พระรัตนตรัยภายใน

วันที่ 19 มีค. พ.ศ.2567

190367b01.jpg

พระรัตนตรัยภายใน
๗ มกราคม ๒๕๓๓
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

                เราได้บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้เราจะได้นั่งหลับตาเจริญภาวนากัน ขอให้ทุกคนนั่งขัดสมาธิ ขัดสมาธิก็ให้เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบายๆ คล้าย ๆ กับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา บีบเปลือกตา อย่าไปกดลูกนัยน์ตา หลับพอสบาย ๆ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย เพราะเราต้องใช้เวลาต่อจากนี้ไป ๑ ชั่วโมงเต็ม สำหรับการเจริญภาวนาและบูชาข้าวพระ 

 


                เพราะฉะนั้นท่านที่มาใหม่ให้ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดีนะจ๊ะ เอาพอสบาย ๆ และก็ให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างให้หมดสิ้นจากใจ ทำประหนึ่งว่าเราไม่เคยมีภารกิจเครื่องกังวลใจอะไรเลย ให้ปลดให้ปล่อยให้วาง ให้ใจเราว่างเปล่าจาก ภารกิจทั้งหลายทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าเรื่องครอบครัว ธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียนหรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้ปลดให้ปล่อยให้วางให้ใจว่าง ว่างเปล่าจากความคิดทั้งหลายทั้งมวล จากภารกิจทั้งหลายทั้งมวล ทำประหนึ่งว่าเราอยู่คนเดียวในโลก ทำใจให้เบิกบานให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ให้ผ่องใส

 


                เพราะว่าวันนี้เป็นวันบุญใหญ่ เป็นวันบูชาข้าวพระ ซึ่งเดือนหนึ่งมีเพียงครั้งเดียว อาทิตย์แรกของเดือนซึ่งเราจะได้นำเครื่องไทยธรรม อันมีดอกไม้ธูปเทียน อาหารหวานคาว มาจากบ้านกันคนละเล็กคนละน้อย และก็มารวมประชุมกันอยู่ที่นี่ ที่วัดพระธรรมกาย เพื่อที่จะมาประกอบพิธีบูชาข้าวพระ คือการนำเครื่องไทยธรรมซึ่งเป็นของหยาบ กลั่นให้เป็นของละเอียดด้วยพระธรรมกาย จนกระทั่งเครื่องไทยธรรมเหล่านั้น มีความละเอียดเท่ากับพระธรรมกาย และต่อจากนั้นก็จะได้นำของละเอียดนี้ ไปถวายเป็นพุทธบูชา แด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า ในอายตนนิพพาน 

 


                เราได้ประพฤติปฏิบัติการบูชาข้าวพระนี้สืบเนื่องกันมานานหลายสิบปีทีเดียว  วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เราจะได้ประกอบพิธีบูชาข้าวพระ เพราะฉะนั้นจะต้องทำให้จิตใจของเราเบิกบาน ให้แช่มชื่นให้สะอาดให้บริสุทธิ์ให้ผ่องใส จะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ที่จะเกิดขึ้น จากการบูชาข้าวพระที่ทำได้ยากนั้น ยากหลายประการ ประการแรกเราจะต้องทราบว่า พระธรรมกายนั่นนะอยู่ที่ตรงไหน มีลักษณะอย่างไร จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีการใด เมื่อเข้าถึงแล้ว จะกลั่นให้เป็นของละเอียดน่ะทำอย่างไร กลั่นเป็นของละเอียดแล้วจะน้อมขึ้นไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้านั่นน่ะ เขาทำกันอย่างไร นี่มันยากหลาย ๆ ชั้น

 


                การบูชาข้าวพระนั้นน่ะไม่ใช่เป็นของใหม่ เป็นของเก่า คือสิ่งที่ทำยากอย่างนี้ ถ้าเราตั้งอกตั้งใจศึกษากันจริง ๆ ฝึกฝนกันจริง ๆ ปฏิบัติจริง ๆ เราก็สามารถทำได้ ก่อนอื่นเราต้องทราบว่าพระธรรมกายนั้นสิงสถิตอยู่ที่ตรงไหน สำหรับท่านที่มาใหม่จะต้องทำความเข้าใจ ว่าพระธรรมกายคือกายตรัสรู้ธรรม มีลักษณะที่สวยงามประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วน ทุกประการเลย งามไม่มีที่ติ งดงามกว่ามนุษย์ กว่าเทวดา กว่ารูปพรหม หรืออรูปพรหม ในภพทั้ง ๓ นั้นงามสู้ไม่ได้ ได้ลักษณะครบถ้วนบริบูรณ์หมด ถ้าเราจะพอเทียบเคียงได้ก็คล้าย ๆ กับพระปฏิมากร แต่ว่าเกตุดอกบัวตูม แต่ว่าปฏิมากรที่เค้าทำยังไม่เหมือนยังไม่คล้ายกันเลย เพราะท่านงามจริง ๆ งามทุกส่วน เกตุดอกบัวตูมใสเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ ใสคล้ายเพชร ใสยิ่งกว่าเพชร ใสจนกระทั่งมีรัศมีออกมาสว่าง และท่านก็มีชีวิตจิตใจเช่นเดียวกับพวกเรานี่แหละ เป็นกายตรัสรู้ธรรม คือท่านจะรู้จะเห็นได้ด้วยกายของท่าน คือเห็นได้ด้วยธรรมจักขุ เห็นได้ด้วยดวงตาธรรมของท่าน และก็หยั่งรู้คือรอบรู้ด้วยญาณของท่าน 

 


                การรู้การเห็นของท่านนั่นแตกต่างจากการรู้การเห็นของมนุษย์ ของเทวดา ของพรหมและของอรูปพรหม เป็นการเห็นที่วิเศษที่แจ่มแจ้ง ถูกต้องตรงไปตามความเป็นจริง เพราะว่าการเห็นของท่านนั้นเห็นได้รอบตัว ทั้งซ้ายทั้งขวา ทั้งหน้า ทั้งหลัง ทั้งล่างทั้งบน เห็นไปพร้อม ๆ กัน สามารถเห็นได้ในเวลาเดียวกันได้ เห็นได้ทั้งในอดีตเห็นได้ทั้งในปัจจุบัน และก็เห็นได้ทั้งในอนาคต รู้เห็นอะไรเป็นไปตามความเป็นจริงหมด การรู้เห็นอย่างนี้ท่านเห็นได้รอบตัว อย่างนี้เค้าเรียกว่าเห็นแจ้ง เหมือนดึงเอาของที่ตั้งอยู่ในที่มืดนั่นน่ะ เอามาสู่กลางแจ้ง อาศัยแสงสว่างอันนั้นน่ะ จะทำให้เรารู้แจ้งได้ เห็นไปตามความเป็นจริง 

 


                พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า ธรรมจักขุของพระองค์ท่านนั่นนะ จะมองทะลุปุโปร่งไปหมดเลย เห็นหมดในอดีต ความเป็นมาของชีวิตเรา ว่าเริ่มต้นมาจากไหน มาอย่างไร ทำไมถึงต้องมาเวียนว่ายตายเกิด และทำอย่างไรถึงจะเลิกเวียนว่ายตายเกิด เห็นชีวิตนี้เป็นทุกข์ อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ และวิธีที่จะขจัดทุกข์นั่นนะ จนกระทั่งเข้าถึงความสุขอันไพบูลย์ ความสุขที่แท้น่ะจริงทำอย่างไร ธรรมกายจะเห็นหมดเลย เห็นอย่างเดียวยังไม่พอยังรู้ด้วย รู้แจ้งด้วย 

 


                รู้แจ้งของท่านน่ะรู้ได้รอบด้าน รู้ได้รอบตัว เนื่องจากเห็นได้รอบตัว เพราะฉะนั้นท่านก็รู้ได้รอบตัว รู้ได้รอบด้าน ด้านก็มีอย่างน้อยก็ ๒ ด้าน คือด้านดีด้านชั่วท่านก็รู้หมด ด้านถูกด้านผิด อันไหนถูกอันไหนผิดก็รู้ อันไหนเหมาะอันไหนควรก็รู้อันไหนเป็นบุญเป็นบาปก็รู้ อันไหนเป็นประโยชน์หรือว่าไม่เป็นประโยชน์ก็รู้ อันไหนสุขอันไหนเป็นทุกข์ก็รู้อันไหนเที่ยงอันไหนไม่เที่ยงก็รู้ อันไหนเป็นตัวตนหรืออันไหนไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงก็รู้ รู้ได้รอบด้านอย่างนี้แหละ

 

 

          เพราะฉะนั้นพระธรรมกายนี่จึงเป็นกายตรัสรู้ธรรม เป็นกายสำคัญที่สุดของมนุษย์ทั้งหลาย กายอันนี้แหละที่ท่านสิงสถิตอยู่ศูนย์กลางกายตรงฐานที่ ๗ ในกลางตัวของเรา เป็นแก่นของกาย แก่นของชีวิต แก่นของกลางน่ะอยู่ในกลางตัวของเรา เป็นกายที่ละเอียดที่สุด ซ้อนอยู่ภายในกายมนุษย์หยาบตรงนี้ ซ้อนอยู่ตรงฐานที่ ๗ ฐานที่ ๗ คือตำแหน่งที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ สมมุติเราขึงเส้นเชือก จากสะดือทะลุไปข้างหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นเชือกทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท เหนือจุดตัดของเส้นเชือกทั้ง ๒ นี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ 

 


                ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นที่สิงสถิตของพระธรรมกาย นี่ถ้าหลวงพ่อพูดถึงฐานที่ ๗ ก็หมายเอาตรงนี้นะจ๊ะ ฐานที่ ๑ เรานับมาจากปากช่องจมูก หญิงข้างซ้าย ชายข้างขวา ฐานที่ ๒ ก็ตรงหัวตา ตรงเพลาตา ฐานที่ ๓ ก็กลางถูกศีรษะ ฐานที่ ๔ ก็เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก ฐานที่ ๕ ก็ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก ฐานที่ ๖ ก็ตรงจุดตัดของเส้นเชือกทั้ง ๒ ฐานที่ ๗ ก็ตรงเหนือจุดตัดนั้นขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเป็นที่สิงสถิตของพระธรรมกาย 

 


                อันที่ว่าเป็นกายละเอียดที่สุดนั่นนะ ก็หมายถึงว่า นอกจากพระธรรมกายหรือนอกจากกายมนุษย์หยาบที่เราเห็นอยู่นี้นะ ยังมีอีกหลาย ๆ กายที่ซ้อนกันอยู่ภายในตัวของเรา คือในกลางกายมนุษย์หยาบที่เราอาศัยนั่งทำสมาธิเนี่ยะ ในกลางนั้นถ้าใจเราหยุดได้ถูกส่วนตรงฐานที่ ๗ เราจะพบอยู่อีกกายหนึ่งซ้อนกันอยู่ ลักษณะเหมือนกับตัวเราที่เป็นเจ้าของ ท่านหญิงก็เหมือนกับท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนกับท่านชาย บางครั้งเราก็เรียกว่ากายฝัน หรือกายไปเกิดมาเกิด ที่เรียกว่ากายฝัน เพราะเวลาเรานอนหลับสนิทดีแล้ว กายนี้แหละจะออกไปทำหน้าที่ฝัน ไปรู้ไปเห็นเรื่องราวอะไรต่าง ๆ แล้วก็กลับมารายงานกายหยาบ อันนี้เรียกว่ากายฝัน 

 


                 ที่เรียกว่ากายมนุษย์ละเอียด เพราะว่าลักษณะเหมือนกายมนุษย์หยาบ แต่ว่าละเอียดอ่อนกว่า ถ้าหากว่าเราเอาใจหยุดให้ถูกส่วนในกลางของกายมนุษย์ละเอียด พอถูกส่วนกายมนุษย์ละเอียดก็จะขยายส่วนกว้างออกไป เราจะเข้าถึงอีกกายหนึ่ง เข้าถึงอีกกายหนึ่งคือกายทิพย์ กายทิพย์นั้นลักษณะสวยงามกว่ากายมนุษย์ละเอียด งาม งามกว่ามากทีเดียว เป็นกายของชาวสวรรค์กายของสุคติภูมิ มีเครื่องประดับประดาสวยงามมาก งามกว่ากายมนุษย์ละเอียด และในกลางของกายทิพย์นั้น น่ะ 

 

 

                ถ้าเราถูกส่วนเอาใจหยุดไปถูกส่วนในกลางกายทิพย์ กายทิพย์นั้นจะขยายส่วนกว้างออกไป จนเข้าถึงอีกกายหนึ่งคล้ายกับกายทิพย์ แต่ว่าสวยงามกว่า มีรัศมีมากกว่า เครื่องประดับก็ละเอียดอ่อนกว่า เรียกว่ากายรูปพรหม เป็นกายที่อยู่ในอรูปภพ ในกลางของกายอรูปพรหมนั้นน่ะ ยังมีอีกกายหนึ่งซ้อนอยู่ภายใน เมื่อเราเอาใจหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของกายรูปพรหมได้ถูกส่วน กายรูปพรหมก็จะขยายส่วนกว้างออกไป เราจะเข้าถึงกายอรูปพรหม กายอรูปพรหมนั้นก็คล้าย ๆ กับกายรูปพรหม แต่ว่าละเอียดกว่า ทั้งรูปร่างทั้งจิตใจ ทั้งเครื่องประดับ ทั้งภพภูมิที่เป็นอยู่ ละเอียดอ่อนกว่า ปราณีตขึ้นไปเรื่อย ๆ 

 


                ในกลางกายอรูปพรหมอันนี้แหละ เราจะเข้าถึงกายธรรม ในกลางกายอันนี้แหละเป็นที่สิงสถิตของกายธรรม กายตรัสรู้ธรรม หรือพระธรรมกาย เพราะฉะนั้นที่ว่ากายธรรมนั้นเป็นกายธรรมที่ละเอียดที่สุด เพราะเป็นกายที่ซ้อนอยู่ในกายต่าง ๆ ซ้อนเข้าไปตามลำดับ ไปอยู่ข้างในสุดเลย เป็นแกนกลางของกายทั้งหมด เป็นแก่นกลางนะ กายนี้แหละเป็นกายของผู้รู้ ผู้เห็น รู้แจ้ง เห็นแจ้งแทงตลอด รู้ได้รอบตัว และก็เห็นได้รอบตัวทุกอย่างหมดเลย เป็นกายที่หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งหลาย ความทุกข์เข้าไปครอบงำกายธรรมไม่ได้เลย เป็นกายที่มีแต่ความสุขล้วน ๆ ที่เรียกว่า เอกันตบรมสุข เป็นสุขอย่างเดียว และก็เป็นบรมสุขด้วยไม่ใช่สุขธรรมดา สุขอย่างยิ่ง สุขอย่างเดียวไม่มีทุกข์เจือปนเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นตัวตนเป็นตัวจริง ตัวแท้ ๆ ของเราเลยแหละ 

 


                ส่วนกายอื่นนั้นไม่ใช่ตัวจริงที่เรียกว่าอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่ตัวจริงไม่ใช่ตัวแท้ เป็นตัวที่อาศัยชั่วคราว แต่ตัวจริงนั้นคือกายธรรมที่มีลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการเลย เกตุดอกบัวตูมใสบริสุทธิ์เป็นเพชรการเข้าถึงกายธรรมอันนี้เรียกว่าเข้าถึงไตรสรณคมน์ ไตรก็แปลว่า ๓ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธคือพระพุทธรัตนะคือ พระธรรมกายที่ใสเป็นแก้ว ธรรมรัตนะก็ดวงธรรมที่อยู่ภายในของธรรมกายเป็นบ่อเกิดแห่งคำสอนแห่งความรู้ทั้งหลาย สังฆรัตนะในที่นี้หมายถึงสังฆรัตนะที่ละเอียด ที่เป็นแก้วจริง ๆ เป็นสังฆรัตนะจริง ๆ ที่จะรักษา จะทรงจำ พระธรรมวินัย คำสอนทั้งหมด ความรู้ทั้งหมดอยู่ในกลางธรรมรัตนะ 

 


                เพราะฉะนั้นไตรแปลว่า ๓ เมื่อเราเข้าไปถึงอย่างนี้เรียกว่าเราเข้าถึงรัตนตรัย ไตรแปลว่า ๓ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สรณะก็แปลว่าที่พึ่งที่ระลึก เมื่อเข้าไปถึงแล้ว พึ่งท่านได้ อบอุ่นใจทีเดียว ไม่มีความทุกข์เจือปนเลย ท่านจะขจัดทุกข์โศกโรคภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งหมดได้ ภัยในอบายภูมิ ภัยวัฏสงสาร หรือภัยต่าง ๆ ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันอันนี้ ความทุกข์ทั้งหลายที่ทำให้โศกเศร้า เสียใจ คับแค้นใจ พิไรรำพันอะไรต่าง ๆ ก็จะหมดสิ้นไป ความโศก ความแห้งใจ ความคับแค้นใจ อึดอัดใจ ความเศร้า ความเหงา ความเสียใจ พิไรรำพันอาลัยอาวรณ์อะไรต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะหมดสิ้นไป เนี่ยะเป็นสรณะเป็นที่พึ่งและก็เป็นที่ระลึกด้วย คือระลึกถึงท่านได้แล้วเมื่อไหร่ ใจจรดติดท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว เป็นสุขอย่างเดียว นี้เป็นสรณะ ยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว หรือเสมอเท่านี้ก็ไม่มี มีแต่ต่ำกว่า 

        


                อรูปพรหมนั้นก็ต่ำกว่าอันนี้ พรหมก็ต่ำกว่านี้ เทวดาก็ต่ำกว่าอันนี้ จะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี รัฐมนตรี หรือใครก็แล้วแต่ก็ต่ำกว่านี้ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นเสมอเท่านี้หรือยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว จึงเป็นสรณะ คมน์ ก็แปลว่าแล่นเข้าไป หรือแปลว่าเข้าถึงนั่นเอง ไตรสรณคมน์ คมน์ แปลว่าเข้าถึง เข้าไปถึงตัวจริงและก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้าเข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ก็จะเป็นที่พึ่ง คือเป็นที่พึ่งและเป็นที่ระลึก มีความสุขอย่างเดียว ทุกข์ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตัวของพวกเราทุกคน เป็นสิ่งที่ผู้ฉลาดที่เกิดมาในภพนี้ ชาตินี้จะต้องแสวงหา ไม่ควรมัวเมาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร ในโลกนี้ 

 


                เพราะสิ่งทั้งหลายจะเป็นคน เป็นสัตว์เป็นสิ่งของ มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตามก็เป็นแค่เครื่องอาศัย พบปะเจอะเจอกันชั่วครั้งชั่วคราว ผลัดกันขอยืมชื่นชมกันไป แล้วก็พลัดพรากจากกันไปเท่านั้นเองดังนั้นมีพุทธพจน์อยู่บทหนึ่งที่ท่านกล่าวเอาไว้ว่า “ทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้อันตระการประดุจราชรถ ที่คนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่" ว่าท่านทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ คือเชิญชวนพวกเราทั้งหลายมาดู อันตระการประดุจราชรถ ราชรถของพระราชาสมัยก่อนนั้นงามมาก ท่านเปรียบเทียบกับสิ่งที่งามของโลกนี้ จะเป็นคนเป็นสัตว์เป็นสิ่งของ รูป เสียง กลิ่น รสสัมผัส ธรรมารมณ์ อะไรก็แล้วแต่งามก็ได้แค่แบบราชรถ ซึ่งไม่ช้ามันก็ผุพังไป ที่คนเขลาหมกอยู่ คือ คนที่ไม่ฉลาดหรือความรู้ยังไม่สมบูรณ์ ยังหมกมุ่นอยู่ มัวเมาอยู่ เพลิดเพลินอยู่ 

 


                 แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ คือผู้ที่เข้าถึงธรรมกายติดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกาย รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดไปหมด ไม่ติดแค่คิดแต่เพียงว่าเป็นเครื่องอาศัยกันเท่านั้นเอง บ้านที่ว่าของเรา นี่ก็ของชั่วคราว พี่น้องของเรา สามีของเราภรรยาของเรา สมบัติอะไรต่าง ๆ ของเราก็ชั่วครั้งชั่วคราว มันไม่ใช่เป็นจริงเป็นจัง แต่ของเราจริง ๆ ก็ต้องติดกับเราไปตลอด เราบังคับบัญชาได้อยู่ในโอวาท อยู่ในคำสั่ง อยู่ในอำนาจของเราตลอดเวลา แต่ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น มันมีแต่พลัดพราก และก็แตกดับเสื่อมสลายกันไป เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวมันก็ไม่ดี ผีเข้าผีออกกันไปอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นไม่จริงไม่จัง ที่คนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ นี่หมายเอาธรรมกายทีเดียว เพราะผู้รู้จะต้องหมายเอาธรรมกายอันเดียว อันอื่นนั้นน่ะยังรู้ไม่สมบูรณ์ ยังรู้ไม่จริง รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง รู้ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง 

 


                แต่รู้จริง ๆ แล้ว ต้องธรรมกายอย่างเดียว ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ หรือพอติดในธรรมกายแล้วอย่างอื่นก็ไม่อยากได้ก็เฉย ๆ นี่เป็นสิ่งที่ท้าทาย และก็เชิญชวนที่พวกเราทั้งหลาย ควรจะทุ่มเทชีวิตจิตใจฝึกเอาให้ได้ ปฏิบัติเอากันให้ถึง เอากันจริง ๆ จัง ๆ กันทีเดียว อาทิตย์หนึ่งเราควรจะหาโอกาสมาปฏิบัติธรรมร่วมกันที่วัดพระธรรมกายที่เพื่อมาทบทวนความไม่จำของพวกเรา หรือเพื่อมาเพิ่มความขยันให้แก่เรา ซึ่งเรามักจะยอมขี้เกียจ ยอมแพ้ซะจนกระทั่งไม่ยอมชนะ อาทิตย์หนึ่งก็ควรจะมาเพิ่มเติมกันซักครั้งหนึ่ง หรืออย่างน้อยอาทิตย์ต้นเดือนเราก็มาประชุมพร้อมกัน มาฟังโอวาท มาปฏิบัติธรรมะร่วมกัน และก็มาบูชาข้าวพระทีนี้เรารู้ว่าธรรมกายลักษณะเป็นอย่างนี้อยู่ตรงกลาง มีคุณสมบัติที่ดีเลิศ เป็นเป้าหมายของชีวิต รู้แค่นี้ยังบูชาข้าวพระยังไม่ได้ จะต้องรู้วิธีที่จะนำเครื่องไทยธรรมทั้งหลาย กลั่นให้เป็นของละเอียด ธรรมกายเราละเอียดแค่ไหน จะต้องนำเครื่องไทยธรรมนั้นกลั่นให้ละเอียดเท่ากัน จนกระทั่งใสสะอาดบริสุทธิ์เท่ากัน 

 


                เห็นชัดเจนทีเดียวเครื่องไทยธรรมเหล่านั้น เห็นธรรมกายชัดเท่าไหร่ ธรรมกายก็เห็นเครื่องไทยธรรมชัดเท่านั้นตอนแรกเราเห็นธรรมกาย แต่ต่อไปก็ต้องเป็นธรรมกาย พอเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกาย ธรรมกายก็เห็นเครื่องไทยธรรมนั้น ละเอียดชัดเท่ากับธรรมกาย และยังไม่พอยังจะต้องเข้ากลางนี่ให้คล่อง รู้จักทีเดียวว่าภพทั้ง ๓ มีอะไรบ้าง กามภพ รูปภพ อรูปภพ ต้องรู้จักหมด ทั่วถึงหมดเลย ภพสาม นิพพาน โลกันตร์ทะลุไปหมดเลย โลกันตร์อยู่ตรงไหน กามภพ รูปภพ อรูปภพ อยู่ตรงไหน อายตนนิพพานนะอยู่ตรงไหน แล้วพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานนานไปแล้ว ทิ้งแต่พระสรีระเอาไว้ให้เป็นพระบรมสารีริกธาตุ และกายธรรมของพระองค์สิงสถิตอยู่ที่ตรงไหน ต้องรู้จัก 

 


                เมื่อรู้เห็นอย่างนั้นแล้ว จะต้องทำความละเอียดของกายธรรมนั้นน่ะ ให้ละเอียดเท่ากับกายธรรมในอายตนนิพพาน เพราะถ้าทำอย่างนั้นได้แล้วจึงจะน้อมเครื่องไทยธรรมเหล่านี้ถวายเป็นพุทธบูชาได้ในขณะนี้ก็เห็นจะมีแต่คุณยายของเราอยู่ท่านหนึ่ง ท่านเดียวเท่านั้น ที่สามารถทำอย่างนี้ได้ เพราะฉะนั้นเดือนหนึ่งมีครั้งเดียว เราจึงนำเครื่องไทยธรรมจากบ้านมาคนละเล็กละน้อยเพื่อจะมาร่วมประชุมพร้อมกัน อาศัยพระธรรมกายของคุณยายท่าน กลั่นให้เป็นของละเอียดถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อยากอย่างนี้ ผลบุญที่เกิดขึ้นจึงยิ่งใหญ่อย่างมหาศาล 

 


                บุญนั้นเป็นกระแสชนิดหนึ่ง ที่ขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ และก็มีอานุภาพให้ความสุขและความสำเร็จในชีวิต คือความสุขก็ได้ ความสำเร็จในชีวิตก็ได้ความสำเร็จตั้งแต่ได้รูปสมบัติที่ดี สวยงาม ด้วยคุณสมบัติที่ประเสริฐ ได้ทรัพย์สมบัติเอาไว้สำหรับสร้างบารมี ไม่รู้จักหมดจักสิ้น และยังดึงดูดลาภ ยศ สรรเสริญ ความสุขทั้งหลายทั้งมวล ตลอดจนกระทั่งเป็นเครื่องผลักดันสนับสนุนให้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน ได้อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ จรณะ ๑๕ อะไรต่าง ๆ เหล่านั้นทั้งหมด จะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี บรมเศรษฐี เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าหรือพระสัพพัญญูพระพุทธเจ้า ต้องอาศัยกระแสแห่งบุญอันนี้แหละที่เราได้ทำเอาไว้ เป็นกระแสชนิดหนึ่งขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ทีเดียว จะเกิดขึ้นเมื่อจิตเป็นกุศล จิตคิดจะให้ทาน จิตคิดจะรักษาศีล จิตที่จะคิดเจริญภาวนา กระแสแห่งบุญนั้นก็จะตั้งขึ้นแล้ว เมื่อเราเริ่มลงมือทำ ทำด้วยความคิด ทำด้วยคำพูด ทำด้วยการกระทำทั้งหมด ด้วยกายหยาบเหล่านี้

 


                พอบริจาค สมมติเราให้ทาน พอบริจาควัตถุทานขาดออกจากใจเท่านั้น บุญญาภิสันธารท่อธารแห่งบุญ ก็บังเกิดขึ้น ให้กระแสแห่งบุญนั้น หลั่งไหลเข้าสู่ศูนย์กลางกำเนิดคือศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ และก็ตั้งอยู่ที่ตรงนี้แหละพอมารวมกันมาก ๆ เข้าก็เป็นดวงกลม กลมเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์น่ะ ใสบริสุทธิ์ นั่นแหล่ะเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข และความสำเร็จทั้งมวลแห่งชีวิต สิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายพึงปรารถนาจะเกิดได้ก็อาศัยกระแสบุญนี้รูปสมบัติที่สวยงามดังกล่าวแล้วน่ะ แข็งแรงอายุยืน ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีพวกพ้องบริวารที่ดีซื่อสัตย์ สุจริตมีความคุณสมบัติคือเฉลียวฉลาดทุกอย่าง มีปฏิภาณไหวพริบ คล่องแคล่วเชี่ยวชาญ คิดอะไรก็สมความปรารถนา ทรัพย์สมบัติเกิดขึ้นทุกอย่าง 

 


                ทรัพย์สินเงินทองอะไรทุกอย่าง เกิดขึ้นก็อาศัยกระแสแห่งบุญนั้นดูดเข้ามาทีเดียว ดึงดูดทีเดียว อยู่ในกลางตัวนี่แหละ ทรัพย์ที่อยู่ในที่ต่าง ๆ น่ะจะถูกกระแสนี้ดึงดูด ดึงดูด ถ้าทรัพย์นั้นอยู่ที่ตัวบุคคล ก็ดึงดูดบุคคลนั้นเข้ามาหา ทรัพย์อยู่ในดินก็ให้เจอในดิน ทรัพย์ที่อยู่ในอากาศก็เจอในอากาศ อยู่ในน้ำก็เจอในน้ำ มันดึงดูดเข้ามาทีเดียว ดูดจากศูนย์กลางกายนี่แหละ เป็นกระแสชนิดหนึ่งที่ละเอียดอ่อนทีเดียวจะเห็นได้ด้วยธรรมจักขุของธรรมกายเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจะเห็นบุญได้อย่างนี้แหละ เห็นบุญได้ด้วยธรรมจักขุ และหยั่งรู้ได้ด้วยญาณของพระธรรมกาย เพราะฉะนั้นธรรมกายเป็นตัวหลักที่จะรู้จะเห็นเรื่องบุญ 

 


                พอรู้เห็นเรื่องบุญเราก็รู้เห็นเรื่องผลกรรมทีเดียว ผลกรรมของสัตว์ทั้งหลาย ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกที่เรียกว่า จุตูปปาตญาณ เห็นชาติหนหลังได้เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และก็ขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้เรียกว่า อาสวักขยญาณ กิเลสทั้งหลายอยู่ตรงไหนเห็นหมด ขจัดได้หมด กระแสแห่งบุญเนี่ยะ เป็นเครื่องพัดผันให้เรารู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอด เพราะฉะนั้นบุญนี่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องทำ ขาดไม่ได้ หลวงพ่อถึงได้ให้คำขวัญไว้ว่าเราเกิดมาสร้างบารมี ไม่ได้เกิดมาเพื่ออย่างอื่น เกิดมาสร้างบารมีเท่านั้น บารมีจะบังเกิดขึ้นได้ก็อาศัยการบำเพ็ญบุญ ก็คือการสร้างบุญ มีมาก ๆ เข้าก็เป็นบารมี เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลายที่มาในวันนี้ เมื่อเข้าใจอย่างนี้ดีแล้ว ต่อจากนี้ไป เราจะได้ชำระกายวาจาใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ให้ผ่องใส โดยการเจริญภาวนากันสักครู่หนึ่ง

 


                เมื่อใจเราใสสะอาดบริสุทธิ์ดีแล้ว เราก็จะได้ประกอบพิธีบูชาข้าวพระกันต่อไป สำหรับท่านที่มาใหม่เมื่อรู้จักว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อยู่ที่ตำแหน่งเหนือจากจุดตัดของเส้นเชือกทั้งสองสูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือแล้ว ก็ให้สร้างมโนภาพกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ ว่าในกลางกายของเรา ในกลางท้องของเราเหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือนั้นน่ะ มีดวงแก้วที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้วไม่มีขนแมวโตเท่ากับแก้วตา นึกตามไปนะจ๊ะ เรานึกว่าตรงกลางสมมุติว่ามีดวงแก้วที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมวโตเท่ากับแก้วตา ใสเหมือนกับเพชรทีเดียว ใครเคยเห็นเพชร ก็ลองนึกถึงเพชรทีเดียวเลยนะว่าใสบริสุทธิ์ กลมรอบตัว โตเท่ากับแก้วตาของเรานะ กลมรอบตัว 

 


                วิธีจะสร้างมโนภาพที่เราจะสมมุติจะต้องนึกอย่างธรรมดาง่าย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงดอกบัว ดอกกุหลาบอะไรอย่างนั้นน่ะ นึกง่าย ๆ นึกอย่างสบาย ๆ ทำใจให้สบาย ๆ นึกเพลิน ๆ อย่าไปตั้งใจนึกมากเกินไป ถ้าตั้งใจนึกมากเกินไปมันนึกไม่ออก ต้องนึกเพลิน ๆ นึกธรรมดา ๆ เหมือนนึกภาพดอกบัว ดอกกุหลาบ หรือภาพคนที่เรารู้จัก ของที่เรารักอะไรอย่างนั้น นึกเบา ๆ คำว่านึกให้ละเอียดอ่อนหมายความว่าให้นึกเบา ๆ ค่อย ๆ นึก ค่อย ๆ นึก นึกอย่างสบาย ๆ คือนึกแล้วให้มันเพลิน เพลินในการนึก ให้มันประติดประต่อกันขึ้นมา เป็นดวงกลมใส รอบตัว แล้วก็ต้องใจเย็น ๆ คืออย่าไปอยากเห็นให้มันชัดเจนเร็วเกินไปน่ะ ไม่ได้ดังใจเดี๋ยวเราจะหงุดหงิดแทน เราต้องค่อย ๆ นึกใจเย็น ค่อย ๆ ประคองไป นึกได้ชัดเจนแค่ไหนเราก็เอาแค่นั้นแหละ เช่นเรานึกได้แค่ ๕% ชัดเจนได้ ๑๐% หรือ ๒๐% เหมือนเราเอาเพชร ไปตั้งไว้ในที่ไกล ๆ น่ะ 

 


                นึกได้แค่ไหนแล้วก็เอาแค่นั้น นึกสบาย ๆ ให้มีความสุขในการนึก อย่าเกิดความรู้สึกว่าเราต้องฝืนนึก หรือพยายามที่จะนึก อย่างนี้เรียกว่านึกอย่างสบาย ๆ ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ นึกไป พร้อมกับภาวนา ภาวนาในใจนะจ๊ะ โดยให้เสียงของคำภาวนา ดังออกมาจากจุดกึ่งกลางของดวงแก้ว คือให้ดังออกมาจากในท้องนั่นเองแหละ สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ภาวนาสัมมาอะระหัง ควบคู่กับการนึกถึงดวงแก้วนึกให้ใสบริสุทธิ์ ควบคู่กันไปนะจ๊ะ ส่วนบางท่านที่ถนัดนึกถึงองค์พระ เพราะว่ากราบไหว้บูชาพระทุก ๆ วัน นึกได้ง่าย และจะจำเอาภาพขององค์พระมาแทนดวงแก้วก็ได้ ไม่ว่าท่านจะทำด้วยวัสดุอะไรก็ตามเถอะ อาราธนาให้ท่านมานั่งขัดสมาธิ หันหน้าออกไปทางเดียวกับเรา องค์ใหญ่เล็ก ก็แล้วแต่ใจเราชอบ ลักษณะที่เราจะมองเห็นก็เหมือนกับมองจากด้านสูงลงไปด้านล่าง มองลงไป นี่ถ้าถนัดนึกถึงองค์พระก็ให้นึกถึงองค์พระแทนดวงแก้วนะจ๊ะ 

 


                ใครถนัดนึกถึงดวงแก้วเพราะเคยเห็นเพชรบ่อย ๆ ชอบเพชร ชอบเครื่องประดับก็จะนึกถึงเพชรแทนก็ได้ กลมรอบตัว ใสบริสุทธิ์ อย่างใดอย่างหนึ่งแต่ถ้าเกิดเห็นทีเดียวได้ทั้งสองอย่างก็ยิ่งดี ถ้าเห็นองค์พระด้วยเห็นดวงแก้วด้วยก็ยิ่งดี และก็นึกให้เห็นดวงแก้วอยู่ในกลางองค์พระไปซะเลย แล้วก็ภาวนา สัมมาอะระหัง ๆ ๆ สัมมาอะระหังนี่ให้ภาวนาไปนะ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าใจเราไม่อยากจะภาวนา อยากจะอยู่เฉย ๆ ไม่อยากภาวนา อยากจะวางใจนิ่ง ๆ หรืออยากจะกำหนดไปที่องค์พระหรือดวงแก้วเฉย ๆ ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ ก็ทิ้งคำภาวนาไปเลย และก็รักษาภาพดวงแก้ว รักษาภาพองค์พระเอาไว้อย่างใดอย่างหนึ่งนะจ๊ะ เบื้องต้นต้องทำอย่างนี้ 

 


                สำหรับท่านที่มาใหม่ ส่วนท่านที่มาอย่างสม่ำเสมอท่านเข้าใจวิธีการทำแล้ว ก็ทำของท่านเรื่อยไป ทำไปตามปกติ นี้แหละคือวิธีการแสวงหาบุญอันยิ่งใหญ่เราเห็นดวงแก้วหรือเห็นองค์พระหรือเห็นแสงสว่างแค่แวบเดียวสว่างขึ้นมาในใจ อานิสงส์เกิดขึ้นยิ่งใหญ่ไพศาลนัก ยิ่งกว่าสร้างโบสถ์สร้างวิหาร ๑๐ หลังทีเดียว เพราะว่านั่นยังเป็นบุญในกามาวจร ยังเวียนว่ายตายเกิด แต่เห็นแสงสว่างเห็นดวงแก้ว เห็นองค์พระใส เกิดขึ้นในกลางกาย อันนี้เป็นหนทางที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นต้นทางทีเดียว 

 


                เพราะฉะนั้นอยากจะได้บุญใหญ่ เราก็จะต้องทำอย่างนี้ หากเรามีทรัพย์น้อย อยากจะได้บุญใหญ่ ประหยัดสุดประโยชน์สูง ก็ต้องทำอย่างนี้แหละ ต้องปฏิบัติธรรมะ ทางนี้เป็นทางลัดให้เข้าถึงองค์พระ ให้เข้าถึงดวงแก้ว ดวงธรรมภายใน ให้เข้าถึงกายในกายให้ทำกันอย่างนี้นะจ๊ะ ใครที่เข้าถึงปฐมมรรค ที่มีลักษณะเหมือนดวงอาทิตย์ ดวงดาว ดวงจันทร์นะ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือขนาดเล็กก็เท่ากับดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ก็เอาใจหยุดนิ่งเฉย แล้วก็หยุดในหยุด ๆ นิ่งในนิ่ง ให้ใจใสบริสุทธิ์อยู่ตรงนี้นะ ถ้าสามารถเข้ากลางได้ก็ปล่อยลงไปตรงกลางอย่างเบา ๆ อย่างละเอียดอ่อน 

 


                ใครเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดได้ ที่ลักษณะเหมือนตัวเราที่เป็นเจ้าของ เอาใจหยุดไปในกลางกายมนุษย์ละเอียด ใจหยุดนิ่งไปทีเดียว หยุดในหยุด ๆ นิ่งในนิ่ง นิ่งในนิ่งลงไปตรงกลางกายฐานที่ ๗ ของกายมนุษย์ละเอียด กระทั่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปเลย อย่าไปกดลูกนัยน์ตานะ หลับสบาย ๆ วางเฉย ๆ ที่เข้าถึงกายทิพย์ก็เอาใจหยุดเข้าไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของกายทิพย์หยุดในหยุด ๆ นิ่งในนิ่งลงไป ตรึกในตรึกลงไปเลยในกลางกายทิพย์ ที่เข้าถึงกายรูปพรหมที่สวยงามกว่ากายทิพย์นะ 

 


                ใจหยุดนิ่งลงไปเลยนะ หยุดในหยุด ๆ นิ่งในนิ่ง ลงไปในทำนองเดียวกัน วางเบา ๆ สบาย ๆ หยุดนิ่ง ที่เข้าถึงกายอรูปพรหม ก็หยุดในทำนองเดียวกัน หยุดในหยุด ๆ ตรึกในตรึก นึ่งในนั่งลงไปในกลางกายอรูปพรหมที่เข้าถึงกายธรรม ถึงกายธรรม ก็เอาใจหยุดไปในฐานที่ ๗ ของกายธรรม ให้ใจเราใสสะอาดบริสุทธิ์ที่เดียว ใจหยุดใจนิ่งใจสบายให้เบิกบานให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกายไปเลย หยุดนิ่ง ที่เข้าถึงธรรมกายในธรรมกายก็มองต่อไป ปล่อยลงไปเรื่อย ๆ ในกลางของกลางลงไปเรื่อย ๆ เลยนะจ๊ะ ปล่อยลงไปในกลาง ใครปล่อยได้ก็ปล่อย ปล่อยไม่ได้ก็วางหยุดนิ่งเฉยไว้ก่อน ถ้ามีอาการคล้าย ๆ กับถูกดูดวูบลงไป ก็อย่าไปฝืนมัน ปล่อยมันลงไปอย่างสบาย ๆ 

 


                ใครที่ยังเห็นไม่ชัดอย่าไปกดลูกนัยน์ตา อย่ากดลงไปดู ไม่เอา ผิดวิธีนะจ๊ะ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้นก่อนอย่างสบาย ๆ เพราะเห็นภายในมันเห็นด้วยใจไม่ได้เห็นได้ด้วยลูกนัยน์ตาเนื้อ กดลงไปก็ป่วยการ เสียเวลาเปล่า ๆ และปวดศีรษะด้วยไม่ได้ผลอะไร ก็หยุดรวมไปนิ่งเฉย ทีนี้เราก็นึกถึงเครื่องไทยธรรมดอกไม้ ธูปเทียน อาหารหวานคาว ที่เรานำมาจากบ้านกันคนละเล็กละน้อย ของใครของมันนึกได้เราก็นึกรวมมาที่ศูนย์กลางกายเลยนะจ๊ะ นึกรวมมาเลยมาที่ศูนย์กลางกายตรงฐานที่ ๗ ของกายของเรา หรือกายภายในที่เราเข้าถึง ใครที่ถวายปัจจัยร่วมปัจจัยมาก็นึกถึงเครื่องไทยธรรมที่อยู่บนโต๊ะหมู่บูชาที่อยู่ใกล้ ๆ โต๊ะหมู่บูชานี่ก็ได้และก็นึก นึกอย่างสบาย ๆ ทำใจให้เลื่อมใสในพระธรรมกายของพระพุทธเจ้า 

 


                ต่อจากนี้ไปเราจะน้อมนำเครื่องไทยธรรมไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า ให้เลื่อมใสจริง ๆ เลยใจมีศรัทธาปสาทะเลื่อมใสในพระรัตนตรัยไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน ไม่มีเอียงไปข้างใดเลยนะ ให้แนวจริง ๆ ว่าในใจเรามีแต่พระรัตนตรัยอย่างเดียวเท่านั้น สิ่งอื่นนอกจากนี้ไม่มีเลย เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของเราเลย เรายึดท่านเป็นที่พึ่งจริง ๆ เลย สิ่งอื่นไม่เอา น้ำมูก น้ำมนต์ ทดถอ หมอดู อะไรต่าง ๆ ไม่เอาทั้งนั้น จ้าวทรงผีสิง อะไรก็ไม่เอา ต้นหมากรากไม้ ภูเขาเลากา ที่ศักดิ์สิทธิ์ อารามศักดิ์สิทธิ์ ผู้วิเศษต่าง ๆ ไม่สนใจทั้งนั้น 

 


                สนใจแต่พระรัตนตรัยอย่างเดียวเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึก ใจแน่วเป็นหนึ่งทีเดียว หนึ่งไม่มีสองเลย แน่วหมด อย่างนี้เรียกว่า เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ให้เลื่อมใสหนักเข้าไปเถอะ กายเบา ๆ นี่ก็เหาะได้ เหมือนอย่างในสมัยพุทธกาล มีหญิงรับใช้อยู่คนหนึ่ง มีใจเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ในพระรัตนตรัย แต่วันนั้นต้องทำงานหนักไม่มีโอกาสที่เข้าวัดเข้าวาไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า งานการก็ยังทำไม่เสร็จ แต่ใจนั้นก็เลื่อมใส ทำงานไปด้วย นึกถึงพระพุทธเจ้าไปด้วย เอาพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ คือในใจมีแต่พระพุทธเจ้า เจริญเป็นพุทธานุสสติ นึกถึงพระองค์ท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวเลย ไม่คิดอะไรเลย เลื่อมใสจริงๆ ตำข้าวไปด้วย ทำงานไป 

 


                พอถูกส่วนเข้าความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เอากายนี้เบาได้ กายมนุษย์หยาบที่เบา เบาเท่ากับวิสัยของใจ กายเบาเท่ากับวิสัยของใจลอยไปได้ ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ ลอยไปในอากาศได้เหนือธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งผอง ให้เลื่อมใสกันจริง ๆ ทีเดียว เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเลื่อมใสในพระรัตนตรัย อย่างแน่วแน่ไม่ง่อนแง่นไม่คอนแคลน ไม่ว่าใคร จะมาแนะนำชักจูง หรือเอาสิ่งอะไรมาล่อ ลวงหลอกหลอน หรือยั่วเย้าให้เราเลิกนับถือในพระรัตนตรัย เป็นไม่เชื่อเด็ดขาด ไม่ถอนความเชื่อเลย เป็นอจลศรัทธาแน่วแน่จริง ๆ เหมือนมหาทุกขตะเป็นคนยากคนจนทีเดียว เป็นคนขอทาน แต่ว่าฟังธรรมและปฏิบัติธรรมเข้าถึงไตรสรณคมน์ 

 


                เข้าถึงไตรสรณคมน์ ไปเห็นพุทธรัตนะชัดเจน ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะชัดเจนทีเดียว เห็นได้ชัดเจนแจ่มใสเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปเลย อย่าว่าแต่มนุษย์มาชวนให้ง่อนแง่นเลย เทวดาน่ะ พระอินทร์ลองทดลองดูว่าใจมหาทุกขตะจะมั่นคงในพระรัตนตรัยแค่ไหน บอกให้เลิกนับถือพระรัตนตรัยซะเถอะ จะยกสมบัติให้ จะให้เป็นเศรษฐีเดี๋ยวนี้เลย ขอให้เป็นแต่เพียงบอกว่าพระรัตนตรัยน่ะมีไม่จริง ไม่มีจริงในโลก ที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนก็ไม่จริง อะไรก็ไม่จริงทั้งนั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่จริง พระรัตนตรัยในตัวมีไม่จริง ขอให้พูดคำนี้คำเดียวจะให้ ความเป็นเศรษฐีทีเดียว

 


                มหาทุกขตะน่ะยากจนเข็ญใจกันจริง ๆ สมบัติก็ต้องการ ไม่ใช่ไม่ต้องการ แต่ว่าเมื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยแล้ว สมบัติอย่างอื่นที่เป็นโลกียทรัพย์ที่เรื่องเล็ก สู้อริยทรัพย์ภายในไม่ได้เป็นเครื่องปลื้มใจของผู้ที่เข้าถึง จะมาบอกให้ยืนยันว่าพระรัตนตรัยในตัวมีไม่จริงนั้นน่ะ ไม่เชื่อ เพราะว่าตัวก็เห็นอยู่แล้วอย่างนี้ภายในและเข้าถึงด้วย ตวาดพระอินทร์ไปเลย ว่าท่านเป็นใครมาพูดอย่างนี้เสียเวลา พูดแบบไม่รู้ไม่เห็นอย่างนี้อย่างเนื้ยะเสียเวลาเรา จะเป็นมนุษย์เป็นเทวดาไม่สำคัญรีบไปซะให้ห่าง ๆ ให้ออกไปซะ เรามีใจมั่นใจในพระรัตนตรัย เพราะเราได้เห็นแล้ว รู้แล้ว เห็นแล้ว เข้าถึงแล้ว จะบอกว่าไม่มีได้อย่างไร นี่สมบัติไม่ต้องการเลย ต้องการแต่พระรัตนตรัยอย่างเดียวอย่างนี้ถึงเป็นอจลศรัทธา ไม่ง่อนแง่นไม่คอนแคลนหนักแน่นทีเดียว พวกเราก็เช่นเดียวกันจะบูชาข้าวพระก็ต้องเป็นอจลศรัทธา ศรัทธาเลื่อมใส ในพระธรรมกายของพุทธเจ้า ใจเราแน่วอยู่ตรงกลางที่เดียวนะ เมื่อเข้าใจดีแล้ว ต่อจากนี้ไปต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะ 

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.02771958510081 Mins