รางวัลจากใจหยุดนิ่ง
๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
เมื่อเราบูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ ขอเรียนเชิญทุกท่านตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากัน ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบาๆ หลับพอสบาย ๆ คล้ายๆ กับเรานอนหลับ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย เพราะว่าเราจะต้องใช้เวลาต่อจากนี้ไป ๑ ชั่วโมงเต็ม สำหรับการทำสมาธิภาวนา และบูชาข้าวพระ สำหรับท่านที่มาใหม่ ถ้าหากว่าท่านั่งที่ไม่เหมาะสม ก็จะเป็นเหตุให้เลือดลมเดินไม่สะดวก แล้วก็จะปวดเมื่อย
เพราะฉะนั้นต้องขยับเนื้อขยับตัวให้ดีนะจ๊ะ สําหรับท่านที่มาใหม่ แล้วก็ทําใจของเราให้เบิกบาน ให้สบายวันนี้เราจะตั้งใจมาตักตวงบุญกุศลของเราให้เต็มที่ เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำใจของเรา ให้ปลอดโปร่งว่างเปล่าจากภารกิจเรื่องกังวลทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรก็ตามที่นอกเหนือจากนี้ ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วางชั่วขณะที่เราจะได้หลับตาเจริญสมาธิภาวนากัน แล้วก็ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ใจจะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เราทั้งหลายเป็นชาวพุทธ สิ่งที่เป็นสรณะคือที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของเราทั้งหลายมีเพียง ๓ เท่านั้น คือมีพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนของท่าน และก็พระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ๓ อย่างเท่านั้น เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึก สิ่งอื่นที่นอกเหนือจาก ๓ อย่างนี้ ไม่ใช่ที่พึ่งไม่ใช่ที่ระลึก เพราะฉะนั้นในฐานะเราเป็นชาวพุทธ พึงพิจารณาตัวของเรา ใจของเรา ว่าเราได้ยึดทั้ง ๓ อย่างนี้เป็นที่พึ่งที่ระลึกจริงหรือเปล่า หรือมีอะไรที่นอกเหนือจากนี้ที่เรายึดเป็นสรณะ คือเวลามีความทุกข์ก็แล่นเข้าไปหาสิ่งนั้นมุ่งเข้าไปหาสิ่งนั้น เป็นสรณะช่วยให้เราพ้นทุกข์ นี้คือสิ่งที่เราจะต้องตรวจตรา ความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในใจของเราอยู่ตลอดเวลา ว่ามีสิ่งอะไรที่นอกเหนือจากนี้หรือไม่ ถ้านอกเหนือจาก ๓ อย่างนี้แล้วเราก็ยังไม่ใช่ชาวพุทธที่สมบูรณ์ เพราะที่พึ่งที่ระลึกของเราจริง ๆ แล้วมีอยู่เพียง ๓ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้เท่านั้น
พระพุทธเจ้าที่เรายึดเป็นที่พึ่ง เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสรู้ธรรม เห็นหนทาง ได้เข้าถึงหนทางแห่งการพ้นทุกข์ ขจัดกิเลสอาสวะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดสิ้นไปได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ทําได้ยากยิ่งในโลก ท่านพบหนทางนี้ ท่านทำได้ และท่านก็ยังนำมาแนะนำสั่งสอนแก่ชาวโลก เพื่อที่จะให้เข้าถึงหนทางเช่นเดียวกับพระองค์ท่าน เพราะฉะนั้นนี่เป็น สิ่งที่เราควรจะยึดเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เอาท่านเป็นแบบ เป็นอย่าง เป็นครูบาอาจารย์ ส่วนคำสอนของท่านนั่นก็หลั่งไหลออกมาจากใจที่บริสุทธิ์ของท่าน ออกมาจากกลางใจที่บริสุทธิ์ ที่ไม่มีกิเลส ไม่มีอาสวะ คำสอนใดก็ตามหลั่งไหลออกมาจากแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ที่ปราศจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง คำสอนนั้นเป็นไปเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข แก่ชาวโลกอย่างแท้จริง ไม่มีสิ่งอื่นเจือปนเลย เป็นคำสอนที่ควรแก่การยึดถือ ปฏิบัติตาม
พระสงฆ์สาวกที่ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระองค์ท่าน ปฏิบัติธรรมได้เข้าถึงธรรมตามที่ท่านได้สอนคือเป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมของท่าน ยืนยันว่าสิ่งที่ท่านได้ตรัสรู้นั้นถูกต้อง และเข้าถึงความบริสุทธิ์ เข้าถึงเพศภาวะอันสูงสุดที่มนุษย์ทั้งหลายจะสามารถเข้าถึงได้น่ะ ท่านได้เข้าถึงเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ๓ อย่างนี้เท่านั้นเป็นสรณะ ที่พึ่งที่ระลึกของพวกเราทั้งหลาย ซึ่งเราจะต้องนึกคิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะอยู่ในภารกิจอันใดก็ตาม ทุกหนทุกแห่งที่เราจะต้องนึกถึง ๓ อย่างนี้ เป็นสรณะ เพราะฉะนั้น ๓ อย่างนี้ขอให้ติดอยู่ในใจพวกเราทั้งหลาย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ๓ อย่างนี้เป็นที่พึ่งที่ระลึก
พระพุทธเจ้าเวลาท่านสอน ท่านก็ตรัสอย่างนี้แหละ ว่าท่านก็มีสิ่งนี้เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง คือท่านเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวของท่านก่อนคนอื่นในโลก ท่านพบพระรัตนตรัยภายในตัวท่านก่อน เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ที่มีอยู่ในกายท่าน โดยดำเนินจิตของท่านเข้าไปสู่เส้นทางสายกลาง ที่อยู่ในกายของท่านไปตามลำดับ ตั้งแต่ท่านเริ่มวางใจของท่านให้หยุดนิ่งอยู่ภายใน ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของท่าน จนกระทั่งใจหยุดนิ่งได้ถูกส่วน พอถูกส่วนท่านก็เห็นหนทางเบื้องต้น เห็นจุดเบื้องต้นแห่งความบริสุทธิ์ที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน ลักษณะกลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว
นี่เป็นดวงธรรมเบื้องต้น อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน เกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของท่านในกลางกาย แล้วท่านก็มองเรื่อยไปทำใจหยุดนิ่งเรื่อยไป คือเอาใจหยุดไปเรื่อย ๆ ใจหยุดอยู่กับที่ในกึ่งกลางของปฐมมรรคนั้น หนทางเบื้องต้นนั้น ท่านหยุดเข้าไปเรื่อย ๆ ใจวางที่จุดกึ่งกลางของสิ่งที่เห็นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีดวงธรรมต่าง ๆ ผุดเกิดขึ้นมาตามลำดับ ท่านก็ตามเห็นไปเรื่อย ๆ มองตามไปเรื่อย ดูไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดอะไร ใจหยุดนิ่งอยู่ในกลางดวงธรรมนั้น จนกระทั่งเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เห็นกายมนุษย์ละเอียดที่มีลักษณะเช่นเดียวกับกายของท่านอยู่ภายใน นั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับท่าน ท่านเห็นไปอย่างนี้แหละ ไปเรื่อย ๆ ท่านก็มองตามไปเรื่อย ๆ เอาใจหยุดอยู่ในกลางของสิ่งที่เห็นน่ะ
พอถูกส่วนก็ดูดเข้าไปสู่ในกลางกายท่าน กายมนุษย์ละเอียด แล้วก็หยุดในหยุดไปตามลำดับ หยุดอย่างเดียว ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย หยุดไปตามลำดับ ก็เห็นดวงธรรมไปเรื่อย ๆ อยู่ในกลางกายมนุษย์ละเอียด ผุดซ้อนเกิดขึ้นมา ในที่สุดก็เข้าถึงกายทิพย์เห็นกายทิพย์เกิดขึ้นมาแทนที่กายมนุษย์ละเอียด ท่านก็หยุดต่อไปอีก ทำอย่างเดียวคือหยุดในหยุดอย่างเดียว นิ่งในนิ่งอย่างเดียว ไม่ได้ทำอย่างอื่น ไม่นึกไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ยังไม่ตั้งคำถามอะไรเลย ใจหยุดนิ่งอย่างเดียวไปตามลำดับที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของกายทิพย์ ก็เห็นดวงธรรมผุดซ้อนเกิดขึ้นมา ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามลำดับ ในที่สุดก็เข้าถึงกายรูปพรหม ท่านก็มองไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดอะไร เอาใจหยุดนิ่งอย่างเดียว
หยุดในกลางกายรูปพรหมหยุดจนกระทั่งถูกส่วน เห็นดวงธรรมผุดเกิดขึ้นมาในกลางกายนั้น ในที่สุดก็เข้าถึงกายอรูปพรหม แล้วท่านก็หยุดต่อไปอีก หยุดในหยุดเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเห็นดวงธรรมเกิดขึ้นมาในกลางกายอรูปพรหมนั้นไปตามลำดับในที่สุดก็เข้าถึงกายธรรมโคตรภู ถึงพุทธรัตนะอันแรก ลักษณะเหมือนพุทธปฏิมากรที่เราเคยเห็น แต่ว่าสวยงามกว่ามาก งามไม่มีที่ติ นั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับเรา ลักษณะท่านสวยงาม เกตุดอกบัวตูม อยู่ในกลางนั้นน่ะ ท่านเข้าถึงกายธรรมโคตรภู ท่านก็หยุดต่อไปอีก หยุดต่อไปเรื่อย ๆ เลย หยุดไปตามลำดับ ในที่สุดท่านก็เข้าถึงกายธรรมพระโสดา เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น เข้าถึง ถึงกายธรรมพระโสดา แล้วก็หยุดต่อไปอีก หยุดไปอย่างนี้แหละไปตามลำดับ
วิชชาก็เกิดขึ้นไปในเวลาเดียวกันกับที่ท่านได้เข้าถึง วิชชาสามก็เกิดขึ้น แล้วท่านก็หยุดมองไปเรื่อย ๆ หยุดในหยุด ไปเรื่อย ๆ ก็เห็นดวงธรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นมา กระทั่งเข้าถึงกายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี และก็กายธรรมพระอรหัต หยุดไปตามลำดับ ทำหยุดกับนิ่งอย่างเดียวเท่านั้นอยู่ในกลางกายนั่นน่ะ ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย เพราะฉะนั้นการหยุดนิ่งนี่แหละเป็นตัวสำเร็จ ตั้งแต่เบื้องต้นที่จะเข้าถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ ท่านถึงได้เคยให้นัยยะ ให้ข้อคิดสะกิดใจแก่พระองคุลีมาล ในคราวที่ตามวิ่งไล่ตามล่านิ้วของท่านน่ะ ว่าสมณะหยุดแล้วคือท่านหยุดอยู่ในกลางนี้แหละ
หยุดสนิท หยุดจนกระทั่งกิจอย่างอื่นไม่ต้องทำอีกแล้วน่ะ หยุดอยู่ในกลางกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วาขึ้นไปน่ะ ท่านหยุดอยู่ในกลางนั้น เพราะฉะนั้นวันนี้พวกเราทั้งหลายที่ได้ตั้งใจมาแสวงหาบุญกุศลแสวงหาหนทางพระนิพพาน เบื้องต้น เราจะต้องฝึกให้หยุดกับนิ่งนี่ให้ได้เสียก่อน ถ้าหยุดกับนิ่งนี้ยังทำไม่ได้ สิ่งอื่นที่เราจะต้องศึกษาไปยิ่งกว่านี้ก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นหยุดนี้สำคัญนะจ๊ะ หยุดอย่างมั่นคงภายใน การที่เราจะก้าวต่อไปก็จะก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงถ้าหยุดไม่มั่นคงแล้วก้าวต่อไปก็ก้าวไปไม่ได้ ปกติใจของเรานี่มักวิ่งซัดส่ายไปในที่ต่าง ๆ ใจที่ซัดส่ายวิ่งไปในที่ต่าง ๆ นั้นน่ะ กำลังแสวงหาสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้เราสมปรารถนา เป็นสิ่งที่ทำให้เราพอใจ คือความสุขที่แท้จริง
นั่นคือสิ่งที่ใจกำลังแสวงหาอยู่ มันถึงได้วิ่งไปวิ่งมา เหมือนนกที่กระโดดจากกิ่งไม้กิ่งนี้ไปสู่กิ่งโน้น กระโดดไปเรื่อย ๆ ใจก็กระโดดจากอารมณ์นี้ไปสู่อีกอารมณ์หนึ่ง เมื่อยังไม่เจออารมณ์ที่ถูกใจพอใจ มันก็วิ่งต่อไปเรื่อย ๆ วิ่งไปที่การศึกษาเล่าเรียนมั่ง เรื่องครอบครัวบ้าง เรื่องธุรกิจการงานบ้าง เรื่องที่ผ่านมาแล้วในอดีตบ้าง เรื่องที่ยังมาไม่ถึงในอนาคตบ้าง วิ่งวนเวียนกันอยู่อย่างนี้แหละ วิ่งไปไม่มีที่สิ้นสุด จากคนสัตว์สิ่งของวนกันอยู่อย่างนี้แหละ วิ่งไป เพราะฉะนั้นจึงยังไม่พบความสุขที่แท้จริง เพราะว่าวิ่งแสวงหาผิดที่ ถ้าแสวงหาได้ถูกที่แล้วใจก็จะพบกับความสุขที่แท้จริง แล้วก็จะหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนั้น ไม่ไปไหนเลย ไม่แสวงหาต่อเพราะว่าพบแล้ว พบความสุขที่แท้จริงแล้ว ตั้งแต่สุขเล็กน้อยเรื่อยกันไปตามลำดับถึงสุขพอประมาณ กระทั่งนำไปสู่ถึงความสุขอย่างยิ่งที่ไม่มีทุกข์เจือปนเลย เพราะฉะนั้นเบื้องต้นเราต้องฝึกใจของเราให้หยุดซะก่อน
วิธีฝึกให้ใจหยุดนั้นต้องมีวิธี จะต้องประกอบด้วยบริกรรมสองอย่าง เป็นเสมือนพี่เลี้ยง คอยประคับประคองให้ใจหยุดนิ่งอยู่ภายใน บริกรรมสองอย่างนั้นก็คือบริกรรมนิมิตกับบริกรรมภาวนา บริกรรมนิมิตก็คือการสร้างภาพขึ้นมาในใจ โดยกำหนดนึกสร้างมโนภาพ หรือที่เราเรียกว่ากำหนดเครื่องหมายเนี่ยะ ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ต้องให้ไสด้วยนะจ๊ะ ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา นี่คือสิ่งที่เราจะต้องสร้างมโนภาพขึ้นมา คือสร้างสิ่งสมมติขึ้นมา ต้องใสต้องเป็นเครื่องหมายที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา ลืมตามองดูกระจกทุกวันน่ะ แก้วตาเราโตแค่ไหนกำหนดขนาดนั้น
กำหนดเครื่องหมายให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ แล้วก็ต้องกำหนดที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่ตั้งของใจ จะต้องเอาใจนี่มาหยุดมานิ่งอยู่ที่ตรงนี้ จึงจะเข้าถึงพระธรรมกายภายใน ถึงพุทธรัตนะได้ ถ้าหยุดที่อื่นไม่พบพระรัตนตรัย เพราะพระรัตนตรัยเกิดขึ้นที่เดียวในกลางกายของเรา ซ้อนกันอยู่ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ท่านที่มาใหม่ที่ยังไม่รู้จักฐานที่ ๗ ก็ให้สมมติหยิบเส้นเชือกขึ้นมาสองเส้น เส้นหนึ่งขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปข้างหลัง อีกเส้นหนึ่งให้ขึงจากด้านขวาขึงให้ตึงทะลุไปด้านซ้าย ตามให้ทันนะจ๊ะ ให้เส้นเชือกทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท ให้เส้นเชือกทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดของเส้นเชือกทั้งสองจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือคือยกถอยหลังสูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ สมมติว่าเราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกันแล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นเชือกทั้งสอง สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ให้เป็นที่ตั้งของใจ ที่หยุดของใจเรา เพราะฉะนั้นตรงฐานที่ ๗ ก็หมายเอาตรงนี้นะจ๊ะ สำหรับท่านที่มาใหม่ ให้กำหนดบริกรรมนิมิตคือสร้างมโนภาพ สมมติว่ามีเครื่องหมายที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา ๆ แล้วก็นำมาตั้งเอาไว้ตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้นะ ลองนึกตามไปช้า ๆ นะจ๊ะ สำหรับท่านที่มาใหม่ กำหนดเครื่องหมายได้ คราวนี้ก็กำหนดบริกรรมภาวนา เพื่อประคองใจของเราให้หยุดนิ่ง ในขณะที่เรานึกถึงภาพเครื่องหมายที่ใสสะอาดบริสุทธิ์เหมือนเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตา ก็ให้ภาวนาสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ควบคู่กันไปด้วย คือเมื่อเรานึกถึงภาพเครื่องหมาย เราก็จะต้องนึกถึงคำภาวนาในใจไปด้วยนะจ๊ะ
ให้ท่องในใจนะ นึกในใจ นึกภาวนาในใจ สัมมาอะระหัง พร้อมกับนึกถึงภาพดวงใสบริสุทธิ์ ให้นึกควบคู่กันไป เมื่อนึกถึงเครื่องหมายที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ก็ต้องภาวนาสัมมาอะระหัง ๆ ๆ บริกรรมทั้งสองอย่างนี้ จะเป็นพี่เลี้ยงประคองไปทั้งซ้ายทั้งขวาทีเดียว ให้ใจของเราหยุดนิ่งอยู่ตรงกลาง ไม่ไปคิดเรื่องอื่น เพราะว่าไปคิดเรื่องอื่นก็ลองคิดมาแล้วตลอดชาติที่ผ่านมา บางคนก็คิดมาแล้วตั้ง ๑๐ กว่าปี บางคนก็ ๒๐-๓๐ ปี บางคน ๕๐-๖๐ ปีน่ะ คิดเรื่องอื่นไม่เคยเจอความสุขที่แท้จริงเลย เพราะฉะนั้นบริกรรมทั้งสองอย่างนี้ ก็จะประคองทั้งซ้ายทั้งขวาเลย ตะล่อมใจให้หยุดอยู่ตรงกลาง อยู่ตรงฐานที่ ๗ นึกถึงดวงใสบริสุทธิ์ นึกไปช้า ๆ นะจ๊ะ นึกตามหลวงพ่อไปช้า ๆ
ทีนี้การนึกถึงบริกรรมนิมิตก็จะต้องมีกลเม็ดเหมือนกัน คือต้องนึกเบาๆ สบายๆ ต้องนึกเบา ๆ นึกอย่างสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย คล้าย ๆ นึกถึงภาพดอกบัว ดอกกุหลาบ หรือนึกถึงก้อนน้ำแข็งใส ๆ ลูกแก้วใส ๆ หยาดน้ำค้างใส ๆ หรือน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัวใส ๆ ให้นึกเบา ๆ อย่างนั้น นึกอย่างสบาย ๆ อย่าไปตั้งใจนึกมาก ให้นึกอย่างสบาย ๆ นี่มันมีกลเม็ดวิธีอย่างนี้ คือต้องนึกอย่างสบาย ๆ ทดลองนึกนะจ๊ะ นึกตามหลวงพ่อไปนะ นึกสบาย ๆ แล้วก็ต้องค่อย ๆ นึก ค่อย ๆ นึก ให้ภาพนั้นมันต่อเนื่องกัน อย่างใจเย็น ๆ นึกด้วยใจที่เยือกเย็น นึกไปเรื่อย ๆ เบา ๆ สบาย ๆ ใจเย็น ๆ นึกไปเรื่อย ๆ นะ นึกเบา ๆ นึกอย่างสบาย ๆ แล้วก็ทำใจเย็น ๆ ประคองใจไปเรื่อย ๆ ให้อยู่ตรงกลาง พร้อมกับภาวนาควบคู่กันไป สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะจ๊ะ
เมื่อใจหยุดนิ่ง ความปลอดโปร่งภายในก็เกิดขึ้น ความปลอดโปร่งภายในเกิดขึ้น เราจะมีความรู้สึกว่าเราโล่งใจ โปร่งใจ เบาใจและก็สบายใจเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อใจหยุดนิ่งแล้วนะจ๊ะ เราจะรู้จักคำว่าโล่งใจ โปร่งใจเบาใจ และก็สบายใจ นี่คือจุดเบื้องต้นที่เราจะได้รับเป็นรางวัลจากการประคองใจให้หยุดนิ่งเข้ามาสู่ภายใน และก็จะเป็นกำลังใจให้เราอยากจะหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ จนกระทั่งความรู้สึกของร่างกายเราเลือนหายไป คล้าย ๆ กับเรานี่ไม่มีตัวตน ร่างกายหายไปหมดเลย อยู่โล่ง ๆ ว่าง ๆ คล้าย อยู่กลางอากาศ โล่ง ๆ ไม่มีต้นหมากรากไม้ ภูเขาเลากา ตึกรามบ้านช่องหายไม่มีหมด โล่งว่าง เบาสบาย และก็จะเห็นดวงใสเกิดขึ้นมาเป็นการเห็นที่แตกต่างจากการนึก เป็นการเห็นที่เราเห็นจริง ๆ คล้าย ๆ กับเราเห็นวัตถุภายนอกเห็นภาพภายในอย่างไร ก็เห็นคล้าย ๆ กับเห็นวัตถุภายนอก แต่เป็นการเห็นภายในที่เหมือนมีวัตถุที่อยู่ภายใน ซึ่งเราเห็นได้ด้วยใจเกิดขึ้นมา แล้วเราก็หยุดต่อไปเรื่อย ๆ น่ะ หยุดไปตามลำดับ เราจะเห็นกายในกายเกิดขึ้นมา ดั่งที่ได้เรียนให้ทราบตั้งแต่เบื้องต้น ผุดเกิดขึ้นมาเอง หรือเราเข้าไปถึงสิ่งนั้นเอง สิ่งซึ่งมีอยู่แล้วภายในตัวของเราเราก็จะเห็นไปตามลำดับ
เพราะฉะนั้นท่านที่มาใหม่มานะจ๊ะ มาเริ่มต้นปฏิบัติใหม่ เบื้องต้นขอให้ได้รู้จักกับการฝึกใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ที่ตรงนี้ให้ได้นะ เมื่อ เข้าใจอย่างนี้แล้ว ต่อจากนี้เป็นต้นไป ขอให้ท่านที่มาใหม่ ตั้งใจฝึกให้หยุดนิ่งอยู่ภายใน ด้วยการประกอบบริกรรมทั้งสอง คือบริกรรมนิมิต ตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดอยู่ที่กลางความใสบริสุทธิ์ตรงฐานที่ ๗ พร้อมกับภาวนาในใจ สัมมา อะระหัง ๆ ๆ ๆ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะจ๊ะ คราวนี้เราก็เอาใจของเราหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ใจไปหยุดและก็ไปอยู่ที่ตรงนั้นนะ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้เป็นทางที่เราจะเข้าถึงสรณะ ที่พึ่ง ที่ระลึก ที่อยู่ภายในกายของเรา อย่างที่ได้เรียนให้ทราบไว้ตั้งแต่ต้นว่าเราเป็นชาวพุทธ เราจะต้องมีรัตนะเพียง ๓ อย่างเท่านั้นเป็นที่พึ่ง เราจะต้องเอาใจมาหยุดอยู่ตรงนี้ ตรงฐานที่ ๗ และถ้าจะให้ดี จะต้องหยุดตลอดเวลาเลย หยุดตลอดไป ไม่ว่าเราจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดินจะกิน จะดื่ม จะทำ พูด คิด หยุดนิ่ง ลิ้มรสเหยียดแขนคู้แขนหรือทำอะไรก็แล้วแต่ เอาใจมาอยู่ที่ตรงนี้ หยุดตรงนี้เนี่ยะ จึงจะเรียกว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริง
เพราะว่าหยุดอยู่ที่ตรงนี้ ใจจะแล่นเข้าสู่พระรัตนตรัย ที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อย ๆ ว่า ไตรสรณคมน์ ไตรแปลว่า ๓ คือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และก็สังฆรัตนะ สรณะก็แปลว่าที่พึ่งที่ระลึก คมน แปลว่าแล่นเข้าไปสู่ภายใน คือแล่นเข้าไปถึงรัตนะทั้ง ๓ ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกของเราถ้าเราเป็นชาวพุทธ ใจต้องหยุดอยู่ที่ตรงนี้นะจ๊ะ ตรงฐานที่ ๗ เนี่ยะ จะนั่ง นอน ยืน เดิน จะกิน จะดื่มจะทำ พูด คิด หยุดนิ่ง ลิ้มรส เหยียดแขนแขน หรือกระทั่งจะถ่ายปัสสาวะอุจจาระ ก็เอาใจมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ หยุดจนกว่าจะเข้าถึงพระรัตนตรัย หยุดให้เข้าถึงให้ได้ ให้เห็นพุทธรัตนะใสแจ่มอยู่ในกลางกายเกตุดอกบัวตูมนั่งขัดสมาธิ หันหน้าออกไปทางเดียวกับเรา แล้วก็เห็นดวงธรรม คือธรรมรัตนะใสอยู่ในกลางกายของท่าน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของการตรัสรู้ธรรม
ความรู้ทั้งหลายหลั่งไหลออกมาจากกลางกายของท่านน่ะ กลางพุทธรัตนะนั่นน่ะ แล้วก็มองให้เห็นสังฆรัตนะ คือธรรมกายละเอียดซ้อนอยู่ ถ้าเป็นภาพก็พูดง่าย ๆ เห็นพระเห็นดวง และกลางดวงก็เห็นพระ พระพุทธรัตนะนั้นน่ะอยู่ในกลางกาย ภาพมันออกมาเป็นอย่างนี้น่ะ ซ้อนกันอยู่ ซ้อนกันอยู่เป็นชั้น ๆ ธรรมรัตนะรักษาพุทธรัตนะ สังฆรัตนะก็รักษาธรรมรัตนะ เข้าใจยากสักนิดนึง แต่ถ้าให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ พระสงฆ์ทรงจำคำสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้ ๓ อย่าง จะรวมกันไปอยู่ที่จุดจุดเดียวกัน มองเห็นด้วยภาพเราจะเห็นอย่างนี้นะ เป็นภาพเนี่ยะ เห็นพระพุทธรัตนะนะใสเป็นธรรมกายใสบริสุทธิ์ทีเดียวธรรมกายคือพระพุทธเจ้า นี่ไม่ใช่พูดเองนะ พระสมณโคดมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้
ธมฺมกาโย อหํอิติปิ เราคือธรรมกาย คือตัวท่านกับธรรมกายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ความรู้จากพระธรรมกายก็หลั่งไหลออกมาสู่ใจท่าน แล้วก็เทศนาเป็นคำสอนออกมา เราตถาคตคือธรรมกาย ธรรมกายก็คือเรา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นี่เป็นพุทธรัตนะอย่างนี้ และก็ท่านมีธรรมเป็นที่ยึดที่พึ่งเหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านมีธรรมเป็นที่พึ่งเป็นที่ยึด คือใจท่านอยู่กลางนั้นน่ะ อยู่ในกลางของพระธรรมกายของท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วก็ติดอยู่ในกลางดวงธรรม เป็นดวงใสกลมรอบตัวอยู่ในกลางกายของพุทธรัตนะ เป็นบ่อเกิดหรือแหล่งกำเนิดแห่งความรู้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ หลั่งไหลออกมาจากในกลางธรรมรัตนะนั่นแหละ หลั่งไหลออกมาจากในกลางนั้น และในกลางธรรมรัตนะก็จะเห็นธรรมกายละเอียดซ้อนอยู่ในกลางนั้น
รักษาหรือทรงจำรักษาเอาไว้ รักษาธรรมรัตนะเอาไว้ สามอย่างนี้ แยกออกจากกันไม่ได้ มันไปพร้อม ๆ กัน เวลาเห็นก็เห็นพร้อม ๆ กันอย่างเนี้ยะ ใสแจ่มบริสุทธิ์อยู่ในกลางกายน่ะ ใสแจ่ม เห็นจริง ๆ น่ะ มันไม่เหมือนชะโงกมอง มันเห็นได้รอบตัว แต่ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงนี้ จะมีความรู้สึกเหมือนชะโงกมอง เหมือนเปิดฝาขวดโหลมอง แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่คือพอใจหยุดอยู่ตรงกลางนั้นมันขยายไปรอบตัว นี่แปลกทีเดียวนะ น่าอัศจรรย์อยากให้ได้ทุกคนจังเลย ให้มาเห็นกันอย่างนี้จะได้เข้าใจว่าหลักของพระพุทธศาสนาเนี่ยะคือธรรมกายจริง ๆ คำสอนออกมาจากธรรมกายเท่านั้น กายมนุษย์นี่มันไม่ค่อยรู้เรื่อง มันโง่ แต่ธรรมกายนี่ท่านรู้ทุกอย่าง รู้ได้รอบตัว เพราะมันเห็นได้รอบตัว แปลกทีเดียว พอหยุดอยู่ตรงนั้นน่ะ มันขยายไปรอบตัว ใครเข้าถึงจึงจะเข้าใจ มันสว่างไปรอบตัวเลย ตัวเราไม่มีทั้งนั้น เป็นอันเดียวกับท่าน ใสบริสุทธิ์ ถ้าใครได้อย่างนี้นะจ๊ะ ถึงตรงนี้อย่างนี้ เบื้องต้นเค้าเรียกว่าเข้าถึงไตรสรณคมน์
มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ปิดประตูอบายภูมิ ตายแล้วไปสวรรค์และเมื่อเข้าถึงละเอียดกว่านั้นเข้าไปอีก ละเอียดไปตามลำดับ ก็จะเห็นรัตนะทั้ง ๓ น่ะซ้อน ๆ ๆ กัน แบบเดียวกันอย่างนี้เลย แต่ใสขึ้น สว่างขึ้น สุกใสขึ้น นี่ที่พึ่งที่ระลึกของเราเวลาเรามีทุกข์นะจ๊ะ ใจเราเวลาแล่นไปอยู่ตรงนั้นนะ ตรงกลางธรรมกายใส ความทุกข์มันก็ดับไปเลย มันหายไปเอง เหมือนเราถือคบเพลิงทวนลม ลมพัดเอาไฟมาปะทะหน้า ร้อน ไปถึง เดินไปถึงบ่อน้ำ จุ่มดับไปเลยอย่างนั้น ความทุกข์ที่มารอบด้าน ไม่ว่าความทุกข์จะเกิดจากอะไรก็ตาม จากคน จากสัตว์ จากสิ่งของสารพัด ทุกอย่าง อัคคีภัย โจรภัย ราชภัย ภัยทุกชนิด ทำให้เรากลุ้มใจมั่ง เซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้ม เศร้า หงอยเหงา ทุกข์ โทมนัสอะไรต่าง ๆ เหล่านั้น
พอใจมันมาหยุดอยู่ตรงกลางธรรมกาย มันดับไปเลย นึกไม่ออกเมื่อกี้มีทุกข์ได้ไงมันดับไป ข้างในใสแจ่มสว่าง พอความทุกข์ดับไป นี่ความสุขก็เข้ามาแทนที่ เวลาอยู่ในกลางธรรมกายนั้นนะ ความสุขเข้ามาแทนที่ แล้วมันมีพลังใจที่เราจะกล้าต่อสู้กับอุปสรรคที่จะเกิดขึ้น เป็นทุนเบื้องต้นทีเดียว และเหมือนว่าเราไม่ได้ต่อสู้คนเดียวเหมือนมีสิ่งที่คอยปกป้องคุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ ดูแลเราตลอดเวลาให้ชนะอย่างเดียวเสมอก็ไม่มี ชนะคะแนนก็ไม่มี ชนะร้อยเปอร์เซ็นต์เลย คอยปกป้องคุ้มครองเราอยู่ มีความสุขลึก ๆ แล้วพบวิธีการด้วย ที่เรียกว่า "มีปัญญาเกิดขึ้น" พบวิธีการ เห็นวิธีการ ที่จะเอาชนะอะไรต่าง ๆ ได้ ในเวลาเดียวกันก็ดึงดูดสิ่งที่จะมาคอยช่วยเหลือเกื้อกูล ซึ่งเป็นของหยาบ ๆ ให้มาถึงเราให้เอาชนะอุปสรรคได้
เพราะฉะนั้นพุทธรัตนะเป็นสรณะจริงๆ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึกจริง ๆ คือเป็นสิ่งที่เราควรจะคิดนึกอยู่ตลอดเวลาถ้าเราอยากจะมีความสุขอยู่ตลอดเวลาก็นึกอยู่ตลอดเวลา ถ้าอยากมีความสุขแค่ครึ่งวันก็นึกแค่ครึ่งวัน อยากมีความสุขชั่วโมงหนึ่งก็นึกถึงท่านชั่วโมงหนึ่ง ก็แล้วแต่เราอยากจะได้อย่างไหนเราก็ทำอย่างนั้น นี้นะจ๊ะ เป็นสรณะเป็นที่พึ่ง แล้วไม่ใช่ที่พึ่งเฉพาะมีชีวิตอยู่ด้วย เจ็บไข้ได้ป่วยเนี่ยะ ใจหยุดไปในกลางท่าน ความกังวลเรื่องโรคภัยไข้เจ็บนี่มันดับไปหมดเลย ไม่ได้กังวล สังขารร่างกายมันจะเจ็บจะป่วย นั่นเป็นเรื่องธรรมดา คือเฉย ๆ ก็เยียวยารักษากันไป ข้างในก็รักษาใจ ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว พอใจเมื่ออยู่ในกลางพุทธรัตนะ สู้ พออยู่ในกลางพุทธรัตนะแล้ว ใจมันจะสู้ พอใจสู้ร่างกายก็จะหลั่งสารชนิดหนึ่งขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อโรค ขับไล่โรคภัยไข้เจ็บนั้นออกไป นี่พุทธรัตนะขจัดทุกข์โศกโรคภัยได้ ที่พึ่ง เป็นสรณะจริง ๆ อย่าไปยึดสิ่งอื่นเป็นสรณะนะจ๊ะ
เดี๋ยวนี้มีเยอะแยะไปหมด ต้นหมากรากไม้ ภูเขาเลากา จ้าวพ่อจ้าวแม่อะไรต่าง ๆ เกิดขึ้นเยอะแยะ ซึ่งไม่ใช่เป็นสรณะ ไม่ใช่ที่พึ่งไม่ใช่ที่ระลึกที่จะช่วยให้เราพ้นจากความทุกข์ได้เพราะฉะนั้นต้องจำไว้นะจ๊ะ วันนี้มาบูชาข้าวพระแล้ว จำอะไรไม่ได้ ก็จำเอาไว้ว่า เราเป็นชาวพุทธ สิ่งที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเรามีเพียง ๓ อย่างนี้เท่านั้น มีเพียง ๓ อย่างนี้เท่านั้น แล้วจึงพยายามปฏิบัติให้เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ ให้ได้ ต้องพยายามให้ได้ เราเป็นชาวพุทธแล้วต้องให้รู้จักว่ารัตนะทั้ง ๓ นี่เป็นอย่างไร มีหน้าตาอย่างไร เข้าถึงแล้วดีอย่างไร มีจริงไหม ดีอย่างไร ต้องพิสูจน์ ต้องทำให้ได้นะจ๊ะ เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว ต่อจากนี้ไป เราจะได้ประกอบพิธีบูชาข้าวพระ
การบูชาข้าวพระก็คือการนำเครื่องไทยธรรมซึ่งเป็นของหยาบ อันมีดอกไม้ธูปเทียน อาหารหวานคาวที่เรานำออกมาจากบ้านคนละเล็กละน้อยแล้วก็มาประชุมรวมกันที่วัดพระธรรมกายที่นี่ เอามากลั่นให้เป็นของละเอียดด้วยธรรมกาย จนกระทั่งมีความละเอียด เครื่องไทยธรรมนั้นละเอียดเท่ากับธรรมกาย ใสบริสุทธิ์ดีแล้วก็น้อมเข้ากลาง ปล่อยเข้าธรรมกายเข้ากลางของกลางเข้าไปเรื่อย ๆ ถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าที่อยู่ในอายตนนิพพานนะ ถึงธรรมกายแล้วไปถึงท่านได้ จับมือถือแขนกันได้ พูดคุยกันได้ เอาเครื่องไทยธรรมเหล่านี้ไปถวายเป็นพุทธบูชา ถวายเป็นพุทธบูชา แต่ไม่ได้หมายถึงว่า พระธรรมกายพุทธเจ้าท่านจะเสวยของพวกนี้น่ะ ไม่ใช่นะ ท่านรับเป็นกิริยาบุญของพวกเรา เป็นบุญเป็นกุศลของพวกเรา แล้วก็ถวายเป็นพุทธบูชาว่าเราเคารพสักการะท่าน ถือท่านเป็นสรณะอันสูงสุด มีเครื่องธรรมบรรณาการเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ว่าระลึกถึงท่านก็จะน้อมมาถวายเป็นพุทธบูชาแด่ท่าน นี้คือการบูชาข้าวพระ
เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็เอาใจให้หยุดในหยุด ๆ นิ่งในนิ่ง ตรงกลางกายฐานที่ ๗ นะจ๊ะ ใครเข้าถึงปฐมมรรค ก็เอาใจหยุดไปที่กลางปฐมมรรค ใครเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดก็เอาใจหยุดเข้าไปกลางกายมนุษย์ละเอียดใครเข้าถึงกายทิพย์ ก็เอาใจหยุดเข้าไปในกลางกายทิพย์ ใครเข้าถึงกายรูปพรหม ก็เอาใจหยุดเข้าไปที่กลางกายรูปพรหม ใครเข้าถึงกายอรูปพรหม ก็เอาใจหยุดเข้าไปที่กลางกายอรูปพรหม ใครเข้าถึงกายธรรม ก็เอาใจหยุดเข้าไปในกลางกายธรรม กายธรรมในกายธรรม เห็นผุดซ้อนขึ้นมาอย่างนั้น แล้วก็หยุดเข้าไปเรื่อย ๆ เลย ดูเข้าไปเรื่อย หยุดเข้าไปเรื่อย ๆ ในกลางนั้นนะ หยุดในหยุด หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง นิ่งลงไปพร้อม ๆ กัน ให้นิ่งอย่างสบาย ๆ
เราก็นึกถึงเครื่องไทยธรรมทั้งหลาย ท่านที่เอามาจากบ้าน ก็นึกถึงสิ่งที่เรานำมา ถ้าใครไม่ได้นำมาก็นึกถึงของที่บูชาอยู่บนอาสนะนี้นะ นึกไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนั้นแหละ แล้วก็ทำใจให้หยุดนิ่ง ให้ใสบริสุทธิ์ทีเดียว คราวนี้คุณยาย ๆ จะต้องคุมบุญ คุมเครื่องไทยธรรมอันนี้ ไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า ในอายตนนิพพานนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน คือนับกันไม่ถ้วนเลย มากกว่าเมล็ดทรายที่มีอยู่ในโลกนี้ มีเท่าไหร่ มากกว่านั้น มากมายก่ายกองจนกระทั่งนับไม่ไหวเลย ที่ท่านเข้าสู่อายตนนิพพานไปก่อนแล้ว มากมายก่ายกองที่เดียวกับพระองค์ไม่ถ้วน ไปถวายเป็นพุทธบูชา ทุก ๆ พระองค์ ทับทวีกันไปถวายให้ทั่วถึงกันให้หมด
คุณยายคุมให้ดีเลย คุมทับทวีไปอย่างที่เคยทำอย่างนั้น แล้วก็กราบพระพุทธเจ้า ขอบุญ ขอบารมี รัศมีกำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิของพระพุทธเจ้า ให้ถึงแก่พวกเราทุก ๆ คน ให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข ทำมาค้าขึ้นประสพความสำเร็จในชีวิต ในธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัวให้ทำสำเร็จให้หมด ใครปรารถนาสิ่งไรก็ตาม ก็ให้ประสพความสำเร็จ ให้ได้ผลบุญทันตาเห็น ให้สมบูรณ์ไปด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญสุข มรรคผลนิพพาน ให้คุณยายคุมบุญไปด้วย แล้วก็ทับทวีถวายไปด้วย ให้ทั่วถึงกันให้หมดเลย ให้ซื้อง่ายขายคล่อง ให้ได้กำไรงาม สำหรับท่านที่เป็นนักธุรกิจ ที่เป็นนักศึกษาก็ให้มีดวงปัญญาอันเลิศ แทงตลอดในความรู้ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่รับราชการก็ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ให้สมบูรณ์ไปให้สูงที่สุดในสายนี้ให้ได้ ได้รับความร่วมมือในทุกสถานที่ ให้มีสายสมบัติได้เกิดขึ้นได้สร้างบารมีไม่รู้จักหมดจักสิ้น มีโภคทรัพย์เกิดขึ้นมาเลย ให้หลั่งไหลมาทั้งหยาบ ทั้งละเอียด
ส่วนละเอียดก็ติดอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ส่วนหยาบก็ดึงดูดมาให้หมด เราจะได้เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ มีทรัพย์แล้วก็จะได้ช่วยกันสนับสนุนพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย ขยายไปทั่วโลกให้เป็นที่พึ่งแก่ชาวโลก อย่าได้มีอุปสรรคอันใดเกิดขึ้นเลย ที่มีแล้วก็ให้ละลายหายสูญ ด้วยอานุภาพแห่งบุญบารมีที่เกิดขึ้นจากการบูชาข้าวพระ อุปสรรคต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน ทุกอย่างให้ละลายหายสูญไปให้หมด ให้ดึงดูดแต่สิ่งที่ดี ๆ ที่นำความสุขความสำเร็จในชีวิตให้เกิดขึ้นแก่พวกเราทั้งหลาย และให้ครอบครัวนี้อยู่เย็นเป็นสุข มีความรักความสามัคคีกัน ให้ร่างกายนี่แข็งแรง อย่าเจ็บ อย่าป่วย อย่าไข้ ให้อายุยืนยาวทุกคนเลย จะเดินทางไกลก็ให้ปลอดภัยหมดทุกคนเลย คุณยายคุมบุญให้ดีให้ติดให้หมด จะพูดจะจากับใครก็ตาม ที่จะชักชวนให้เค้าร่วมมือร่วมงานทั้งทางโลกก็ดีทางธรรมก็ดี ให้ชนะใจคนหมดทุกคน ให้เค้าเกิดศรัทธาปสาทะ เลื่อมใสในพระรัตนตรัย แล้วให้จิตใจของพวกเราทุกคนเบิกบานสดชื่นแจ่มใส ไม่ทุกข์กายทุกข์ใจเลย สดชื่นเบิกบาน กายข้างในก็ให้ใสใจก็ใสสว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ให้ใสยิ่งกว่าเพชรให้สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน
ให้กระแสธารแห่งบุญไหลเข้าสู่ ศูนย์กลางกำเนิดของพวกเราทุกคนเลยให้ใจตรึกนึกคิดแต่การสร้างบารมี ให้คุณยายคุมให้ดีนะจ๊ะ คุมบุญพวกเราหมดทุกคนเลยน่ะ และขอให้ทุกคนได้เข้าถึงพุทธรัตนะ เข้าถึงธรรมรัตนะ เข้าถึงสังฆรัตนะ เข้าถึงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ให้แทงตลอดใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ความรู้ของพระพุทธเจ้า ให้แทงตลอดให้หมดเลย ให้คุมให้หมด คุณยายคุมพวกเราหมดทุกคนทีนี้พวกเราก็อธิษฐานจิตกันนะ อธิษฐานอยู่ที่ศูนย์กลางกายเนี่ยะ อธิษฐานให้ดี ให้ความสำเร็จเกิดขึ้นเป็นผลบุญทันตาเห็น ในปัจจุบันเนี้ยะ เอามาปัจจุบันนี้ ส่วนภพชาติต่อไปในอนาคต ก็ให้สมบูรณ์ด้วยสมบัติทั้งสาม รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ หรือมนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ นิพพานสมบัติ ให้สมบูรณ์หมดทุก ๆ คนนะ อธิษฐานนะ อธิษฐานให้ดี