวมหยุดเป็นจุดเดียว ไว้ที่ฐานที่ ๗ แต่ถ้าจำง่าย ๆ คือ เอาความรู้สึกนึกคิดมาวางไว้ มาทำความรู้สึกในกลางท้อง ให้ใจนิ่ง ๆ อยู่ในกลางท้อง ให้กลางท้องของเรา หรือฐานที่ ๗ ตรงนี้เป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งทั้งหลาย ศูนย์กลางกายเรา ศูนย์กลางบ้านเรา ศูนย์กลางประเทศ ศูนย์กลางโลก ศูนย์กลางจักรวาล และก็ศูนย์กลางของอนันตจักรวาล และสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งมวล ให้ ให้เห็นความสำคัญว่าเราเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด ในอนันตจักรวาลทีเดียว ถ้าเราเอาใจมาหยุดอยู่ที่ฐานที่ ๗ ตรงนี้เนี่ย จะกระเทือนไปถึงอนันตจักรวาลทั้งหมดทีเดียวน่ะ
เพราะเราเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งนะจ๊ะ เพราะฉะนั้น ฐานที่ ๗ ตรงนี้น่ะ กึ่งกลางทีเดียว ถ้าหากว่าเราลาก หย่อนเชือกผ่านจากกลางกระหม่อม ผ่านศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จะผ่านศูนย์กลางโลกไปเลยนั่นน่ะ ศูนย์กลางโลก ผ่านไปถึงศูนย์กลางของอนันตจักรวาลทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราคือศูนย์กลางของทุกสิ่ง ความสำคัญ สำคัญขนาดนี้ทีเดียวนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นจำให้ดีฐานที่ ๗ คือทางเสด็จไปสู่อายตนนิพพาน ของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย ถ้าจะเดินตามรอยบาทของท่านล่ะก็ ก็ต้องเดินทางสายกลาง ซึ่งเริ่มต้นจากศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นะจ๊ะ จำตรงนี้ไว้ให้ดี แล้วก็เอาใจของเราหยุดนิ่ง เอาความรู้สึกนึกคิดหรือเอาเห็น เอาจำ เอาคิด เอารู้น่ะ รวมหยุดเป็นจุดเดียว ตรงกลาง นิ่ง ๆ นิ่งไว้อย่างเดียวนะจ๊ะ นิ่งเฉยอย่างสบาย ๆ นิ่ง ๆ ถ้าหากว่าเราคุ้นเคยกับความรู้สึกนึกคิด คือนิ่งอย่างนี้มันนิ่งไม่ค่อยสนิท เดี๋ยวมันก็อดคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร มีวิธีการนะลูกนะ ก็ต้อง เราต้องสร้างมโนภาพ สร้างจินตนาการ สมมติเอา ว่าที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้น่ะ มีเครื่องหมายที่ใสสะอาด ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคลายขนแมวน่ะ กำหนดเลย
หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านใช้คำว่า กำหนดบริกรรมนิมิต คือนึกขึ้นมา สร้างขึ้นมา สมมติขึ้นมา ว่ามีเครื่องหมายเพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา คิดเรื่องนี้เรื่องเดียวจะได้ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น เป็นเครื่องหมายที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมวน่ะ โตเท่ากับแก้วตาของเรา กำหนดตรงนี้นะ เครื่องหมายให้ใสถ้านึกถึงเครื่องหมายนี้ นึกไม่ออกเพราะไม่เคยนึก จะนึกถึงพระแก้วใส ๆ ก็ได้นะจ๊ะ นึกถึงพระแก้วใส ๆ เป็นตัวแทนของพระบรมศาสดา องค์ใหญ่องค์เล็กแล้วแต่ใจของเราชอบ ชอบใหญ่ก็นึกใหญ่ ชอบองค์เล็กก็นักองค์เล็ก นึกให้ท่านมานั่งขัดสมาสทำสมาธิเหมือนอย่างเรานี่แหละ หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา นึกแล้วก็ทำใจให้หยุดให้นิ่งอยู่กับท่านน่ะ
อยู่กับพระแก้ว อยู่กับพระพุทธเจ้านี่ใจไม่ควรฟุ้งซ่านน่ะให้นิ่งเอาไว้น่ะ นิ่งเฉย หยุดอยู่ นึกถึงแต่ท่านอย่างเดียว ตั้งแต่ลัว ๆ ลาง ๆ เดี๋ยวมันก็จะชัดขึ้นมาเอง หรือนาน ๆ ไหว้พระที่นั่งกราบหมอนแล้วก็ยกมือไหว้ เหมือนเมื่อวานนี้ ถ้าทำอย่างนี้ นาน ๆ ครั้งนึงเนี่ย องค์พระนึกไม่ออก พระแก้วนึกไม่ออก จะนึกถึงหลวงพ่อวัดปากน้ำก็ได้นะจ๊ะ ครูบาอาจารย์ของเรา ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายนะ วิชชาของท่านต่อไปจะต้องขยายไปทั่วโลก ท่านเป็นบุคคลที่สำคัญของอนันตจักรวาลทีเดียว ของธาตอของธรรมทีเดียว บังเกิดขึ้นมาแล้วในโลก เพื่อที่จะชี้ไปทางสู่อายตนนิพพาน ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีบุญทั้งหลายน่ะ เพราะฉะนั้นท่านเป็นผู้ที่ เป็นบุคคลสำคัญที่มีความสำคัญต่อเราจริง ๆ เลย ถ้าไม่ได้ท่าน เราก็จะไม่รู้วิธีที่จะดำเนินชีวิต ไปให้ถูกต้องและสมบูรณ์ หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นท่านจึงเป็นบุคคลที่สำคัญสำหรับเรา ก็จะต้องนึกถึงท่าน นะจ๊ะ
นึกถึงภาพท่าน จะเป็นทองเหลืองก็ได้ หรือจะนึกเหมือนกับท่านมีชีวิตอยู่ก็ได้นะจ๊ะ นึกไปเรื่อยๆ ทั้งหมดนี่แหละตั้งแต่เครื่องหมายใสสะอาดก็ดี พระแก้วก็ดี หลวงพ่อวัดปากน้ำก็ดี เป็นบริกรรมนิมิต คือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา นึกถึงขึ้นมา นึกเพื่อจะให้ใจของเราไม่ฟุ้งซ่านไปคิดเรื่องอื่น ไม่คิดเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องธุรกิจการงาน หรือเรื่องอะไรที่นอกจากนี้น่ะ เรานึกสิ่งนี้ นึกถึงสิ่งที่บริสุทธิ์ ก็จะทำให้ใจเราบริสุทธิ์ นึกถึงสิ่งที่ละเอียดก็จะทำให้ใจของเราละเอียด นึกอย่างละเอียด ใจก็จะละเอียด นึกอย่างใจหยาบใจมันก็จะหยาบ เพราะฉะนั้นนึกอย่างใด อย่างหนึ่งนะจ๊ะ อย่าสับสนนะลูกนะ หลวงพ่อให้เลือกเอาน่ะ เราจะเอาอย่างไหนก็ได้ จะหยุดนิ่งเฉย ๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรเลย เพราะเราคิดไม่ออก คิดแล้วปวดหัว ก็อย่าไปคิดนะลูกนะ แต่ถ้านิ่งเฉยแล้วมันไม่ยอมนิ่ง ก็หาสิ่งที่ยึดเกาะของเรา เป็นพระแก้ว เป็นดวงใส ๆ หรือเป็นหลวงพ่อวัดปากน้ำก็ได้ ให้ทำอย่างนี้นะ
แต่ถ้านึกแล้วมันก็อดแลบไปไม่ได้ ก็ให้เพิ่มภาวนาสัมมาอะระหังควบคู่กันไปกับการนึก โดยให้เสียงของคำภาวนาดังออกมาจากจุดกึ่งกลางของบริกรรมนิมิต เช่นถ้านึกถึงพระแก้วเราก็นึกภาพองค์พระ แล้วก็ภาวนาสัมมาอะระหังเรื่อยไปให้เสียงสัมมาอะระหัง เป็นเสียงละเอียดอ่อน เหมือนเป็นเสียงสำนึกลึก ๆ แผ่ว ๆ ที่มาไกล ๆ เนี่ย คล้าย ๆ เสียงเพลงในใจของเราน่ะ นึกแผ่ว ๆ ให้เสียงนั้นมาในกลางท้องของท่านน่ะ หรือในกลางท้องของเรา สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ภาวนาไปก็นึกถึงพระแก้ว หรือถ้านึกเครื่องหมายใสสะอาดเป็นดวงแก้วอย่างนั้นนะจ๊ะ ก็นิ่งให้เสียงดังออกมาจากในกลางดวงแก้ว สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ดังมาจากกลางดวงแก้วเลย หรือถ้านึกเป็นหลวงพ่อวัดปากน้ำก็ทำนองเดียวกัน นึกถึงภาพท่านแล้วก็สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ นะจ๊ะ เมื่อเราไม่เผลอ
เมื่อใจของเราไม่เผลอจากบริกรรมทั้งสอง คือนึกถึงบริกรรมนิมิตกับภาวนาสัมมาอะระหัง ไปเรื่อย ๆ ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดตอนทีเดียวน่ะ ไม่ช้าจะเกิดสิ่งที่สามขึ้นมาทีเดียว คือใจมันจะหยุดนิ่ง เฉย ความปลอดโปร่ง โล่ง เบาสบาย เกิดขึ้นมาแล้ว หรือถ้ากำหนดเป็นบริกรรมนิมิตพระแก้วท่านก็ใส คำภาวนาหายไปแล้ว คำภาวนาไปกลืนเป็นองค์พระไปแล้ว หรือถ้ากำหนดเป็นดวงใส ก็จะกลืนเป็นดวง ถ้ากำหนดเป็นหลวงพ่อวัดปากน้ำก็จะไปกลืนกับหลวงพ่อวัดปากน้ำน่ะ เห็นชัดขึ้นมาทีเดียว แต่ความชัดในที่นี้เนี่ย ไม่ใช่ปุบปับมันจะชัดเลย ความชัดจะค่อย ๆ ชัด ตรงนี้ต้องใจเย็น ๆ นะลูกนะ เราไม่มีทางอื่นใด นอกจากใจเย็นอย่างเดียว จะไปบีบจะไปเค้นให้มันชัดเจนนั่นน่ะ ปวดหัวเปล่า ๆ แล้วก็ไม่ได้อะไร มันผิดวิธี
วิธีที่ถูกต้องใจเย็น ๆ ดูสิ่งที่ชัดน้อยๆ ไปสู่ความชัดมาก ดูความค่อย ๆ ชัดน่ะ เหมือนค่อย ๆ ดื่มกินความสุขไปทีละน้อยน่ะ ค่อย ๆ ชัดไปเรื่อย ๆ ทีละเล็กทีละน้อย อย่าไปใจร้อนน่ะ ดูสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย เหมือนเราดูดวงอาทิตย์ที่ผุดขึ้นมาในยามเช้าน่ะ ท่านก็ขึ้นมาทีละน้อย ดวงอาทิตย์นั้นจะขึ้นมาทีละน้อย ให้ดูเฉย ๆ อย่างนั้นแหละ อย่าไปเร่งร้อน เพราะดวงอาทิตย์เราก็ยังเร่งไม่ได้เลย ว่าพอโผล่ขึ้นมา จะให้พรวดถึงตอนเที่ยงเลย เรายังทำไม่ได้เลย การเห็นภายในก็เช่นเดียว มันก็จะค่อย ๆ เห็น
ตรงนี้ถ้าใครใจเย็นได้ ชัดขึ้นมาเอง ชัดขึ้น ๆ ๆ จนกระทั่งชัดแจ๋ว ภาพที่เห็นนี้น่ะ จะนำไปสู่ของจริงที่มีอยู่ภายใน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อเข้าไปถึงของจริงแล้วน่ะ อันไหนจริง อันไหนสร้างขึ้น คำตอบก็คือเมื่อไปถึงของจริงเราก็จะรู้ว่ามันเป็นของจริง และก่อนจะถึงของจริง เราจะทิ้งของไม่จริงก่อน มันทิ้งไปเองน่ะ พอไปถึงจุดนั้น มันจะแว๊บหาบไปเลย แล้วก็วูบเข้าไปเลย พอวูบเข้าไปเดี๋ยวก็เกิดขึ้นแล้วของจริง เกิดขึ้น แตกต่างจากของสมมติเป็นล้าน ๆ เท่าทีเดียวน่ะ ซึ่งเราแยกออกทีเดียวน่ะ อันไหนจริง อันไหนไม่จริง ของจริงมาพร้อมกับความสุข มาพร้อมกับความบริสุทธิ์ มาพร้อมกับคุณธรรม มาพร้อมกับกำลังใจที่เข้มแข็งในการที่จะสร้างความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป มาพร้อมกับมหากรุณาอยากให้ทุก ๆ คนในโลกได้เข้าถึงอย่างนี้บ้าง มันจะมาพร้อมกันเลยนะจ๊ะ ไม่ใช่มาทีละอย่าง น่ะของจริงน่ะมันจะเป็นอย่างนั้น และสิ่งที่เรากำลังจะทำน่ะ ทำไปสู่ของที่มีอยู่แล้วจริงภายใน เข้าใจตรงนี้นะจ๊ะ
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ให้ทุกคนทำใจให้หยุดให้นิ่ง ให้ใจใสบริสุทธิ์อย่างที่ได้แนะนำมาแล้วนะจ๊ะ ให้ใจหยุด ให้ใจนิ่ง ๆ ลูกที่อยู่ต่างประเทศอย่านั่งหลับนะลูกนะ ตื่นมาแล้วน่ะมาทำความเพียร ทำให้ได้ตลอด พระพุทธเจ้าของเราน่ะท่านนั่งทั้งคืนที่เดียว ไม่ใช่นอนก่อนแล้วมานั่งตื่นมานั่งนะลูกนะ หลวงพ่อวัดปากน้ำก็เช่นเดียวกัน นั่งทั้งคืนที่เดียว ตั้งแต่ยามเย็นน่ะ ถึงเช้าเลย ท่านไม่ได้หลับก่อนแล้วก็ตื่นขึ้นมานั่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำเนี่ย ถ้าจะไปเทียบกับท่านแล้วเนี่ยเราทำเพียงนิดเดียวเรานั้นเอง แต่เทียบกับสิ่งที่เราไม่เคยทำ สิ่งที่ลูกกำลังทำนั้นยิ่งใหญ่นะลูกนะ เพราะฉะนั้นตอนนี้ทำให้หยุดให้นิ่ง ให้ใจใส ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะจ๊ะ ใจของเรายังอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตลอดเวลา ใจต้องอยู่ตรงนั้นนะจ๊ะ อย่าให้เคลื่อนไปไหนเลย
ต่อจากนี้ไปก็เอาใจของเราเนี่ยนิ่งให้สนิท ซึ่งเบา ๆ สบายถ้าใครยังสนิทไม่เต็มที่ ยังไม่ถึง ยังไม่เห็น ก็น้อมเอาเครื่องไทยธรรมไว้ในกลางตัวเรา ถ้าใครเข้าถึงแล้ว ถึงกายมนุษย์ละเอียด ก็เอาไว้ในกลางกายมนุษย์ละเอียด ถึงกายทิพย์ไว้กลางกายทิพย์ ถึงกายรูปพรหมไว้กลางกายรูปพรหม ถึงกายอรูปพรหมไว้กลางกายอรูปพรหม ถึงกลางกายธรรมไว้ในกลางกายธรรม กายธรรมในกายธรรมไว้อย่างนั้นไปเรื่อย ๆ เลยนะจ๊ะ คุณยายก็คุมเครื่องไทยธรรมทั้งหมดด้วยวิชชาธรรมกาย น้อมไปถวายเป็นพุทธบูชา แด่พระธรรมกายพระพุทธเจ้าน่ะ อย่างที่เคยทำมาทุกเดือน ให้สุดรู้สุดญาณไปเลยน่ะ
ให้ทับทวีกันขึ้นไป ทับทวี ให้ละเอียดขึ้นไป ให้ได้ทั่วถึงกันให้หมดเลย ทับทวีไปให้สุดรู้สุดญาณน่ะ ปล่อยเข้าไปเรื่อยเลย ยิ่งหยุดยิ่งเร็ว ยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง ยิ่งดิ่ง ยิ่งเข้ากลางยิ่งขยาย ยิ่งเร็วยิ่งเพิ่มพูนปริมาณมากมายก่ายกองทีเดียว ทั้งเครื่องไทยธรรม ทั้งพระธรรมกายพระพุทธเจ้า เต็มไปหมดเลยเนี่ย ยิ่งนิ่งยิ่งดิ่ง ยิ่งกว้างไกล ยิ่งเร็ว ยิ่งมาก ยิ่งใส ยิ่งชัด ยิ่งใส ยิ่งสว่าง ยิ่งเข้ากลางคล่อง ใจใสสว่าง บุญเกิดขึ้นมาแล้วในกลางกายของเรา จากกลางกายท่านมาจรดกลางกายเราใส บริสุทธิ์ ตามกำลังของการหยุดนิ่ง
ตามกำลังแห่งความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ก็จะนิ่งอย่างนั้นน่ะ ถ้าเลื่อมใสท่านหนักเข้า ๆ ก็จะเห็นท่านชัดทีเดียวนะ จะชัดขึ้นมาเลย ถ้าเลื่อมใสปานกลางก็เห็นตัว ๆ ราง ๆ ถ้าเลื่อมใสบ้างก็เห็นจางมากทีเดียวน่ะ เพราะฉะนั้นถ้าเลื่อมใสมาก ใจจะไม่คิดเรื่องอะไรเลย มีแต่ท่านอย่างเดียว ในใจมีแต่ท่านอย่างเดียว ใสแจ๋ว เพราะฉะนั้นบุญก็เกิดขึ้นกลาง บุญนี้เป็นบ่อเกิดหรือเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต ตั้งแต่ชีวิตของความเป็นปุถุชน คือพอมาเกิดเป็นมนุษย์น่ะสมบัติทั้ง ๓ มันเกิด เพราะในกลางบุญนั้นน่ะมีสมบัติล้วน ๆ เลย
รูปสมบัติ มีทรัพย์สมบัติ มีคุณสมบัติ มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน รวมอยู่ในนั้น เป็นผังสำเร็จไปเลยน่ะ อยู่ในกลางบุญนั่นน่ะ ตอนเป็นมนุษย์มีกายมนุษย์ก็ส่งผลในกายมนุษย์ ละโลกแล้วก็ส่งผลไปในสุคติ ไปเป็นชาวสวรรค์ เป็นเทพบุตร ไปเป็นเทพธิดาน่ะ มีกายละเอียดสวยงาม กายสวยงามกว่ากายมนุษย์หยาบ เป็นกายทิพย์ มีเครื่องประดับประดาน่ะ มีสมบัติอันเป็นทิพย์สว่างไสวสวยงามมาก ติดอยู่ในพรหมก็ไปส่งผลในพรหม ติดในอรูปพรหมก็ส่งผลในอรูปพรหม
ติดในกายธรรมก็ส่งผลในกายธรรม ส่งไปเรื่อยเลยจนกระทั่งหลุดพ้นจากที่กิเลสอาสวะเค้าบังคับ เค้าบังคับปูนเป็นแช่อิ่ม หมักดองที่เราเรียกว่าอาสวะนั่นน่ะ บังคับซะแน่นกระทั่งเรากระดิกกระเดี้ยไม่ได้ เค้าทำไปตามอารมณ์ของเค้าทีเดียว ตามความปรารถนาของเค้า ที่เค้าบังไว้เนี่ย พอกระแสบุญของเรามากเข้า มากเข้า ๆ เนี่ย มันก็เก็บพวกนั้นไปเรื่อย ๆ เก็บแบบสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ คือแว๊บหายไปเลย หายแบบไม่มีเศษ แว๊บหาย ๆ ไปเรื่อย ธาตุธรรมในตัวของเราก็สุกใสบริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อย ตั้งแต่สังขตธาตุ เป็นอสังขตธาตุ ไปเป็นวิราคธาตุวิราคธรรมไปโน่นเลย บริสุทธิ์ ล้วนไปเลย เป็นธาตุล้วน ๆ ธรรมล้วน ๆ บริสุทธิ์สดใส พอบริสุทธิ์เต็มที่ ไม่มีอาสวะเจือปนก็เสวยสุข ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย บริบูรณ์อยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีอานุภาพคือทรงอภิญญา จะทรงอภิญญา จะรู้จะเห็นอะไรได้กว้างไกลทีเดียว ทรงอภิญญานะ หูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้มีฤทธิ์ทางใจ มีอานุภาพแสดงฤทธิ์ได้ อย่างนี้เป็นต้น เวลากิเลสอาสวะหมดแล้วน่ะมันจะมีอานุภาพ ทำอะไรได้ตามใจปรารถนา เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
แต่ตอนนี้ไม่เป็นตัวของตัวเอง มันถูกบังคับบัญชามาหมดเลย บางครั้ง หรือหลาย ๆ ครั้ง หรือเกือบจะทุกครั้ง เห็นว่าสิ่งนี้ดีแต่ไม่อยากทำ หรือทำบ้าง หรือทำเพียงเล็กน้อย เห็นสิ่งนี้ไม่ดีแต่ก็ต้องทำ มันมีบังคับบัญชาอยู่ข้างในลึก ๆ นะจ๊ะ บังคับบัญชาอยู่เป็นชั้น ๆ เข้าไปทีเดียว ละเอียดลงไป ๆ ก็บังคับหนักขึ้นไป หนักขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่กำลังกวดสลักทับทวี ไปให้มันสุดผังสุดภพ สุดที่เค้าทำไว้กันอยู่เนี่ย เพราะฉะนั้นหยุดนี่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ จะทำให้เราไปรู้ไปเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ เห็นแล้วก็หายสงสัย หายสงสัยแล้วก็จะได้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ตอนนี้บุญก็เกิดขึ้นนะจ๊ะ เกิดขึ้นในกลางเรา ใส สว่าง ใสเกินใสนะจ๊ะ
บุญที่กำลังเกิดตอนนี้น่ะ มันใส ใสเกินใส อยู่ในกลางน่ะ แว็บติดกลางเลย ใส ใสยิ่งกว่าเพชรน่ะ คือเอาเพชรน่ะ มาคั้นมากลั่นออกไปสักล้านครั้ง ก็ยังไม่เท่ากับความใสเกินใสอย่างนี้น่ะ มันใสมากทีเดียวบุญ ใสแล้วมีฤทธิ์มีอานุภาพอยู่ในตัว มันดึงดูดสมบัติได้ มันดึงดูด สมบัติที่เป็นของกลาง ๆ ของโลกน่ะ มัน ดูดมาหมด จะเป็นคนเป็นสัตว์เป็นสิ่งของดูดมาหมด ไอ้ที่ดี ๆ เนี่ย ดูดมาหมด ถ้าเป็นของเค้านะจ๊ะ อยู่ในกลางตัวนี่ ก็ดำสนิทมืด มืดเลย ดำสนิท กัณหธรรมหรืออกุศลธรรม มีฤทธิ์ผลักสิ่งที่ดี ๆ ออกไป แล้วก็ดูดวิบัติเข้ามา เปลี่ยนสมบัติเป็นวิบัติได้น่ะ ให้เดือดเนื้อร้อนใจทุกข์ทรมานอยู่ นี่เค้าทำได้ถึงขนาดนั้นทีเดียวนะจ๊ะ ให้รู้ฤทธิ์เค้าไว้ จะได้ไม่ประมาท
ทีนี้คุณยายก็คุมบุญให้ถึงพวกเราทุกคน คุมหมดทั้งภายในและอยู่ต่างประเทศ ทั้งภายในด้วยต่างประเทศด้วย คุมให้หมดเลย เนี่ย ให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข ทำมาค้าขึ้น ประสบความสำเร็จในชีวิตในธุรกิจการและสิ่งที่พึงปรารถนา ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็ให้หาย ให้ร่างกายแข็งแรง แข็งแรงสดชื่นเบิกบานทีเดียว เบิกบานมีดวงปัญญาสว่างโพลง คุณยายคุมบุญเชื่อมสายสมบัติให้ติดกับทุก ๆ คน ให้มีมหาสมบัติเกิดขึ้น สร้างบารมีกันอย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้นทีเดียวน่ะ ปรารถนาอะไรในสิ่งที่ดีก็ให้สมความปรารถนา และบุญใหญ่ที่กำลังรอคอยอยู่ มหาวิหารพระมงคลเทพมุนี สภาธรรมกายสากล ธรรมกายเจดีย์ รวมบุญให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ทีเดียว ผู้ที่เป็นเจ้าของพระธรรมกายประจำตัวน่ะ ประดิษฐานธรรมกายเจดีย์ ให้บุญนี้ส่งผลให้มีความสุขความเจริญรุ่งเรือง และใครเป็นเจ้าของก็ให้รีบมาเร็ว ๆ นะ เอาบุญนี้ไปดลบันดาลตามมา มาสร้างพระธรรมกายประจำตัว
ซึ่งจะเป็นตัวแทนของเราสืบต่อทอดไปเรื่อย เป็นพันปีทีเดียว เอาบุญนี้น่ะตามมาด้วย และบุญพิเศษเฉพาะหน้าสร้างสภาธรรมกายสากล ให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ทีเดียว ฤดูฝนจะใกล้เข้ามาแล้วนะจ๊ะ เราจะต้องใช้สถานที่นั้นน่ะ ประกอบพิธีในการสร้างบารมี ในการศึกษาธรรม ในการฝึกฝนตัวของเรา ในการเลี้ยงพระ ถ้าหากว่าหลังคายังคุมได้ไม่หมด เราก็จะต้องเจอแดด เจอฝน เจอลม ถ้าสร้างได้สำเร็จเป็นอัศจรรย์เร็ว ๆ เราก็จะพ้นจากสิ่งเหล่านั้น นี่เป็นบุญเฉพาะหน้า ที่จะต้องทุ่มชีวิตเป็นเดิมพัน ทำสิ่งนี้ให้บังเกิดขึ้นให้ได้ เพื่อตัวของเราและเพื่อสรรพสัตว์ทั้งมวล คุณยายก็คุมบุญขอบุญพิเศษจากพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพาน ให้ทุ่มบุญละเอียดมายังพวกเราซึ่งเป็นผู้นำบุญ ให้ได้ไปทำหน้าที่อย่างมีอานุภาพ สำเร็จเป็นอัศจรรย์ทีเดียว ให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง กล้าที่จะต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลายทั้งมวล เอาบุญพิเศษนี่ทุ่มมาเลยน่ะ สอดละเอียดมาจรดกลางกายนะ พลิกให้มีอานุภาพให้ได้และให้มีกำลังใจทำอย่างเนี้ยทั้งวันเลย ตลอดทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน ให้ทำเป็นผู้นำบุญตลอดเวลาเลย
เพื่อที่ว่าตอนก่อนที่เราจะหลับ จะได้ตามระลึกนึกถึงบุญที่ได้ทำมาทั้งวันในฐานะเป็นผู้นำบุญ ว่าได้ไปชักชวนผู้มีบุญเค้ามาสร้างบารมี ให้เก็บเกี่ยวปิติสุข แล้วก็หลับไปในกระแสธารแห่งบุญที่ทำไปทุก ๆ วันนะ ให้มีกำลังใจอย่างนี้เนี่ย เอาบุญพิเศษเชื่อมเอาไว้ และเชื่อมสายสมบัติที่เค้ามาตัดรอน ตัดสายสมบัติ มาเชื่อมให้ตรึงให้ติดมาให้ได้เลย พลิกจากร้ายให้กลายเป็นที่ไปให้ได้ ให้เป็นอัศจรรย์เลยน่ะ เอาบุญนี่ช่วยประเทศชาติศาสนา วิชชาธรรมกายให้สูงขึ้น ประเทศไทยให้เป็นปิ่นนานาประเทศ เศรษฐกิจตกต่ำก็ให้ยกขึ้นไปเลยเนี่ย ให้ทุกคนมีศีลมีธรรม เข้าถึงพระธรรมกายกัน ให้เอาบุญนี้ให้เชื่อมยกไปให้หมดเลย กราบทูลพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทีเดียวเนี่ย แล้วก็เอาบุญนี้แบ่งให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายน่ะ ที่มีกายหยาบมีกายละเอียดน่ะให้มีส่วนแห่งบุญนี้กันทุก ๆ ท่าน คุมให้ดี คุณยายคุมนะจ๊ะ คุมให้ละเอียด คุณยายคุมให้สนิท พวกเราก็อย่าเพิ่งลืมตานะจ๊ะ เอาใจหยุดนิ่ง อธิษฐานจิตตามใจชอบกันทุก ๆ คนนะจ๊ะ