โยโสภะคะวา
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม พ.ศ. ๒๕๒๐
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง เราภาวนาอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ คราวนี้ภาวนาสัมมาอะระหังอยู่ที่ศูนย์กลางตรงเนียะ เราจะภาวนาไปเรื่อย ๆ จะกี่ร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้ง แสนครั้ง เราก็จะภาวนาไปภาวนาไปจนกว่าเราจะกำหนดภาพนิมิตนั้นได้ชัดเจน คือภาพนิมิตนั้นน่ะจะค่อย ๆ ชัดขึ้น สว่างขึ้น เหมือนกับเราลืมตาเห็น อย่างนั้นเราจึงจะหยุด ภาวนา ทีนี้สำหรับบางท่าน ในการกำหนดบริกรรมนิมิตองค์พระก็ดี หรือว่าดวงใส ๆ ก็ดี กลับเป็นเครื่องที่ทำให้ใจฟุ้งซ่านหรือใจกังวล คือวิตกกังวลเกินไป เราจะปล่อยใจของเราให้ว่างเปล่าเฉย ๆ โดยหันมามองจุดตัดที่ศูนย์กลางกายอย่างเดียว อย่างนั้นก็ได้เหมือนกัน คือเราจะหันกำหนดมาที่ศูนย์กลางกายอย่างเดียวได้เหมือนกัน คราวนี้เมื่อเรากำหนดอยู่ตรงนั้นแล้วละก็ จะต้องตัดความสงสัยลังเลว่าไอ้ที่ใจของเรากำหนดไปที่ศูนย์กลางตรงนี้น่ะ มันจะตรงศูนย์กลางกายหรือเปล่า จะต้องตัดไอ้ความเห็นอันนี้ออกไปนะ อย่าไปสงสัยลังเล
ถ้าสมมติเราไปสงสัยลังเล ใจของเราก็จะมาใช้อารมณ์คิด จะแยกออกเป็นสองทาง ซึ่งทําให้เกิดอาการฟุ้งภายในขึ้นมา พอการฟุ้งภายในเกิดขึ้นมา ใจก็ไม่สงบ เมื่อใจไม่สงบ จิตก็เคลื่อนจากสมาธิ เมื่อเคลื่อนจากสมาธิ แสงสว่างหรือนิมิตนั้นก็ไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นให้เรามีความรู้อยู่นิดเดียว รู้ไม่ต้องมาก คือรู้ว่าใจของเราอยู่ที่ศูนย์กลางกาย อย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน วิธีนี้เราจะใช้ในกรณีที่ว่าเมื่อเรากำหนดไม่ได้สร้างภาพไม่ชัดเจน ถึงแม้ว่ามันจะมืดก็ดี ก็ให้เอาใจไปจรดเอาไว้ตรงนั้น แสงสว่างเกิดขึ้นก็ดี ก็ให้เอาใจไปหยุดอยู่ตรงนั้น หยุดอยู่ตรงนี้ที่เดียว อย่าให้เหลื่อมซ้ายเหลื่อมขวา ถ้าหากเป็นองค์พระ ถ้าเรากำหนดได้ ก็ให้ค่อย ๆ ชัดเจนไป
สําหรับบางท่าน องค์พระใหม่ ๆ เรากำหนดให้ใส ให้สว่าง แต่แทนที่จะสว่างได้ดังใจ กลับเป็นแท่งทึบ คือเป็นโลหะทึบ ๆ มั่ง เป็นสีทองมั่ง หรือว่าเป็นสีอะไรก็แล้วแต่ ก็ขอให้มองเรื่อย ๆ ไป อย่าไปวิตกกังวลว่าที่อาตมาให้ทุกท่านกําหนดให้ใสแล้วมันไม่ใส ก็เลยคิดว่ามันไม่ได้ดังใจ คิดว่ามันไม่ใช่ เมื่อคิดอย่างนี้ก็จะทำให้ใจเราเคลื่อนจากสมาธิ คือความสงสัยลังเลเกิดขึ้นมาซะก่อน แล้วเราก็ปล่อยวางอารมณ์ของเราให้เป็นกลาง ๆ เมื่อเราปล่อยอย่างนี้หนักเข้าจิตก็จะเริ่มรวมเข้าสู่สมาธิ แล้วก็จะหยุดอยู่ภายใน ไม่ฟุ้งไปภายนอก แล้วก็ไม่ฟุ้งไปภายใน จิตของเราก็จะสงบจะระงับ นานยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ในไม่ช้าก็จะเห็นแสงสว่างเกิดขึ้น สว่างเหมือนกับดวงอาทิตย์ตอนเที่ยง หรือเหมือนกับพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ เมื่อเราได้ความสว่างอย่างนั้น ก็จะต้องรักษาความสว่างอันนั้นเอาไว้ให้นาน ให้หยุดให้นิ่งไปที่ศูนย์กลางของกลางกาย นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แล้วก็พยายามทำให้คล่อง ให้ชำนาญเชียว จะหลับตา ลืมตา นั่ง นอน ยืน เดิน ก็จะต้องตรึก จะต้องนึก จะต้องคิด ให้เห็นแสงสว่าง อย่างนี้เรื่อย ๆ ไปเชียวน้า
คราวนี้เมื่อใจของเรามาตั้งมั่นที่ศูนย์กลางกายแล้ว ต่อจากนี้ก็จะต้องหยุดซ้ำลงไปอีก ให้ละเอียดอ่อนให้รุกหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดในหยุดถูกส่วน จนกระทั่งแสงสว่างรวมตัวเป็นดวงใส ๆ กลมรอบตัวเหมือนกับดวงจันทร์ หรือว่าดวงอาทิตย์ ใสแจ่มเกิดขึ้นมาที่ศูนย์กลางกาย อันนี้แหละเป็นฐานที่ตั้งใจของเราเรียกว่าดวงปฐมมรรค เป็นหนทางไปของพระอรหัต อรหันต์ เราจะต้องตรึก จะต้องนึก จะต้องคิดถึงดวงนี้เอาไว้ให้มาก ๆ แล้วก็รักษาเอาไว้น้า ที่เรากล่าวว่า โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ นั้นน่ะระลึกถึงพระธรรมกายโดยตรงเชียว ที่ว่าโย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทธโธ ก็หมายถึงว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ
ทีนี้คำว่าพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นน่ะ หมายถึงอะไร ก็หมายถึงพระธรรมภายในตัวเรานั่นเอง เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายที่มาในวันนี้ ท่านที่มาใหม่ ที่มาเก่าก็พยายามทำความเข้าใจซ้ำลงไปอีก ที่มาใหม่ก็จะต้องทำความเข้าใจ ไอ้ที่ว่าพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบนั้นน่ะหมายถึงอะไร หมายถึงพระสิทธัตถะ ที่ตรัสรู้ที่ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ หรือว่าหมายลึกซึ้งไปกว่านั้นอีก เราจะต้องทำความรู้สึกทำความรู้จักให้ดีเชียวนะ ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ เราจะส่งใจไปถึงพระพุทธเจ้าไม่ได้ ถ้าหากเราไม่รู้จักพระพุทธเจ้า เราก็จะส่งใจไปถึงท่านไม่ได้ เมื่อเราส่งใจไปถึงท่านไม่ได้ ไอ้ที่เราขอถึงท่านน่ะเป็นสรณะ คือทั้งเป็นที่พึ่ง ทั้งเป็นที่ระลึก เราก็จะส่งใจไปไม่ถูกทางเพราะว่าไม่รู้จักตัวท่าน
เหมือนอย่างเด็ก ๆ เมื่อมีภัยเกิดขึ้นก็ดี ก็จะต้องแล่นไปหา บิดา มารดา ไอ้ที่แล่นไปหาถูกเพราะรู้จักบิดามารดา เพราะฉะนั้นอย่างเราก็เช่นเดียวกัน เราจะแล่นไปหาพระพุทธเจ้า เราก็จะต้องรู้จักพระพุทธเจ้า เราจะแล่นไปหาพระธรรมเจ้า เราก็จะต้องรู้จักพระธรรมเจ้า เราจะแล่นไปหาพระสงฆเจ้า เราก็ต้องรู้จักพระสงฆเจ้าเพราะฉะนั้นวันนี้จะต้องทำความเข้าใจให้ดีเชียวนะ เกี่ยวกับเรื่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สำหรับพระรัตนตรัยนี้ อาตมาพยายามย้ำอยู่บ่อย ๆ เพื่อจะให้ทุกท่านได้รู้จัก พระรัตนตรัยอย่างแท้จริง เพราะว่าในสากลโลกในสากลธรรมทั้งหมด ที่มีพุทธศาสนา อยู่ในประเทศต่าง ๆ จนกระทั่งมาถึงประเทศไทยของเราเนี่ย ได้แก้ไขเกี่ยวกับเรื่องพระรัตนตรัยนั่นน่ะ ยังไม่ถูกถึงแก่น
จนกระทั่งหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านได้ค้นพบวิชชาธรรมกายขึ้นมา จึงได้รู้จักพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน จะต้องศึกษาให้เข้าใจ จึงจะถูกตัวของพระรัตนตรัย จึงจะรู้จักพระรัตนตรัย ถ้าไม่รู้จักท่าน เราก็จะแล่นไปหาท่านไม่ได้ อย่างที่เรียนเอาไว้เบื้องต้น ทีนี้เราจะรู้จักท่านว่าเป็นพระพุทธเจ้านั่นนะ เราจะทำยังไง เบื้องต้นจะต้องรู้จักตัวของเราเองเสียก่อน คือต้องรู้จักตัวของเราเอง อะไรคือตัวของเรา กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก ที่นั่งกับที่นี่แหละตัวของเรา แต่ว่าเป็นตัวโดยสมมติ คราวนี้เราจะไปให้ถึงท่านได้ เบื้องต้นจะต้องเอาใจของเราหยุด คือปล่อยวางภาระ อย่างที่ได้สอนเอาไว้อย่างนั้นน่ะ แล้วก็เอาใจของเราหยุดเข้าไปที่ศูนย์กลางกาย ที่เรากำหนดบริกรรมนิมิตสัมมาอะระหังไปน่ะ ต้องการให้ใจหยุด
พอถูกส่วนเข้า เราจะเห็นดวงปฐมมรรค เป็นดวงกลมใสรอบตัว เหมือนกับดวงจันทร์หรือว่าดวงอาทิตย์ อันนี้เป็นเบื้องต้นที่จะเข้าไปถึงพระพุทธเจ้าภายใน ใจต้องหยุดเข้าไปในศูนย์กลางดวงปฐมมรรค ถูกส่วนเข้าจะเห็นดวงศีล เป็นดวงกลมใสรอบตัวเหมือนกัน แต่ว่าใสกว่าสว่างกว่า หยุดเข้าไปในกลางดวงศีล ถูกส่วนเข้าเห็นดวงสมาธิ กลมรอบตัวเหมือนกัน แต่ว่าใสกว่าสว่างกว่า หยุดเข้าไปในกลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา หยุดเข้าไปในกลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ หยุดเข้าไปในกลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดเข้าไปในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าเห็นกายมนุษย์ละเอียดเกิดขึ้น ลักษณะเหมือนกับตัวเราซึ่งเป็นเจ้าของ เราเรียกว่ากายฝันหรือกายสัมภเวสี
เมื่อมาถึงกายที่สองนี้ เราก็จะต้องให้กายที่สองดำเนินต่อไปอีกเหมือนกัน กายที่สองนี่ก็เป็นตัวเราเหมือนกัน แต่ว่าเป็นตัวชั้นที่สอง คราวนี้จะต้องให้กายมนุษย์ละเอียดนั่นนั่งขัดสมาธิ หันหน้าออกไปทางเดียวกะเรา เอาใจของกายมนุษย์ละเอียดหยุดเข้าไปที่ศูนย์กลางกาย ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน กลมรอบตัวเหมือนกับดวงจันทร์หรือว่าดวงอาทิตย์ โตใหญ่กว่าหนักยิ่งขึ้นไป เท่ากะสองเท่าของฟองไข่แดงของไก่ ใจหยุดเข้าไปในกลางดวงปฐมมรรค ถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล หยุดเข้าไปในกลางดวงศีล ถูกส่วนเข้าไปเห็นดวงสมาธิ หยุดเข้าไปในดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา หยุดเข้าไปในกลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ หยุดเข้าไปในกลางดวงวิมุตติ เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
หยุดเข้าไปในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าดวงวิมุตติญาณทัสสนะขยายส่วนออก เห็นกายทิพย์หยาบเกิดขึ้น กายทิพย์หยาบก็เป็นกายที่สวยงาม หนักยิ่งขึ้น เป็นกายของเราเอง แต่ว่าแตกต่างกับกายมนุษย์ละเอียด ที่มีเครื่องประดับประดาเกิดขึ้นมา ทีนี้เราจะต้องเอากายทิพย์หยาบนั่นน่ะ นั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับเรา เอาใจของกายทิพย์หยาบหยุดเข้าไปที่ศูนย์กลางกาย ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน โตเท่ากับสามเท่าของฟองไข่แดงของไก่ ใจของกายทิพย์หยาบ หยุดเข้าไปในดวงปฐมมรรคถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล หยุดเข้าไปในกลางดวงศีลถูกส่วนเข้า เห็นดวงสมาธิ
หยุดเข้าไปในกลางดวงสมาธิถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา หยุดเข้าไปในกลางดวงปัญญาถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติ หยุดเข้าไปที่ดวงวิมุตติ เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดเข้าไปที่ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ขยายส่วนออก เห็นกายทิพย์ละเอียดเกิดขึ้น ลักษณะคล้าย ๆ กับกายทิพย์หยาบ แต่ว่าสวยงามกว่า ประณีตกว่า มีรัศมีสว่างไสวใสเป็นแก้ว เราก็ให้กายทิพย์ละเอียดนั่งขัดสมาธิหันหน้าออกเช่นเดียวกัน เอาใจของกายทิพย์ละเอียดหยุดเข้าไปที่ศูนย์กลางกาย ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน โตเท่ากับสี่เท่าของฟองไข่แดงของไก่ เอาใจของกายทิพย์ละเอียดหยุดเข้าไปในกลางดวงปฐมมรรค ถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล หยุดเข้าไปกลางดวงศีล ถูกส่วนเข้าไปเห็นดวงสมาธิ
หยุดเข้าไปในดวงสมาธิถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา หยุดเข้าไปที่ดวงปัญญา ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ หยุดเข้าไปที่ดวงวิมุติถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดเข้าไปที่ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ดวงวิมุตติญาณทัสสนะขยายส่วนออก เห็นอีกกายหนึ่งเกิดขึ้นมา เรียกว่ากายรูปพรหมหยาบ โตใหญ่หนักยิ่งขึ้น สวยงามหนักยิ่งขึ้น กายรูปพรหมหยาบนี่ก็เป็นกายของเราเองเหมือนกัน จะเข้าถึงพระพุทธเจ้าได้ ก็จะต้องเอากายรูปพรหมหยาบนั่นน่ะ นั่งขัดสมาธิ หันหน้าออกไปทางเดียวกะเรา
เอาใจของกายรูปพรหมหยาบ หยุดเข้าไปที่ศูนย์กลางกาย ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปฐมมรรค หรือดวงธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน โตเท่ากับห้าเท่าของฟองไข่แดงของไก่ ใจของกายรูปพรหมหยาบ หยุดเข้าไปในกลางดวงปฐมมรรค ถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล หยุดเข้าไปกลางดวงศีล ถูกส่วนเข้าเห็นดวงสมาธิ หยุดเข้าไปในกลางดวงสมาธิถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา หยุดเข้าไปที่ดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติ หยุดเข้าไปที่ดวงวิมุตติถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดเข้าไปที่ดวงวิมุตติญาณทัสสนะถูกส่วนเข้า กายรูปพรมหยาบขยายส่วนออก เห็นกายรูปพรหมละเอียดเกิดขึ้นมาที่ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ สวยงามหนักยิ่งขึ้น ใจของกายรูปพรหมละเอียด
หยุดเข้าไปที่ศูนย์กลางกาย ถูกส่วนเห็นดวงปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน โตเท่ากับหกเท่าของฟองไข่แดงของไก่ เอาใจของกายรูปพรหมละเอียด หยุดเข้าไปที่ศูนย์กลางกาย ถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล หยุดเข้าไปกลางดวงศีล ถูกส่วนเข้าไปเห็นดวงสมาธิ หยุดเข้าไปในดวงสมาธิถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา หยุดเข้าไปในกลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ หยุดเข้าไปในกลางดวงวิมุติถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดเข้าไปในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะถูกส่วนเข้า ดวงวิมุตติญาณทัสสนะขยายส่วนออก เห็นอีกกายหนึ่งเกิดขึ้นมา เป็นกายที่เจ็ด เรียกว่ากายอรูปพรหมหยาบ กายอรูปพรหมหยาบ
เมื่อเราจะเข้าถึงพระพุทธเจ้าได้ ก็จะต้องเอากายอรูปพรหมหยาบนั่งขัดสมาธิ หันหน้าออกไปทางเดียวกะเรา เอาใจของกายอรูปพรหมหยาบหยุดเข้าไปที่ศูนย์กลางกาย ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน โตเท่ากับเจ็ดเท่าของฟองไข่แดงของไก่ เอาใจของกายอรูปพรหมหยาบ หยุดเข้าไปในศูนย์กลางดวงปฐมมรรค ถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล หยุดเข้าไปกลางดวงศีล ถูกส่วนเข้าเห็นดวงสมาธิ หยุดเข้าไปในดวงสมาธิถูกส่วนเข้า เห็นดวงปัญญา หยุดเข้าไปที่ดวงปัญญาถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ หยุดเข้าไปในกลางดวงวิมุตติ เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดเข้าไปในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าดวงวิมุตติญาณทัสสนะขยายส่วนออก เห็นกายอรูปพรหมละเอียดเกิดขึ้นมา สวยงามหนักยิ่งขึ้นไป
เมื่อเราจะเข้าถึงกายพระพุทธเจ้า จะต้องเอากายอรูปพรหมละเอียดหยุดเข้าไปที่ศูนย์กลางกาย พอถูกส่วนเข้าเห็นดวงปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน โตเท่ากับแปดเท่าของฟองไข่แดงของไก่ เป็นดวงกลมใสรอบตัว เหมือนกับดวงจันทร์หรือว่าดวงอาทิตย์ เอาใจของกายรูปพรหมละเอียด หยุดเข้าไปในกลางดวงปฐมมรรคหรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล หยุดเข้าไปในกลางดวงศีล ถูกส่วนเข้าเห็นดวงสมาธิ หยุดเข้าไปในกลางดวงสมาธิถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา หยุดเข้าไปที่กลางดวงปัญญาถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ หยุดเข้าไปในกลางดวงวิมุตติถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดเข้าไปในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะถูกส่วนเข้า
ดวงวิมุตติญาณทัสสนะขยายส่วนออก เห็นกาย ๆ หนึ่งเกิดขึ้นมา เป็นพระปฏิมากรเกตุดอกบัวตูม ไสเป็นแก้วปางสมาธิ หน้าตักหย่อนกว่าห้าว่านิดหน่อย คืออาจจะหย่อนศอก หย่อนคืบ หรือหย่อนเมตรก็แล้วแต่ ตามกำลังส่วนของบารมีของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน กายที่เกิดขึ้นมาใหม่อันนี้แหละเรียกว่าพระธรรมกาย เรียกว่าพระธรรมกายโคตรภู เป็นกายกึ่งกลางระหว่างภพสามกับพระนิพพาน คือครอบโคตรภู คือครอบปุถุชนทั้งหมด แต่ว่ายังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล กายธรรมอันนี้แหละที่เราหมายถึงเอาไว้ตั้งแต่เบื้องต้นน่ะ ที่เราได้สวดมนต์กันตั้งแต่ตอนเช้า ว่าโยโสภะคะวา อะระหังสัมมา สัมพุทโธ ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ
อันนี้แหละก็หมายถึงกายธรรมอันนี้แหละ แต่ว่าลึกกว่านี้เข้าไปหมายเอากายธรรมพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหัต หมายถึงเอากายธรรมพระอรหัตนั้น หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา ใสเป็นแก้ว สวยงามหนักยิ่งขึ้น ละสังโยชน์ได้ ๑๐ อย่าง หมายถึงเอากายนั้น แต่ว่าจะเข้าถึงนั้นได้ จะต้องกะเทาะกายธรรมนี้เข้าไป กะเทาะไปตามลำดับ ไปตามศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ จนกระทั่งเข้าถึงกายธรรมพระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหัต ได้ธรรมกายหน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วาใสเป็นแก้ว สวยงามหนักยิ่งขึ้น นั้นแหละจึงจะเป็น โยโสภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ เป็นพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ อันนี้เป็นคุณของพระธรรมกาย ไม่ใช่ว่าเป็นตัวเนื้อหนังของพระตถาคต
ตัวเนื้อหนังของพระตถาคตเจ้า หรือพระพุทธเจ้านั้นก็คือพระธรรมกาย เกตุดอกบัวตูม ๒๐ วา อันนั้น นี้คุณของท่าน ก็คือเป็นผู้ห่างไกลแล้วจากกิเลสทั้งหลาย แล้วก็ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ เมื่อถึงธรรมกายอย่างนี้ เข้าไปเป็นธรรมกายอย่างนี้เนมิตกนามเกิดขึ้นพร้อมกันไม่ก่อนไม่หลัง ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากสังโยชน์เบื้องต่ำเบื้องสูง ตั้งแต่สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ หยาบละเอียด มานะ อุทธัจจะ อวิชชา รูปราคะ อรูปราคะ อวิชชาจนกระทั่งหมดสิ้นสังโยชน์เบื้องต่ำเบื้องสูง อันนี้แหละจึงจะมีเนมิตกนาม เป็นคุณนามเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กันกับการบังเกิดขึ้นของพระธรรมกาย คือห่างไกลแล้วจากกิเลสทั้งหลาย สังโยชน์ทั้งหลายก็ไม่มาครอบงำดวงจิตของท่าน
ทั้งในดวงจิตของท่านก็ไม่มีสังโยชน์ทั้งสิ้น มีแต่ใจที่สว่างไสวเป็นพระนิพพานล้วน ๆ ใจก็เป็นธรรมทั้งหมด กายก็เป็นธรรมทั้งหมด จึงเรียกว่ากายธรรม ขันธ์ของท่านก็เป็นธรรมทั้งหมด จึงได้เรียกว่าธรรมขันธ์ธาตุของท่านเป็นธรรมทั้งหมด จึงได้เรียกว่าธรรมธาตุ อันนี้แหละหมายถึงธรรมกาย เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ ที่ว่าตรัสรู้แล้วเองโดยชอบก็หมายถึงว่า เมื่อสมณโคดมหรือพระพุทธเจ้าของเราได้ทรงดำเนินมาถึงกายธรรมพระอรหัตอย่างนี้ พระองค์ตรัสรู้ขึ้นเอง ไม่มีใครสั่งสอน แล้วก็หมดกิเลสพร้อม ๆ กันเกิดขึ้นมาเมื่อตรัสรู้แล้วเองโดยชอบอย่างนี้ ไม่มีใครสั่งสอน จึงเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า มีธรรมกายอย่างนี้นะ เมื่อเรารู้จักอย่างนี้แล้วละก้อ เราถึงจะส่งใจ เข้าไปเป็นที่พึ่งเป็นที่ระลึกถึงพุทธเจ้าที่ถูกตัวจริง
ถ้าไม่รู้จักพระพุทธเจ้าตัวจริงอย่างนี้แล้วละก็ เราจะปฏิบัติศาสนาไปซักกี่ร้อยปีก็แล้วแต่ เข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย เมื่อเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย ก็ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชน จะเป็นพุทธศาสนิกชนได้ ก็จะต้องเข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างนี้ นี่จำเอาไว้ให้ดีเชียวนะ ทีนี้เมื่อถึงพระพุทธเจ้า หรือกายธรรมข้างในหน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา คุณของท่านก็บังเกิดขึ้นอีก วิชชาจรณสัมปันโน สมบูรณ์ด้วยทั้งวิชชา ทั้งจรณะ วิชชาสาม วิชชาแปด อภิญญาหก จตุปฏิสัมภิธาญาณ จรณะสิบห้า สมบูรณ์ไปหมด ระลึกชาติหนหลังก็ได้ รู้ผลกรรมของสรรพสัตว์ทั้งหลาย รู้การเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลายก็ได้ หรือทำอาสวะให้สิ้นก็ได้ ระลึกชาติหนหลังก็ได้ รู้ผลกรรมของสรรพสัตว์ทั้งหลาย รู้การเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลายก็ได้ หรือทำอาสวะให้สิ้นก็ได้
มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้ รู้วาระจิตมีมโนมยิทธิทอิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ แสดงเดชได้ทั้งหมด นี่เมื่อถึงกายอรหัต ๒๐ วาแล้วจะเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น สมบูรณ์ทั้ง วิชชาทั้งจรณะ สุคโต ก็เป็นคุณนามต่อไปอีก คือเสด็จไปดี ไปที่ไหนก็ไปดีทั้งหมด เป็นสิริมงคลทุกที่ ๆ ท่านเสด็จไป ถ้าว่าไปในแนวปฏิบัติแล้ว การที่จะไปดีได้เข้าถึงพระพุทธเจ้าได้ ถึงพระธรรมกายได้ล่ะก็ ก็เดินมาตามศีล ตามสมาธิ ตามปัญญา ตามวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ มาทางนั้นทางเดียวเท่านั้นจึงจะเป็นสุคโต ถ้าผิดทางศีล ทางสมาธิ ทางปัญญาแล้วละก็ ไม่เป็นสุคโต อันนี้จำเอาไว้ให้ดีน้า เพราะฉะนั้นคำว่าเสด็จไปดีแล้วก็คือเสด็จเข้ามาทางนี้แหละ เข้าศูนย์กลาง
ใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลาง ถูกส่วนก็เห็นดวงศีล หยุดเข้าไปในกลางดวงศีลถูกส่วนก็เห็นดวงสมาธิ หยุดเข้าไปในกลางดวงสมาธิถูกส่วนก็เห็นดวงปัญญา เข้าไปอย่างนั้นไปตามลำดับ ถึงวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ของทุก ๆ กาย กระทั่งเข้าถึงกายธรรม อย่างนั้นจึงจะเป็นสุคโต เมื่อถึงอย่างนี้แล้วคำว่า โลกะวิฑูก็จะเกิดขึ้นไปในเวลาเดียวกัน เพราะธรรมกายนั้นมีรู้มีญาณ เกิดขึ้นมารู้แจ้งโลกหมด โลกทั้งสาม ตั้งแต่กายยาววา หนาคืบกว้างศอก จนกระทั่งอากาศโลก ขันธโลก สัตวโลก หรือภพสาม นิพพานโลกันตร์ทะลุหมด ไม่มีอะไรกำลัง นัตถิ โลเก รโห นามะ ความลับไม่มีในโลก เมื่อเข้าถึงธรรมกายอย่างนี้แล้วทะลุได้หมด พระพุทธเจ้าท่านมองได้ตลอดหมด ตลอดในโลกธาตุทั้งหลาย จึงได้ชื่อว่าโลกวิทู แล้วก็ยังได้ชื่อว่าเป็นสารถี ผู้ฝึกบุรุษสตรียิ่งกว่าผู้ฝึกคนอื่น เพราะว่าเมื่อเข้าถึงธรรมกายมีรู้มีญาณนั่นนะ ท่านระลึกชาติหลังได้ รู้วาระจิตของเขาได้ รู้อนุสัย
อนุสัย กิเลสต่าง ๆ ที่นอนเนื่องอยู่ ว่าบุคคลชนิดนี้ว่าควรจะโปรดด้วยวิธีใด พระองค์ก็ทรงชี้หนทางอันนั้นได้ จนกระทั่งฝึกบุรุษเหล่านั้นหรือสตรีเหล่านั้น ให้เป็นพระอริยสาวกในพระพุทธศาสนาได้ เมื่อเข้าถึงอย่างนี้แล้วก็ได้ชื่อว่าเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อถึงกายธรรมแล้วคำว่า พุทโธ คือว่าเบิกบาน จิตก็จะเบิกบานพร้อม เพราะว่าไม่มีอาสวกิเลสทั้งหลาย เข้ามาครอบงำดวงจิตให้เศร้าหมอง เพราะฉะนั้นผิวหน้าท่านก็ผ่องใส กายเนื้อของท่านก็ผ่องใสเป็นฉัพพรรณธรังสี จิตใจท่านก็เบิกบานแช่มชื่น เพราะว่าใจของท่านเป็นพระธรรมกายไปหมดล้วน ๆ แล้ว เมื่อท่านเข้าถึงอย่างนี้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีโชคที่เรียกว่า ภะคะวา
พระองค์จัดว่าเป็นผู้มีโชคที่สุดเหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลาย เหนือกว่าเทวดาทั้งหลาย เพราะว่าโชคของพระองค์นั้นน่ะได้พบถึงอริยทรัพย์ ได้เข้าถึงหนทางที่จะพ้นทุกข์ทั้งหลาย แล้วก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้จำแนกแจกจ่ายธรรมะที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ขึ้น ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายได้ นี่ก็เป็นคุณนามของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าเป็นตัวเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้า ตัวเนื้อแท้นั่นก็เป็นพระธรรมกาย เกตุดอกบัวตูมใสเป็นแก้ว หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา นอกนั้นก็เป็นนาม เป็นเนมิตกนาม เกิดขึ้นพร้อมกับการเกิดขึ้นของพระธรรมกาย นี่ให้รู้จักอย่างนี้กันทุกท่านเชียวนะ ถ้ารู้จักอย่างนี้ก็ได้ชื่อว่าเราเจริญพุทธานุสติ คือเอาสติของเราระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
เมื่อสติของเราตรึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อย่างนี้ จิตก็จะว่างเปล่าจากนิวรณ์ทั้งห้า จะว่างจากกิเลสทั้งหลาย คือ โลภะโทสะ โมหะ ก็ไม่สามารถที่จะมาครอบงำดวงจิตของเราได้ เมื่อไม่สามารถครอบงำดวงจิตของเราได้ ไม่ช้าเราก็จะเข้าถึงธรรม เป็นพระอริยสาวกองค์หนึ่งในบวรพุทธศาสนาเมื่อเรารู้จักพระพุทธเจ้าอย่างนี้แล้ว การที่จะรู้จักพระธรรมเจ้าก็ไม่ยาก ที่เราสวดมนต์ตอนเช้านะ โยโส ภะคะวา โย โส ภะคะวา สวากขาโต ภะคะวาตาธัมโม คือธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสดีแล้ว ที่เราได้สวดกันตอนเช้าน่ะ ธรรมอะไรล่ะที่เป็นสวากขาตะธรรม เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสดีแล้ว ธรรมที่ตรัสดีแล้วถ้าเนื้อหนังของธรรมแท้ ๆ อันนี้จำให้ดีนะ แยกให้ดีเชียว
ถ้าเนื้อหนังของธรรมแท้ ๆ แล้ว มีลักษณะเป็นดวงกลมใสรอบตัว ถ้าใจเราหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายมนุษย์ เราเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ นั่นแหละเป็นธรรม ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสดีแล้ว ธรรมอันนั้นเป็นที่เกิดของศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ จำเอาไว้ให้ดีเชียวนะ ธรรมที่เรากล่าว ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวดีแล้วนะ หมายถึงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ถ้าเราเข้าถึงกายธรรมของกายทิพย์ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ อันนั้นก็เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้ากล่าวดีแล้ว แล้วเป็นธรรมที่ทำให้เกิดศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
คราวนี้ทวนย้อนหลังไปอีกทีหนึ่ง คือธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์น่ะได้มาด้วยความบริสุทธิ์กายวาจาใจ คือประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ หรือรักษาศีลให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ เราจึงได้ธรรมดวงนี้เกิดขึ้นมา อันนั้นก็เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้ากล่าวดีแล้ว หรือธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ ได้แก่เราทำเทวธรรมให้เกิดขึ้นมา บำเพ็ญ หิริโอตตัปปะสูงขึ้นมาอีก นอกจากให้ทานรักษาศีลแล้ว เราก็ยังมีหิริโอตตัปปะ ได้ดวงธรรมอันนี้เกิดขึ้นมา อันนี้ก็เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้ากล่าวดีแล้ว แล้วสูงขึ้นไปอีก ได้แก่ธรรมที่ทำให้เป็นกายพรหม ก็ได้แก่ที่พระองค์ทรงสอนให้ทำใจให้ปราศจากนิวรณ์ ทำฌานสมาบัติเกิดขึ้นมา จนกระทั่งธรรมดวงนี้เกิดขึ้น เป็นดวงใสกลมรอบตัวแล้วก็ทรงกายรูปพรหมเอาไว้ อันนั้นก็เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวดีแล้ว
ถ้าลึกเข้าไปอีกถึงกายอรูปพรหม ธรรมที่พระองค์กล่าวดีแล้ว ก็ได้แก่การเจริญอรูปญาณสมาบัติ คือได้สมาบัติแปด นั้นแหละจึงจะได้ธรรมดวงนี้เกิดขึ้นมา โตเท่ากับแปดเท่าของฟองไข่แดงของไก่ แล้วธรรมดวงนี้ก็ทรงเอากายอรูปพรหมเกิดขึ้นมา แล้วธรรมดวงนี้ก็เป็นที่เกิดของศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ จนกระทั่งเข้าถึงกายธรรม ธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย อันนี้ก็คือธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ดีแล้ว นี่แหละ สวากขาตธรรม ธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ทั้งหลาย รวมแล้วย่อแล้วเหลือสาม คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อแล้วเหลือหนึ่งคือปฐมมรรค หรือธรรมที่ทำให้เป็นกายต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด อันนี้ก็จัดเป็นสวากขาตธรรม คือธรรมที่พระพุทธเจ้ากล่าวดีแล้ว อันนี้แหละเป็นเนื้อหนังของธรรม ส่วนคุณธรรมนั่นน่ะ เกิดขึ้นมาพร้อมกับการเกิดขึ้นมาของธรรมนั่นน่ะมีไปตามลำดับ คือสันทิฏฐิโก
เมื่อเราถึงอย่างนี้แล้ว เมื่อเข้าถึงธรรมอย่างนี้ ใจเราเห็นใจเราเป็นธรรม เราก็เห็นธรรมของเราเกิดขึ้นมา ผู้ที่เข้าเห็นเองถึงจะรู้เองได้ อันนี้เป็นนามของท่านนะ คือหมายความว่าเราเห็นเราก็เห็นเอง รู้เองเห็นเอง อย่างนี้แล้วก็หายสงสัยได้ อะกาลิโก ไม่จำกัดกาลเวลา เข้าถึงธรรมเมื่อไหร่ เข้าถึงธรรมกายได้เมื่อไหร่ ใจของเราก็เบิกบานได้เมื่อนั้น มีความสุขเมื่อนั้น พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายเมื่อนั้น เอหิปัสสิโก เป็นธรรมที่ควรจะเรียกผู้อื่นมาดู เมื่อเราเข้าถึงธรรมอย่างนี้แล้ว มีความสุข มีความสงบ มีความเย็นกาย เย็นใจอย่างนี้เกิดขึ้น ก็ควรที่จะเรียกให้คนอื่นมาดู มาพิสูจน์ดู ว่าทำอย่างนี้น่ะมันมีจริง ๆ นะ เมื่อเข้าถึงแล้วก็มีความสุขกายสบายใจอย่างนี้ อันนี้แหละเขาเรียกว่า เอหิปัสสิโก แล้วก็พิสูจน์ได้ทุกเมื่อ ทำเวลาไหนก็ได้
เมื่อใจหยุดถูกส่วนก็จะต้องเข้าถึงธรรมนั้น ๆ เมื่อเข้าถึงธรรมแล้วก็ต้องมีความสงบ เย็นกาย เย็นใจอย่างนี้พิสูจน์ได้ โอปะนะยิโก สามารถน้อมเข้ามาในตนได้ ไอ้คำว่าน้อมเข้ามาในตนนี้ สำคัญเชียวนะ ถ้าสําหรับนักปฏิบัติใหม่ ๆ บางท่านพอใจรวมถูกส่วนนิมิตเกิดขึ้นนอกตัว เป็นดวงกลมใสรอบตัวก็ดี หรือกายต่าง ๆ เกิดก็ดี นั่นน่ะยังไม่ถูกนะ จะต้องโอปะนะยิโก คือน้อมเอาเข้ามาไว้ในตัวของเรา พอน้อมเอามาไว้แล้วก็ จึงจะเดินไปตามลำดับ เข้าถึงกายธรรมได้ถึงธรรมกายของเราได้ ต้องน้อมเข้ามาอย่างนั้น เมื่อน้อมเข้ามาอย่างนี้ยังจะน้อมออกมานอกตัวได้อีก น้อมไปนรกก็ได้ ไปสวรรค์ก็ได้ หรือว่าไปพระนิพพานก็ได้ น้อมเข้ามาหาในตัว
ถ้าน้อมออกนอกตัว ไปทางอื่นแล้วละก็ไปไม่ถูกทาง ต้องน้อมเข้าศูนย์กลางของกลางกายเชียวนะ ถึงจะเป็นโอปะนะยิโก ปัตจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ผู้รู้คือวิญญูชนผู้รู้ทั้งหลายเนี่ยะ รู้ได้เฉพาะตน ก็เหมือนเรารับประทานอาหารนะ เรารับประทานเองก็อิ่มเอง การเข้าถึงธรรมก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราเข้าถึง ทำใจให้หยุดถูกส่วน เห็นดวงใส ๆ อันนั้นแหละเราก็รู้เองเห็นเอง เกิดขึ้นมาเอง มีความสุขด้วยตัวของเราเอง อย่างนี้เป็นนามธรรม เกิดขึ้นพร้อมกับการเกิดขึ้นของธรรมรัตนะ หรือพระธรรม การเจริญอย่างนี้ได้ชื่อว่าเราเจริญธัมมานุสสติ เป็นเหตุให้จิตของเราบริสุทธิ์ ปราศจากนิวรณ์ทั้งห้า
เมื่อเราเข้าถึงธรรม เมื่อเราเข้าถึงพระธรรมอย่างนี้แล้ว การเข้าถึงพระสงฆ์นั้นก็ไม่ยาก อย่างเช่นเราสวดมนต์มาเมื่อเช้านี่น่ะ โย โส สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ว่าสาวกของผู้มีพระภาคเจ้าต้องเป็นผู้ปฏิบัติดี ถ้าว่าเนื้อหนังของพระสังฆรัตนะแล้วละก็ เราต้องหมายเอาลึกเข้าไปอีก คือธรรมกายในธรรมกายนั่นแหละ นั่นแหละจึงจะเป็นสังฆรัตนะอย่างแท้จริง คือพระสงฆ์ที่เราหมายเอาถึง เป็นองค์สุดท้ายของพระรัตนตรัย เมื่อสังฆรัตนะเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว ก็มีคุณนามเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาเป็นเนมิตกนาม เกิดขึ้นมาตามลำดับ ว่าเมื่อถึงกายธรรมอย่างนี้แล้วละก็ จะต้องเป็นผู้ปฏิบัติดี
ผู้ที่ปฏิบัติดี ประพฤติถูกตามทำนองคลองธรรม ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนั้นจึงจะชื่อว่าสุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า คราวนี้คำว่าสาวกก็หมายความว่า ว่าผู้ฟัง ฟังธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อถ้าฟังหนักเข้าปฏิบัติหนักเข้าก็รู้เองเห็นเอง เข้าถึงธรรมกายได้ อย่างนี้จึงจะจัดว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า สุปะฏิปันโน สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ก็หมายถึงว่าต้องปฏิบัติตรง ตรงทางไปของพระนิพพานตรงทางไปของพระอรหันต์ เมื่อเข้าถึงกายธรรมอย่างนี้แล้วละก็ ตรงทางไปพระนิพพานทีเดียว ไม่แวะเวียนข้างทาง สิ่งที่นอกเหนือวิชชาธรรมกายแล้ว ก็ไม่สนใจทั้งหมด
จะสนใจแต่วิชชาธรรมกายอย่างเดียว อย่างนี้เป็นอุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้แล้ว อายุไณยโย จึงเป็นผู้ควรแก่การเคารพสักการบูชาเมื่อผู้ใดได้เข้าถึงธรรมกายอย่างนี้นะ ข้างนอกก็เป็นพระข้างในเป็นพระ จึงจะเป็นผู้ที่ควรแก่การเคารพสักการบูชา จะบูชาด้วยอามิสบูชา หรือปฏิบัติบูชา ก็แล้วแต่ สมควรอย่างยิ่ง ปาหุเนยโยควรแก่การต้อนรับ ท่านไปที่ไหน ก็ควรแก่การต้อนรับ รับท่านเอาไว้เถอะเป็นสิริมงคลทั้งนั้น แม้แต่ตัวเราเข้าถึงธรรมกายก็รับเอาไว้ อย่าเอาใจของเราไปจดที่อื่น จดเอาไว้ที่ธรรมกายนั้นแหละ จึงจะเรียกว่าเป็นปาหุเนยโย คือต้อนรับ คือต้อนรับพระสงฆ์ ซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ที่ปฏิบัติดี หรือปฏิบัติตรงต่อทางไปของพระนิพพาน นี้ว่าในแนวของทางปฏิบัตินะ
ทักขิไณยโย ควรแก่การรับทานทั้งหลาย ควรแก่การของต้อนรับทั้งหลาย คือวัตถุทานทั้งหลาย ถ้าเราจะบริจาค จะทำทานต่อปฏิคาหก ที่เป็นทักขิไณยบุคคล ถึงจะได้อานิสงส์มากยิ่งใหญ่ไพศาล ทักขิไณยบุคคลคือผู้ที่เข้าถึงธรรมกาย ตัวเราเป็นธรรมกายเองก็ดี หรือผู้อื่นเป็นธรรมกายก็ดี อย่างนั้นจึงจะจัดว่าเป็นทักขิไณยบุคคล ทักขิไณยโย อัญชะลีกะระณีโย หมายถึงว่าท่านอยู่ที่ไหนก็ควรแก่การกราบไหว้บูชา อยู่ตามป่า ตามเขาตามห้วย ตามหนอง ตามคลอง ตามบึง หรือที่ไหนก็แล้วแต่ ไปเถอะไปกราบไปไหว้บูชาท่าน นั่นแหละจึงจะเป็นสิริมงคลแก่ตัวของเราเอง อันนี้เราก็จำเอาไว้ให้ดีเชียวนะ การเจริญอย่างนี้ก็ได้ชื่อว่า เราเจริญสังฆานุสสติเป็นเหตุให้ใจของเราบริสุทธิ์ ปราศจากนิวรณ์ทั้งห้า เป็นที่ตั้งแห่งบุญแห่งกุศลทั้งหลาย
เมื่อเราศึกษาอย่างนี้แล้วก็จะต้องทำให้เข้าถึง เข้าถึงธรรมกายของเรา ถ้าเราเอาจริงจังกันละก็เข้าถึงกันทุก ๆ คนจะเป็นหญิง เป็นชายก็ดี จะเป็นชาติไหน ภาษาไหนก็ตาม พอใจหยุดถูกส่วนแล้วละก็ จะเข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างนี้ ทีนี้เมื่อเรายังเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย เราควรจะทำอย่างไร จึงจะแล่นไปถึงได้ เราก็ควรจะทำอย่างนี้ เราเห็นแค่กายไหน เราก็เอาใจของเราหยุดไปแค่กายนั้น ถ้าสมมติว่าถ้าเราเห็นแค่กายมนุษย์หยาบ ก็เอาใจหยุดที่กายมนุษย์หยาบ หยุดอยู่ตรงนั้นทีเดียว ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น และความยินดียินร้ายในรูปเสียง กลิ่นรส สัมผัส ธรรมารมณ์ละ ปล่อยวางแล้วก็เอาใจหยุดอยู่ภายใน หยุดไปตามลำดับ อย่างที่ได้สอนเอาไว้ตั้งแต่เบื้องต้น นั่นแหละจึงจะได้ชื่อว่าเราเข้าถึงพระรัตนตรัย หรือขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก นี่ให้เข้าใจอย่างนี้ทุกคนเชียวนะ เอาละเมื่อเราเข้าใจกันอย่างนี้แล้ว ต่อจากนี้ก็พยายาม ตั้งอกตั้งใจของเราเชียว ให้ใจของเราหยุดให้ใจของเราให้นิ่ง ให้ใจของเราใสสะอาดบริสุทธิ์ จะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะ ที่จะรองรับบุญกุศลของเราต่อไป ให้ตั้งใจปฏิบัติกันให้ดีกันทุก ๆ ท่านเชียวนะ