วันยกค้ำฟ้า
๖ ตุลาคม ๒๕๓๙
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
ต่อจากนี้ให้ทุกคนตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพานนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาส เอาขาขวาทับขาซ้าย ให้มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบายคล้ายกับเรานอนหลับนะจ๊ะ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับตาเหมือนปรือ ๆ ตา เหมือนหลับตาครึ่งลูก อย่าไปบีบเปลือกตาเหมือนคนทำตาหยีอย่างนั้นไม่เอานะ หลับแค่พอสบาย ๆ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อยกันนะจ๊ะ
ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน กล้ามเนื้อบริเวณเปลือกตา หน้าผาก ศีรษะ ต้นคอ บ่าทั้ง ๒ ไหล่ทั้ง ๒ แขนทั้ง ๒ ถึงปลายนิ้วมือ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณลำตัว หน้าท้อง ขาทั้ง ๒ ถึงปลายนิ้วเท้า ทั้งเนื้อทั้งตัวเราให้ผ่อนคลายให้หมด ทำใจของเราให้สบาย ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ให้ผ่องใส ใจที่ผ่อนคลายสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่มีความคิดใด ๆ ทั้งสิ้น ใจอย่างนี้แหละเป็นใจที่เหมาะสม ที่จะเป็นภาชนะรองรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะนั้นเครื่องกังวลอะไร ที่มีอยู่ในใจ จะเป็นเรื่องการศึกษาเล่าเรียน เรื่องธุรกิจการงาน เรื่องครอบครัวหรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้น่ะ ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วางทิ้งไปให้หมด ทำประหนึ่งว่าเราอยู่คนเดียวในโลก ไม่เคยเจอภารกิจมาก่อน ไม่มีความผูกพันกันคนกับสัตว์ กับสิ่งของหรือสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น
ให้ใจปลอดโปร่งว่างเปล่า แต่บริสุทธิ์สบาย ทำอย่างนี้นะจ๊ะ นี่ปรับให้สบาย ๆ อย่างนี้เมื่อเราปรับร่างกายปรับจิตใจความรู้สึกนึกคิดสบายอย่างดีแล้ว ต่อจากนี้ก็ตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพาน สำหรับท่านที่มาใหม่ ทำความเข้าใจสักหน่อยหนึ่ง ว่าทางเดินของใจเรามี ๗ ฐาน ฐานที่ ๑ อยู่ที่ปากช่องจมูก ท่านหญิงอยู่ข้างซ้าย ท่านชายอยู่ข้างขวา ฐานที่ ๒ อยู่ที่เพลาตา หัวตาตรงที่น้ำตาไหล ท่านหญิงยังคงอยู่ข้างซ้าย ท่านชายก็ยังคงอยู่ข้างขวา ฐานที่ ๓ อยู่ที่กลางกั๊กศีรษะในระดับเดียวกับหัวตาของเรา
สมมติว่ากระโหลกศีรษะไม่มีมันสมอง เป็นที่โล่ง ๆ ว่าง ๆ ตรงจุดกึ่งกลางตรงนั้นแหละ ระดับเดียวกับหัวตาเรียกว่าฐานที่ ๓ ฐานที่ ๔ อยู่ที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก ฐานที่ ๕ อยู่ที่ปากช่องคอเหนือลูกกระเดือก สมมติลำคอเรากลมเหมือนปากถ้วยแก้ว กึ่งกลางตรงนั้นแหละเรียกว่าฐานที่ ๕ ฐานที่ ๖ อยู่ในกลางท้องระดับเดียวกับสะดือของเรา สมมติเรานำเส้นด้ายมา ๒ เส้น เส้นหนึ่งขึงจากสะดือทะลุหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม ตรงนี้เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ ยกถอยหลังขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อยู่เหนือจากจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ ขึ้นมานะจ๊ะ
ถ้าจำง่าย ๆ ก็เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่าฐานที่ ๗ สำหรับท่านที่มาใหม่ทำความเข้าใจให้ดีนะจ๊ะ ถ้าต่อไปหลวงพ่อพูดถึงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ก็หมายเอาตรงนี้นะจ๊ะ ตำแหน่งที่เหนือจากจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้เป็นที่สำคัญ ตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้นะ เป็นที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายเสด็จไปสู่อายตนนิพพาน โดยเอาใจของท่านมาหยุดอยู่ตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ
ใจของท่านพอหยุดถูกส่วนเข้า ใจที่แวบไปแวบมาน่ะไปคิดเรื่องราวต่าง ๆ น่ะของท่านนำเอามาหยุดตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้เนี่ย พอถูกส่วนเข้าท่านก็จะเข้าถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัว มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ล่ะ มีมาดั้งเดิมเป็นผังสำเร็จเค้าทำติดตัวมา ในสรรพสัตว์ทั้งหลายตรงนี้แหละ โดยเฉพาะในมนุษย์ พอใจท่านหยุดถูกส่วนท่านก็เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่แล้ว คือดวงธรรม ท่านจะเห็นดวงธรรม ปรากฏเกิดขึ้นมาในกลางใจ หยุดใจนิ่งที่ถูกส่วนตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้น่ะ
เป็นดวงใส ๆ ใสเหมือนเพชรน่ะ หรือใสยิ่งกว่าเพชร เพชรลูกที่เจียระไนแล้วน่ะ ไม่มีขีดไม่มีข่วนเลย แต่เพชรนั้นยังต้องเอาไปเจียระไน ไปตัดเหลี่ยมมันถึงจะมีประกาย เมื่อกระทบแสง แต่ดวงธรรมเบื้องต้นน่ะไม่มีเหลี่ยม กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ กลมรอบตัว กลมเหมือนดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ดวงดาวนะ กลมแต่ว่าใส ใสยิ่งกว่าเพชร เพชรที่เราเห็นใส ๆ เวลาส่องกับแดดใสยังไง นี่ใสอย่างงั้นหรือยิ่งกว่านั้น แต่เป็นความใสที่ไม่เคืองตา ไม่บาดตา เป็นความใสที่เย็นตา แล้วก็มาพร้อมกับความสุขภายใน ที่เราไม่เคยเจอมาก่อนเลย
ใจจะรู้สึกปลอดโปร่ง โล่ง เบา สบาย ขยายกว้างขวางไปอย่างไม่มีขอบเขต ใจสบายสบายน่ะ ท่านจะเข้าถึงตรงนี้ และเมื่อท่านทำหยุดทำนิ่งต่อไปเรื่อยในกลางนี้เนี่ย ท่านก็จะเข้าถึงดวงธรรม ซึ่งผุดเกิดขึ้นมาทีละดวงเป็นชุดทีเดียว ผุดซ้อน ๆ ๆ ขึ้นมาน่ะ เข้าถึงดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เนี่ยน่ะเข้าถึงอย่างนี้เรื่อยไปเลย แล้วก็เข้าถึงกายภายใน เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดที่มีหน้าตาเหมือนตัวของท่านน่ะ หรือถ้าของเราก็เหมือนกับตัวของเรา ท่านหญิงก็เหมือนกับท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนกับท่านชาย เนี่ยตัวของท่านก็จะเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด
ท่านก็ทำของท่านอย่างนี้น่ะ ต่อไปเรื่อย ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ไปพิจารณาหรือนึกคิดอะไรเลย บริเวณตรงนี้เป็นบริเวณปลอดความคิด คือใจมันจะหยุด ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ๔ อย่างรวมหยุดเป็นจุดเดียว เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดที่มีอยู่แล้วภายใน ท่านก็ทำอย่างนี้เนี่ย ไปเรื่อย ๆ ในทำนองเดียวกัน ในกลางกายมนุษย์ละเอียดก็พบดวงธรรมเป็นชุด ๆ ๖ ดวงเช่นเดียวกัน ต่างแต่ใสกว่า สว่างกว่าแล้วก็ใหญ่กว่า ก็เข้าถึงอีกกายหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะสวยงามกว่ากายเดิม เรียกว่ากายทิพย์ ที่เรียกว่ากายทิพย์ เพราะมีเครื่องประดับสวมอยู่กับกายนั้น แนบสนิท เป็นอาภรณ์ประดับกายสนิททีเดียว สวยงามมาก
แต่ท่านก็หยุดต่อไปอีกอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ พอถูกส่วนเข้าก็พบดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง ๖ ดวงเหมือนกัน ต่างแต่ใสกว่า สว่างกว่า แล้วก็ใหญ่กว่าเข้าไปเรื่อย ๆ สุดดวงสุดท้ายก็เข้าถึง หลวงพ่อใช้คำว่าเข้าถึงนะ คือถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วน่ะ อีกกายหนึ่งน่ะที่สวยงามกว่ากายทิพย์ ลักษณะก็คล้าย ๆ กันแต่สวยกว่า ใหญ่กว่า ปราณีต เครื่องประดับที่ปราณีตเรียกว่ากายรูปพรหม คำว่าปราณีต สมมติว่ากายทิพย์นะเครื่องประดับเจียระไนเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ สมมติอย่างนั้นนะ คือว่าทำพอลวก ๆ
แต่ว่าพอถึงกายรูปพรหมนั้นน่ะ ประดิดประดอยละเอียดเข้าไปอีกนั่นน่ะ เป็นกายรูปพรหม เครื่องประดับติดตัว ติดตัวมาดั้งเดิมน่ะ กายพรหม รูปพรหมเค้าก็เป็นเค้าอย่างนี้นะ เครื่องประดับแปลกมันจะต้องมีติดตัว ของมนุษย์ไม่มี ต้องซื้อมาใส่ติดตัว ใส่แล้วก็พะรุงพะรัง ของกายพรหมนี่ของเค้าติดตัว ยังไม่หมดกิเลสก็ยังรักสวยรักงามอยู่ ติดตัวอยู่อย่างนี้แหละ แต่ปราณีตขึ้น บรรจงละเอียดอ่อนขึ้นไป ท่านก็หยุดต่อไปอีกในกลางกายรูปพรหม ก็เข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง ๖ ดวง เช่นเดียวกัน ลักษณะก็คล้ายกัน ต่างแต่ชัดกว่า ใสกว่า สว่างกว่า โตใหญ่กว่า สวยงามกว่า
และกลางดวงสุดท้ายคือดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ก็เข้าถึงกายอรูปพรหมเข้าถึงกายอรูปพรหม ก็นี่ก็มีอยู่มาดั้งเดิมเหมือนกัน รูปร่างก็คล้ายกับกายรูปพรหมน่ะ เนื่องจากไม่ใช่รูปพรหมก็เรียกว่าอรูปพรหม มันคล้ายกันมาก ถ้ามองเผิน ๆ นึกว่ารูปพรหม แต่ไปดูใกล้ ๆ แล้วไม่ใช่ ถึงเรียกว่าอรูปพรหม มันไม่ใช่รูปพรหม แต่ว่าสวยงามกว่า ไม่รู้จะเรียกว่ากายอะไรดีก็เลยเรียกว่าอรูปพรหม เพราะไม่ใช่รูปพรหม มันคล้ายกันนะ เครื่องประดับก็เหมือนกัน ต่างแต่ละเอียดกว่า ปราณีตกว่า แต่กายทั้งหมดที่ผ่านมาเนี่ยนะ ท่านรู้เห็นได้ด้วยดวงปัญญา เห็นได้ด้วยธรรมจักขุ รู้ได้ด้วยดวงปัญญา คือมีจัก ที่ละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ ว่านี่ยังไม่ใช่กายที่แท้จริง ยังมีการเปลี่ยนแปลงได้เนี่ย กำลังบุญในตัวน่ะท่านสอน ว่านี่ยังไม่ใช่ แต่ว่าใกล้จะถึงสิ่งที่ใช่อยู่แล้ว ก็หยุดต่อไปอีก พอถูกส่วนก็เข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง ๖ ดวง เนี่ย ขั้นเอาไว้ ขั้นแต่ละกายเอาไว้ เป็นเครื่องกลั่นใจของเราน่ะ
กลั่นใจเนี่ย เหมือนน้ำที่กรอง น้ำสกปรกกรองผ่านเครื่องกรองเรื่อยมาเลย จนกระทั่งใสสะอาด แต่นี่ผ่านเครื่องกลั่นน่ะ กลั่นด้วยดวงธรรม กลั่นด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ จนกระทั่งกายที่เข้าถึงใหม่นี้น่ะบริสุทธิ์ปราณีต เป็นกายที่สำคัญมากเลย เรียกว่ากายธรรม กายธรรมคือกายทั้งก้อนประกอบไปด้วยธรรม ๕ อย่างนั่นแหละ ประกอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ประกอบก่อเกิดขึ้นเป็นกายธรรม ถ้าขยายไปก็เป็น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์น่ะ กลั่นมาแล้วรวมเป็นกายธรรม
ก้อนกายเนี่ยกลั่นใส กลั่นด้วยศีล กลั่นด้วยสมาธิ กลั่นด้วยปัญญา ด้วยวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ รวมเป็นกายธรรมลักษณะสวยงามมาก เนี่ยเป็นจุดเริ่มต้นของลักษณะมหาบุรุษ งามกว่ากายอรูปพรหม อรูปพรหมว่างามกว่ากายรูปพรหม รูปพรหมงามกว่ากายทิพย์ กายทิพย์งามกว่ากายมนุษย์แล้วนะ กายทั้งหมดงามไม่เท่ากายธรรม นั่งขัดสมาสอย่างเนี้ย ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางบนหน้าตักอย่างที่สอนอย่างนี้นะ กายตรงทีเดียว แล้วใจท่านตรงด้วย ติดแน่นอยู่ในกลางฐานที่ ๗ เลย มาถึงตรงนี้เราจะพบว่าผู้ที่เข้าถึงความสมบูรณ์ของชีวิตที่ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วน่ะ จะอยู่ในอริยาบถนั่งทำสมาธิ ใจหยุดนิ่งไม่ต้องแสวงหาอะไรอีกแล้ว เพราะว่าสิ่งที่มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม อยากได้น่ะ มันเรื่องเล็กสำหรับกายธรรม กายธรรมมองต่อไปอีกแต่ไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่กายธรรมต้องการคือทำอย่างไรจึงจะสิ้นอาสวะ ว่าการทำให้สิ้นอาสวะคือสาระของชีวิต
เพราะฉะนั้นพอถึงตรงนี้กายธรรมจะนั่งสงบนิ่ง หยุดอยู่ในกลางตัวไม่ถอนถอยเลย ถูกส่วนเข้าถึงดวงธรรมอีก ๖ ดวงอีกแล้ว เป็นชุดเข้าไป แล้วก็เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน ตัดเครื่องผูกตัดสังโยชน์ได้ ตัดออกไปได้น่ะ ตัดได้แล้วท่านก็ไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ไปเลย ดำเนินจิตไปเรื่อย ผ่านดวงธรรมทีละชุด ๖ ดวงเป็นเครื่องกลั่นใจไปอีก ถึงกายพระสกทาคามี กลั่นต่อไปอีกถึงกายพระอนาคามี ต่อไปอีกถึงกายธรรมอรหัต นี่สำคัญที่สุดนะ
กายธรรมอรหัตเกตุดอกบัวตูม สงบนิ่งเป็นกายเดียวที่หลุดพ้นจากที่เค้าครอบงำ ด้วยสังโยชน์ ด้วยอาสวะเครื่องผูกให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้ง ๓ กายธรรมอรหัตทะลุร่อนออกมาแล้ว เหมือนลูกไก่เจาะเปลือกไข่น่ะ กระเปาะไข่ออกมา พ้นจากสิ่งที่เค้าครอบงำให้อยู่ในภพสาม อยู่ในภพสามยังไม่พอ ยังไม่รู้เรื่องราวเลย เค้าทั้งปิดบังไม่ให้รู้เรื่องราว แล้วแถมทำให้มีความทุกข์ทรมาน เวียนเกิดเวียนตายวนเวียนอยู่ในความทุกข์ ถ้าวนเวียนอยู่ในความสุขก็ไม่มีปัญหาน่ะ จะอยู่เข้าไปนานแค่ไหนก็ได้ ในภพทั้ง ๓
แต่มันไม่อย่างนั้น มันก็วนอยู่เดี๋ยวก็เอาไปตกนรกก็ได้ ไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เดี๋ยวมาเป็นมนุษย์น่ะ เดี๋ยวมาเป็นทิพย์ พรหม วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ วนกันไป วนกันมาเนี่ย บังคับอยู่ภายใน เป็นฉากหลังที่ไม่มีใครรู้เรื่องราวเลย บังคับบัญชาอยู่ เพราะฉะนั้นมีกายธรรมเท่านั้น ถึงจะรู้เรื่องราวเนื่องจากกายธรรมมี ญาณทัสสนะและธัมมจักขุที่ทะลุภพ ๓ ไปแล้ว มองทะลุออกหมด มองเห็นสิ่งที่เค้าบังคับบัญชาอยู่ภายใน นี่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านทำอย่างนี้นะ
ทำอย่างนี้เนี่ยจึงเสด็จไปสู่อายตนนิพพานได้ พวกเราก็เหมือนกัน เราต้องรู้จักเส้นทางของชีวิตซึ่งเป็นแผนผังของชีวิตของเราเสียก่อน เข้าใจอย่างนี้แล้วเราจะได้ตั้งใจ จะได้ขยัน จะได้ไม่มัวแต่แค่ทำมาหากิน สนุกเพลิดเพลินเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานติดกระโหลกกะลากันไปอย่างเดียวเท่านั้น ชีวิตมันจะได้มีประโยชน์มากกว่านั้น เพราะฉะนั้นแผนผังของชีวิตนี้ ต้องเข้าใจนะจ๊ะ ต้องเข้าใจให้แจ่มแจ้ง สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตัวของเราทุก ๆ คน ที่นั่งที่เนี่ย ทุกคนในโลก สรรพสัตว์ทั้งหลาย มีหมดเลย แต่ว่าไม่รู้เพราะเค้าหุ้มเอาไว้หมดเลย เค้าหุ้มเอาไว้หมด เหมือนเอาคนตาดีไปขังไว้ในห้องมืด ๆ เอาความมืดหุ้มเอาไว้ เอาห้องขังเอาไว้ เอากำแพงล้อมเอาไว้ ล้อมกันไปหลาย ๆ ชั้น เลยไม่รู้เรื่องกันเลย มองไม่เห็น เพราะฉะนั้นเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราต้องเป็นนักสู้ เราจะต้องเป็นนักสู้นะจ๊ะ สู้เพื่อที่จะเอาชนะสิ่งที่บดบังดวงปัญญาของเรา ทำให้เราไม่รู้ไปตามความเป็นจริง เราต้องเป็นนักสู้
ก่อนที่เราจะได้บูชาข้าวพระกัน ให้ทุกคนเอาใจมาหยุดนิ่ง อยู่ที่ศูนย์กลางกายตรงฐานที่ ๗ นะจ๊ะ ใจหยุดนิ่งให้ถูกส่วนทีเดียว แล้วนึกถึงสิ่งที่จะทำให้ใจเราบริสุทธิ์ ให้ใจเราหยุดนิ่งได้โดยไม่วอกแวก สิ่งที่ควรนึกถึงก็คือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านดับขันธปรินิพพานนานมาแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นตัวแทนของท่านได้ คือพุทธปฏิมากรหรือพระพุทธรูป ต้องนึกให้ใสเป็นแก้วที่เดียวนะ นึกให้ใสเป็นแก้ว นึกถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ท่าน ให้ใสเป็นแก้วทีเดียวน่ะ อาราธนาให้ท่านเข้ามาสิงสถิตในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อาราธนาองค์พระนะ พระแก้วใส ๆ น่ะ มาสิงสถิตอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ขนาดใหญ่เล็กแล้วแต่ใจของเราชอบ เราชอบขนาดใหญ่ก็นึกให้องค์ใหญ่ ชอบขนาดเล็กก็นึกองค์เล็กนะจ๊ะ
นึกถึงพระแก้วใส ๆ ให้ท่านนั่งขัดสมาสทำสมาธิ หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา แต่นึกให้ชัด ๆ อย่างสบาย ๆ อย่าไปตั้งใจนึกแรงนะจ๊ะ นึกให้ชัด ๆ นึกให้ใส ๆ พร้อมกับภาวนาในใจ ภาวนาว่าสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ กันไปอย่างนี้เนี่ย ทุกครั้งที่ภาวนาสัมมาอะระหัง เราก็นึกถึงพระแก้วใส ๆ ไปด้วยนะจ๊ะ ทุกครั้งที่นึกถึงพระแก้วใส ๆ เราก็ภาวนาสัมมาอะระหัง ภาวนาอย่างนี้จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง อย่าไปกังวลกับฝนตกนะจ๊ะ เดี๋ยวมันจะหยุดของมันเอง เค้าลองฤทธิ์เรานิดหน่อยเท่านั้นเองนะจ๊ะ ดูความมุ่งมั่น ดูความตั้งใจว่าเราจะหนักแน่นในพระรัตนตรัยแค่ไหน
ถ้าเราหนักแน่นในพระรัตนตรัย เดี๋ยวฝนก็หยุดตก พอใจใสใจสบายเราจะได้ประกอบพิธีบูชาข้าวพระกันต่อไป วันนี้จะไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรคในการสร้างบุญใหญ่ ซึ่งเรากำลังจะประกอบพิธียกค้ำฟ้าสถาปนาสภาธรรมกายสากล เพราะฉะนั้นตอนเช้าเป็นเรื่องของการทำสมาธิภาวนา ตอนบ่ายเราจะสบาย จิตใจเราจะเบิกบานเราจะแช่มชื่น เพราะฉะนั้นอย่านึกถึงสิ่งแวดล้อม ให้นึกถึงพระแก้วใส ๆ โดยเฉพาะท่านประธานหลัก อย่าวิตกกังวล ท่านประธานหลัง ท่านประธานรอง ท่านประธานรวม ท่านประธานรอ ท่านประธานกอง ทุก ๆ ท่านไม่ต้องวิตกกังวล เดี๋ยวทุกสิ่งก็จะเป็นไปอย่างที่เราปรารถนา ต่างคนต่างทำสมาธิภาวนากันไปเงียบ ๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่เราจะประกอบพิธีบูชาข้าวพระกันต่อไปนะจ๊ะ
เอาใจของเราหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่าให้คลาดเคลื่อนกลางนะจ๊ะ ใจหยุดนิ่งให้ดีทีเดียว ใจหยุดในหยุด ๆ ๆ นิ่งในนิ่ง ๆ ลงไปในกลางฐานที่ ๗ อย่าลืมตากันนะจ๊ะ ดูเข้าไปภายใน ใครเข้าถึงดวงธรรมได้เอาใจหยุดไปในกลางดวงธรรม ใครเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดก็เอาใจหยุดไปในกลางกายมนุษย์ละเอียด ใครเข้าถึงกายทิพย์ก็เอาใจหยุดไปในกลางกายทิพย์ ใครเข้าถึงกายรูปพรหมก็เอาใจหยุดไปในกลางกายรูปพรหม ใครเข้าถึงกายอรูปพรหมก็เอาใจหยุดไปในกลางกายอรูปพรหม ใครเข้าถึงกายธรรมได้ก็เอาใจหยุดไปในกลางกายธรรม ทำใจของเราให้หยุดในหยุด ๆ นิ่งในนิ่ง ๆ ให้ใจเราใสสะอาดบริสุทธิ์ทีเดียว หยุดในหยุด ๆ ๆ นิ่งในนิ่งอย่างสบายนะ อย่าไปตั้งใจกันมากนะจ๊ะ ทำใจเย็น ๆ ใจสบาย
ถ้าใจเรายังหยุดไม่สนิทน่ะ เราจะมีความรู้สึกว่ามันแคบ มันจะแคบ ๆ เหมือนเราชะโงกมองอย่างนั้นน่ะ แต่ถ้าหากว่าใจเราหยุดสนิท เข้าถึงพระธรรมกาย เรากับท่านจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มันจะกว้าง กว้างขวางไปเรื่อย ๆ เครื่องไทยธรรมก็จะอยู่ในกลางของพระธรรมกาย เครื่องไทยธรรมจะมีความใส จะมีความบริสุทธิ์เท่ากับพระธรรมกาย เนี่ยพอใจเราหยุด หยุดในหยุดหยุดในหยุดต่อไปเรื่อย ๆ เนี่ย เดี๋ยวพระธรรมกายท่านก็ผุดเกิดขึ้นมา ทีละองค์ ๒ องค์ ทีละหลาย ๆ องค์ จนกระทั่งต่อเนื่องกันเป็นสายทีเดียวขององค์พระ ใสบริสุทธิ์ ใสในใสตรงนั้นนะ แล้วเครื่องไทยธรรมก็อยู่ในกลางองค์พระธรรมกายทุก ๆ องค์
การที่จะไปสู่อายตนนิพพานได้นั้นน่ะ จะต้องอาศัยกายธรรมอย่างเดียว กายอื่นไปไม่ได้ แล้วกายธรรมก็จะต้องมีความละเอียดมาก มีความละเอียดเท่ากับความละเอียดของอายตนนิพพาน พอความละเอียดตรงกันก็ดึงดูดเข้าหากัน ก็จะตกศูนย์วูบเข้าไปเลย ไปอยู่ในกลางอายตนนิพพาน อายตนนิพพานไม่มีอะไรกำบังมีแต่พระะธรรมกายของพระพุทธเจ้า เต็มไปหมดเลยนะจ๊ะ เต็มไปหมดนั่งเข้านิโรธสมาบัติหยุดนิ่งอยู่ในกลางนั่นเต็มเป็นระเบียบทีเดียว เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ เครื่องไทยธรรมของพวกเราทุก ๆ คนก็จะน้อมขึ้นไปอยู่บนนั้น
น้อมขึ้นไปแล้วคุณยายท่านก็จะทับทวีขึ้นไป ถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีพระธรรมกายปรากฏอยู่นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วนทีเดียวน่ะ ทับทวีขึ้นไปเรื่อย ทับทวีกันเข้าไป ญาณทัสสนะก็กว้างไกลออกไปนะ ก็ปรากฏพระธรรมกายของพระพุทธเจ้ามากขึ้นกว่าเดิมขึ้นไปอีก เครื่องไทยธรรมมากทวีคูณไปเรื่อย ทับทวีไปเรื่อย มีกี่พระองค์เครื่องไทยธรรมก็ทับทวีเท่ากันไปเลย ถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ถวายเสร็จก็ขอบุญ ขอบารมี คุณยายก็ขอบุญบารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิของพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพาน นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน
ให้บุญบารมีทั้งหมดเหล่านั้นลงมาซ้อนอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของพวกเราทุก ๆ คน ให้ลงมาซ้อนให้หนาแน่นทีเดียว ให้ดวงบุญนี้มีอานุภาพให้ได้ผลบุญปัจจุบันทันตาเห็น ใครที่ศึกษาเล่าเรียนก็ให้ศึกษาเล่าเรียนให้แตกฉาน สำเร็จการศึกษาสมความปรารถนา ใครที่เป็นนักธุรกิจก็ให้ประกอบธุรกิจการงาน มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง อุปสรรคต่าง ๆ นานา ก็ให้ละลายหายสูญไปให้หมด ใครรับราชการก็เอาบุญศักดิ์สิทธิ์นี่ส่งเสริมเติมต่อส่งไปให้ถึงที่สุดให้ได้ ให้ครอบครัวทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข เป็นครอบครัวธรรมกาย ไม่มีความขัดแย้งกันเลย
มีความสามัคคีกลมเกลียว ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้หมด มีความสุขด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม ด้วยการสั่งสมบารมี ให้เอาบุญนี้หล่อเลี้ยงรักษาใครเจ็บใครป่วยใครไข้ ให้ร่างกายแข็งแรง หายเจ็บ หายป่วย หายไข้ มีความสุขกายสุขใจทุกอย่างเลย ทุกข์โศก โรคภัยละลายหายสูญหมด ความวิตกกังวล เศร้า ซึม เซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้ม อะไรต่าง ๆ ละลายไปหมด ด้วยอานุภาพแห่งบุญจากพระนิพพาน ที่เกิดขึ้นจากการสร้างมหาทานบารมี บูชาข้าวพระนี้ บังเกิดขึ้นกับทุก ๆ คน ในปัจจุบันให้ทันตาเห็น ภพชาติต่อไปในอนาคตก็ให้สมบูรณ์ไปด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศสรรเสริญสุข มรรคผลนิพพาน
ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ มีสมบัติจักรพรรดิ เหมือนท่านชฎิลเศรษฐี ท่านเมนฑกเศรษฐีและท่านโชติกเศรษฐี แต่มีจิตใจที่เป็นบุญกุศลเหมือนมหาอุบาสิกาวิสาขา และท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีมีทรัพย์แล้ว แต่ใช้ทรัพย์นั้นให้เป็นประโยชน์ เป็นกำลังสนับสนุนการเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา มีทรัพย์แล้วก็ไม่ให้ติดใจในทรัพย์นั้น ไม่ผูกพัน แต่ให้รู้คุณค่า เอาทรัพย์นั้นมาสร้างบารมีต่อไปอย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้น ให้สร้างบารมีให้ได้ตลอดรอดฝั่งอย่าได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ
มีกำลังกาย กำลังวาจา กำลังใจที่เข้มแข็งสร้างบารมีโดยไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคทั้งหลายทั้งมวลไปเลย ทุกภพทุกชาติกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม ให้มีจิตใจที่แช่มชื่นเบิกบานอยู่ในธรรมเป็นนิจ ไม่ให้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลยน่ะ ให้บุญหล่อเลี้ยงรักษาเอาไว้ทั้งหมดเลย คุณยายทับทวีคำนวณกราบทูลพระพุทธเจ้า คำนวณบุญให้ได้ทุก ๆ คน แล้วคำนวณให้ได้บุญในวันนี้เป็นบุญพิเศษที่เราจะยกค้ำฟ้าสภาธรรมกายสากล
อันว่าบุญใหญ่นั้นน่ะ ไม่ว่าจะสร้างมากี่ครั้งก็ตามมันก็จะต้องเจอในสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะเจอ แต่ทุกสิ่งไม่เป็นอุปสรรค แม้ฝนที่ตกในวันนี้เนี่ยก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างบารมีอันใดเลย เป็นเรื่องธรรมดาที่เราก็จะต้องสู้กันอยู่ เมื่อเรายังไม่ชนะเค้า พญามารยังปกครองอากาศโลก ขันธโลก สัตวโลกอยู่ เมื่อเค้ายังปกครองอยู่มันก็ยังเป็นไปตามความปรารถนาของเค้า แต่ของเราก็ไม่ได้ย่นย่อท้อถอยตามเก็บไปเรื่อย ๆ เลย มีมาเท่าไหร่เราก็เก็บกันไปน่ะ เก็บไปไม่หยุดไม่หย่อนทีเดียว เพื่อให้เราได้สร้างบารมีกันอย่างสะดวกสบาย
ฝนที่บังเกิดขึ้นนี้เนี่ย ไม่ใช่เป็นฝนธรรมดา บังเกิดขึ้นจากการประมูลฤทธิ์กันประลองฤทธิ์กัน ถ้าเราเห็นด้วยธรรมจักขุ ญาณทัสสนะของวิชชาธรรมกายที่ละเอียดลึกซึ้ง จะเห็นถึงการทุ่มละเอียดกัน ลงมามากมายก่ายกองทีเดียว แม้ว่าจะเก็บไปก่อนล่วงหน้าไว้เยอะแยะแค่ไหนก็ตาม ถึงตอนสุดท้ายก็ทุ่มกันละเอียด มีมากน้อยเท่าไหร่ก็ทุ่มกันมากันหมดภพกันทีเดียวภพของเค้าเท่าไหร่มี ทุ่มกันไปหมด แต่เราก็พุ่งสวนเก็บกันเข้าไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นอย่าไปหวาดหวั่น อย่าไปวิตก อย่างมากก็ทำให้ผืนแผ่นดินแค่แฉะ ดินนุ่ม มีโคลนมีฝน มันก็แค่นั้น
แต่พอถึงเวลาที่เราจะไปอัญเชิญค้ำฟ้าสภาธรรมกายสากล ทุกอย่างจะราบรื่นเรียบร้อย เพราะฉะนั้นให้ลูกทั้งหลายอย่าไปวิตกกังวล โดยเฉพาะท่านประธานหลักอย่าเพิ่งคิดว่า พอเรามาเป็นประธานหลัก ทำไมจึงมามีอุปสรรคอย่างนี้ ทำไมถึงไม่ราบรื่น ทำไมถึงต้องมีฝนมาตกอย่างที่กำลังวิตกกังวล พึงทำใจให้แช่มชื่นอยู่ในพระธรรมกายที่ได้เข้าถึงอยู่ บุญวันนี้จะเป็นบุญอัศจรรย์ เพราะค้ำฟ้าบังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก เค้ามีแต่ยกช่อฟ้ากันเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ค้ำฟ้านี่จะค้ำจุนโลกด้วยธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นบุญนี้เป็นบุญใหญ่ที่จะติดตัวกันต่อไปในภพเบื้องหน้า ยากต่อใครที่จะมีโอกาสได้บุญอย่างนี้ ดังนั้นในวันนี้เนี่ย ให้ทุก ๆ คนได้ตั้งอกตั้งใจทำจิตใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์ หยุดนิ่งเข้าไปในกลางกาย ให้เห็นองค์พระธรรมกายชัดใสแจ่ม แล้วก็ตั้งใจเอาบุญให้เต็มที่เลอะโคลนเราก็ล้างได้ ไม่ใช่ว่าเราเกิดมาก็ไม่เคยเลอะโคลน เราก็เลอะกันทั้งนั้น แม้ชุดที่เรานุ่งห่มจะเป็นสีขาวจะเปื้อนจะเปอะเป็นรอยด่าง ยิ่งดี จะได้เป็นประวัติศาสตร์ของชีวิตว่านี่คือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่เราได้สร้างความดี มีปรากฏอยู่ในอาภรณ์ที่เราสวมกายนี่ ในวันที่เราจะได้ยกค้ำฟ้าขึ้นสถาปนาสภาธรรมกายสากล
เพราะฉะนั้นให้ทำจิตของเราให้ผ่องใส ให้มีปีติมีความเบิกบาน กำลังบุญที่เราจะได้ในวันนี้เนี่ยมากมายก่ายกองทีเดียว อย่างที่เค้าอุปมาว่าบุญเต็มฟ้า สมบัติเต็มแผ่นดินน่ะ เราจะมียิ่งกว่านั้น ไอ้ที่เค้ากล่าวอย่างนั้นน่ะมันเป็นแค่ธุลี ของสิ่งที่เราจะมีต่อไปในอนาคต เพราะฉะนั้นให้ลูก ๆ ทุก ๆ คนอย่าได้วิตก อย่าได้กังวล อย่าได้หวั่นไหวในทุกสิ่ง เราได้ตั้งใจเดินทางมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างบารมีในคราวนี้ จงทำความสำเร็จให้บังเกิดขึ้นเถิด อย่าให้อะไรเป็นทุกสิ่ง ไม่ต้องหลีกเลี่ยงกับโคลนตมที่บังเกิดขึ้น
เดินไปข้างหน้าเรื่อยไป จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรมนะจ๊ะ ให้เอาใจหยุดนิ่งให้ดี ทำจิตใจให้เบิกบานให้แช่มชื่น ให้สะอาดผ่องใส ให้พระธรรมกายลงซ้อนคุมพวกเราทุกคน และตั้งความปรารถนาให้ได้ ว่าสักวันหนึ่งเราจะต้องรู้ถึงวิชชาธรรมกาย ไปรู้ไปเห็นให้ได้ ว่าใครเค้าบังคับบัญชาอยู่ฉากหลังเรา และเมื่อเราไปรู้ไปเห็นได้แล้ว นั่นแหละจึงจะเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อพูดในวันนี้ นะลูกนะ ตั้งใจให้ดีทุกคน อธิษฐานให้ดี