อานิสงส์ของการเจริญสมาธิภาวนา

วันที่ 02 พค. พ.ศ.2567

020567b01.jpg
 

อานิสงส์ของการเจริญสมาธิภาวนา
๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๗
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

                นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบาย คล้าย ๆ กับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบาย ๆ นะจ๊ะ ทุก ๆ คน หลับตาเพื่อใจของเราจะได้ไม่วอกแวกไม่ซัดส่าย จะได้นำความเห็นกลับเข้าไป สู่ภายในตัวของเรา นี่เป็นท่านั่งที่ถูกต้องสำหรับผู้ที่ตั้งใจจะทำภาวนา แต่ในแง่ของการปฏิบัติจริง ๆ เมื่อเรากลับไปอยู่ที่บ้าน เราอาจจะนั่งขัดสมาธิชั้นเดียว หรือนั่งอยู่ในท่าที่สบายก็ได้ แต่ตอนนี้สำหรับท่านที่มาใหม่ให้ศึกษาให้เข้าใจนะจ๊ะ 

 


                สำหรับวิธีนั่งทำสมาธิ แต่นั่งขัดสมาธิ ๒ ชั้น เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้ายนิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ อย่างนี้นะจ๊ะ ทดลองนั่งให้ถูกวิธีก่อน เมื่อเราเมื่อยต้องการเปลี่ยนอริยาบถ ถึงจะขยับมานั่งขัดสมาธิชั้นเดียว หรือจะนั่งพับเพียบอย่างไรก็ได้นะจ๊ะ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย เพราะฉะนั้นขยับเนื้อขยับตัวให้ดี ให้ร่างกายทุกส่วน กล้ามเนื้อระบบประสาทคลี่ขยายหมด ผ่อนคลายให้หมดทั่วทั้งเนื้อทั้งตัวนะจ๊ะ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญนะ อย่าดูเบา ถ้าเรานั่งได้อย่างถูกวิธีตั้งแต่เริ่มต้น ทำความเข้าใจให้ดี ต่อไปการทำสมาธิเจริญภาวนา ทำสมาธิก็จะง่ายเข้า เพราะฉะนั้นนั่งให้ถูกวิธีต้องผ่อนคลายสบาย ทุกส่วนของร่างกาย ขยับให้ดีนะ

 


                การทําสมาธิภาวนาก็คือการทำใจของเราให้หยุดนิ่ง อยู่ภายในกลางกายของเราในตัวของเรา พูดง่าย ๆ ก็คือดึงใจกลับเข้ามาสู่ภายใน อยู่กับเนื้อกับตัวของเรา ในอารมณ์ที่สบาย นี่คือวิธีการทำให้เกิดสมาธิอย่างง่าย ๆ และก็เข้าถึงอย่างรวดเร็ว คือการดึงใจที่ซัดส่ายไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในความคิดต่าง ๆ จะเป็นเรื่องครอบครัวธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน เรื่องสนุกสนานเฮฮา หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ก็ตาม ดึงกลับมาไว้อยู่กับตัวของเราให้มามีอารมณ์เดียว ใจเดียว หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านใช้คำว่า ให้ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ๔ อย่างนี้ รวมหยุดเป็นจุดเดียว 

 


                รวมหยุดเป็นจุดเดียวในอารมณ์ที่สบาย ที่กลางกายของเรา อย่างนี้เรียกว่าวิธีทำให้เกิดสมาธิคือฝึกใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ภายใน โดยมีเป้าหมายของการฝึกนี้ เพื่อให้เราได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง ซึ่งเป็นยอดปรารถนาของเราทั้งหลาย ให้ได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง ถ้ายิ่งไปกว่านั้นก็ให้ได้ฌานสมาบัติ ยิ่งไปกว่านั้น ให้ได้วิปัสสนา ถ้ายิ่งไปกว่านั้นก็ให้ได้นิโรธสมาบัติ ถ้ายิ่งไปกว่านั้นก็ให้ได้ภพอันวิเศษคืออายตนนิพพาน นี่เรียงลำดับของการฝึกมีเป้าหมายอย่างนี้ ที่ว่าให้ได้ความสุขก็คือหลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข นั่งนอนยืนเดินเป็นสุข นี่คือความสุขที่มนุษย์ปรารถนา 

 


                โดยเอาสมาธิเป็นจุดกลางเชื่อมโยงในอริยาบถหรือกิจกรรมต่าง ๆ พอหยุดเข้าไปภายในอยู่กับเนื้อกับตัว ในโลกส่วนตัวของเรา ยาววาหนาคืบกว้างศอกนี้ที่กึ่งกลางกาย เราจะพบความอัศจรรย์ว่าแหล่งกำเนิดแห่งความสุขทั้งมวลที่เราปรารถนานั้น จริง ๆ แล้วอยู่ในกลางกายนี่เอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของใจ เมื่อเอาใจของเรากลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิม ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความสุข เราจะพบความสุขที่แท้จริงแตกต่างจากสิ่งที่เราเคยเจอ แล้วเราจะเปรียบเทียบได้ว่า สิ่งที่เราเคยเจอนั้นมันแค่เป็นเพียงความสนุกความเพลินชั่วครั้งชั่วคราว วูบวาบแล้วก็หายไป แป๊บเดียวก็หายไปเลย 

 


                มีแต่ ถ้า แต่ถ้าเป็นความสุข ก็เป็นความสุขแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่ใช่ความสุขอันยิ่งใหญ่หรือที่เราปรารถนา เพราะฉะนั้นสังเกตได้ว่าเราเบื่อง่าย ไม่ว่าจะได้ของถูกใจ คนถูกใจ หรืออะไร ๆ ที่ถูกในน่ะ มันถูกใจประเดี๋ยวเดียว พอประเดี๋ยวประจำเราก็เบื่อหน่าย แสวงหาสิ่งที่อยู่ในอุดมคติของเรา คนในอุดมคติ ของในอุดมคติ คนสัตว์สิ่งของที่อยู่ในอุดมคติ ที่จะให้เราได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง ถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิตที่มีความ สุขสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย เพราะฉะนั้นสังเกตได้ว่า เมื่อเรายังไม่เจอความสุขที่แท้จริง ใจก็เปลี่ยนเรื่อย

 


                การเปลี่ยนแปลงก็คือการแสวงหานั่นเอง แสวงหาสิ่งที่ดีกว่าปราณีตกว่า ประเสริฐกว่า จนกระทั่งถึงที่สุด ไม่ต้องไปแสวงหาคือเข้าถึงความสุขที่แท้จริง แล้วไม่ต้องไปแสวงหาอะไร แต่ทีนี้เนื่องจากความรู้ของเราน้อยน่ะ เกิดมาในโลกนี้เจอะเจออะไรก็ตามที่เค้ามีอยู่ ที่เค้าเป็นอยู่ เราก็เข้าใจว่าสิ่งที่เค้ามีสิ่งที่เค้าเป็นน่ะ เป็นสิ่งที่ทำให้เข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ เราจึงอยากได้อยากมีอยากเป็นอย่างนั้น แล้วเราก็แสวงหาอย่างนั้น ทุ่มเทไปทั้งชีวิตทีเดียวเพื่ออยากได้อยากมีอยากเป็นโดยเข้าใจผิด ๆ ว่าสิ่งนี้จะให้ความสมบูรณ์ของชีวิต ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าความรู้ของเรายังไม่สมบูรณ์ รู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ดังนั้นเราจึงเบื่อง่าย พอเบื่อก็เปลี่ยนแปลงแสวงหากันต่อ ๆ กันไปอย่างนั้นแหละ 

 


                มีคนนี้ก็คิดว่าคนนี้จะให้ความสุข พอเจอเข้าจริง ๆ นี่มันสุขนิดเดียวทุกข์เยอะต้องแก้ปัญหา ก็เปลี่ยนคนใหม่ มีของสิ่งนี้พอจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขบันเทิงใจ ได้แพล็บเดียวก็หายเห่อ เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนรถใหม่เปลี่ยนแหวนใหม่ เปลี่ยนของใหม่ บ้านใหม่ เปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้แหละ การเปลี่ยนแปลงก็คือการแสวงหา นั่นคือสัญญาณแสดงให้เรารู้ว่าเรายังไม่พบของจริงจึงเบื่อหน่ายเร็ว หายเห่อเร็ว เมื่อเรามาทำใจของเรากลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิม ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความสุข ที่แท้จริงภายใน หรือทำความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ หยุดอยู่เป็นจุดเดียวที่กลางกายนี่แหละ เราถึงจะพบความสุขที่แท้จริงได้ ซึ่งแตกต่างจากเดิม 

 


               ใครเข้าถึงก็จะรู้ได้ด้วยตัวของตัวเอง เป็นปัจจัตตัง ว่าอารมณ์ชนิดนี้เป็นอามรณ์ที่แปลก แตกต่างจากที่เคยเจอ มันโล่ง มันโปร่ง มันเบา มันสบาย ใจขยาย เป็นอิสระไม่มีขอบเขต คำเหล่านี้เป็นคำ ที่มาพร้อมกับประสบการณ์ เราจะท่องว่าโล่งโปร่งเบาสบายแค่ไหน มันก็ไม่โล่งโปร่งเบา ต้องใจหยุดนิ่งถูกส่วนในกลางกาย ใจก็จะหลุดออกจากที่แคบ แล้วก็ขยายโล่งโปร่ง เบาสบาย ขยายกว้างขวาง เบิกบานไปเรื่อย ๆ เลย เพราะฉะนั้นเป้าหรือวัตถุประสงค์ของการทำภาวนาในเบื้องต้นก็คือต้องการให้ได้รับความสุข เมื่อเราเข้ามาสู่แหล่งของความสุขภายในที่แท้จริงบ่อย ๆ อยู่กับสิ่งนี้บ่อย ๆ เวลาเราทำกิจกรรมอะไรต่าง ๆ ในอริยาบถต่าง ๆ จะนั่งจะนอนจะยืนจะเดิน จะกินดื่มทำพูดคิดหยุดนิ่งลิ้มรสเหยียดแขนคู้แขน หรือจะทำอะไรก็แล้วแต่ มันก็มีความสุข เพราะใจเป็นสุขซะแล้ว ใจเหมือนแผ่นดิน เป็นที่รองรับทุกสิ่ง ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งสิ่งของต่าง ๆ อยู่บนแผ่นดิน ใจก็จะเป็นที่รองรับอารมณ์ต่าง ๆ ทั้งมวล 

 


                ถ้าใจดีอารมณ์ดีอารมณ์สบาย อารมณ์เป็นสุข อะไร ๆ มันก็เป็นสุขทั้งนั้น อริยาบถก็เป็นสุข ถ้าใจไม่สบาย จะมีที่นั่งสั่งมาอย่างดีจากที่ไหนก็ตาม นั่งก็ไม่เป็นสุข จะยืนจะเดินหรือจะนอนบนฟูกที่ปูหลาย ๆ ชั้นให้นุ่มนวล นอนมันก็ไม่เป็นสุขเพราะว่าใจมันไม่เป็นสุข ใจยังป่วยใจยังไม่สบาย เมื่อใจเรากลับไปสู่แหล่งของความสุขภายใน มีความสบาย มีความสุข ความสุขนั้นก็ขยายเอิบอาบซึมซาบไปทุกศูนย์ทุกส่วนของร่างกายเรา ทุกอณูทุกเซลของร่างกาย ไม่ว่าเราจะนั่งจะนอนจะยืนจะเดินมันก็มีสุข ที่นั่งมีเพียงอาสนะบาง ๆ ผืนนึง แคบ ๆ แค่ ๑ ตารางเมตรก็มีความสุข ที่ยืน ที่เดิน ที่นอนก็เช่นเดียวกัน แม้ไม่ได้ปูลาดด้วยสิ่งที่อ่อนนุ่มปราณีตแต่ก็มีความสุข 

 


                ครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์นั่งนอนยืนเดินเป็นสุขหรือ ในเมื่ออาสนะที่นั่งของพระผู้มีพระภาคเจ้าปูลาดอยู่บนแผ่นดิน หลังฤดูฝนที่มีคนเหยียบย่ำ บัดนี้แข็งกระด้าง อยู่โคนไม้ ปูลาดด้วยหญ้า มีผ้าประทับนั่งเท่านั้น บางครั้งแดดลมฝนน่ะหรืออากาศหนาวพัดผ่าน พระองค์บรรทมเป็นสุขหรือ ท่านก็ตรัสตอบว่า พระตถาคตในบรรดาผู้ที่นั่งนอนยืนเดินเป็นสุข พระตถาคตเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะว่าใจของพระตถาคตเจ้านั้นเป็นสุข หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์แล้ว บัดนี้ใจของพระตถาคตเจ้า หยุดอยู่ภายในที่ตั้งแหล่งแห่งความสุขทั้งมวล ส่วนพระองค์ยังทรงมีราชกิจอยู่ มีธุลีในดวงตา มีปัญหาต่าง ๆ ผ่านเข้ามาในใจในพระทัยอยู่ตลอดเวลา จะทรงบรรทมอย่างไร ถึงจะมีที่ลาดปู ด้วยสิ่งที่นุ่มนวลก็ไม่เป็นสุข  นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าใจเราเป็นสุขได้ หยุดนิ่งถูกส่วนได้ จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะทำอะไรไรมันก็เป็นสุข แม้แต่จะรับประทานอาหารก็เป็นสุข กระทั่งขับถ่ายก็เป็นสุข เพราะว่าใจเป็นสุข นี่คืออานิสงส์ข้อแรกนะจ๊ะ สำหรับการเจริญสมาธิภาวนา 

 


                เมื่อใจหยุดอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าก็จะเข้าถึงฌานสมาบัติ พบกายต่าง ๆ ที่อยู่ภายใน กายต่าง ๆ ที่ซ้อนกันอยู่เราจะเข้าถึง กายที่เป็นที่ตั้งแห่งปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ฌานเข้าถึงความเป็นหนึ่ง มีอารมณ์เดียว อารมณ์ที่เป็นสุขนิ่งแน่นเป็นหนึ่งเบิกบานอยู่ภายใน ในกายต่าง ๆ นั่นคือจะได้ฌานสมาบัติ มีอารมณ์เดียว บุคคลใดก็ตามมีอารมณ์ดี อารมณ์เดียว อารมณ์สบาย บุคคลนั้นได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จในชีวิตในระดับหนึ่งทีเดียว เพราะอารมณ์ดี อารมณ์เดียว อารมณ์สบาย เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก จะต้องมีอยู่ได้ในผู้ที่มีใจหยุดแล้ว

 


                ใจหยุดที่สมบูรณ์แล้ว เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด หยุดในกลางกายมนุษย์เข้าถึงกายทิพย์ หยุดในกลางกายทิพย์เข้าถึงกายพรหม หยุดในกลางกายพรหมเข้าถึงกายอรูปพรหม ถึงกายต่าง ๆ ที่ซ้อนอยู่ภายในซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปฌานสมาบัติ และอรูปฌานสมาบัติ เมื่อเราหยุดอย่างนั้นได้แล้ว อารมณ์เป็นสุข มีอารมณ์เดียว ไม่ซัดส่าย ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน เหมือนภูเขาแท่งทึบ ลมพัดมาทุกทิศทุกทางก็ไม่ทำให้หวั่นไหวได้ เพราะฉะนั้นอารมณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาจะกระทบให้กระเทือนให้เกิดความยินดียินร้ายอะไรต่าง ๆ ไม่เกิดขึ้น มีอารมณ์ดี อารมณ์เดียว อารมณ์สบาย สม่ำเสมอเป็นนิจอยู่ นี่แหละคือคุณสมบัติของผู้ที่ได้ฌานสมาบัติ ที่มีใจหยุดนิ่งอย่างดีแล้ว นี่เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๒

 


                ข้อที่ ๓ ได้วิปัสสนา วิปัสสนาแปลว่าการเห็นแจ้ง เห็นอย่างวิเศษ คือของที่อยู่ในที่ลึก มืด ๆ มัว ๆ สลัวดึงออกมาสู่ที่แจ้งหมด ความไม่รู้จริงอันใดทั้งในอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี หรือในอนาคตก็ดี เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของตัวเราตั้งแต่ตัวเราคือใคร ประกอบไปด้วยอะไร มาจากไหน มาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต และได้บรรลุในเป้าหมายของชีวิตนั้นแล้ว อะไรเป็นอุปสรรคของชีวิตแล้วได้บรรลุเป้าหมายชีวิตอันนั้นแล้ว เห็นอย่างนี้เรียกว่าวิปัสสนา เกิดขึ้น เมื่อใจหยุดต่อไปอีกได้เข้าถึงกายธรรม ถึงพุทธรัตนะ ถึงธรรมรัตนะ ถึงสังฆรัตนะ มีความเห็นเป็นปกติ มีความรู้เป็นปกติ เห็นไปตามความเป็นจริง รู้ไปตามความเป็นจริงด้วยธรรมจักขุ รู้ด้วยญาณทัสสนะเห็นด้วยธรรมจักขุของธรรมกาย เห็นไปตามปกติ 

 


                ที่พระองค์ทรงตรัสเอาไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ว่าจักขุกรณี ญาณกรณี อุปสมายะ อภิญญายะ นิพพานายะ คือเห็นเป็นปกติ เห็นธรรมดา เห็นไปตามความเป็นจริง สิ่งใดที่ไม่เที่ยงก็เห็นว่าไม่เที่ยง สิ่งใดเที่ยงก็เห็นว่าเที่ยง สิ่งใดเป็นสุขก็เห็นว่าเป็นสุข สิ่งใดเป็นทุกข์ก็เห็นว่าเป็นทุกข์ เห็นตลอดหมดเลย ไม่ใช่เห็นครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่มีความรู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เห็นทีเดียวครอบไปเลย เพราะเมื่อใจหยุดนิ่งเข้าถึงธรรมกายแล้ว ธรรมกายขยายส่วน ตกวูบขยายกว้างครอบคลุม ครอบคลุมนิพพาน ภพ ๓ โลกันตร์ คลุมหมดเลย กระแสข่ายแห่งญาณขยายออกไปไม่มีที่สิ้นสุด อายตนนิพพานก็ดี ภพทั้ง ๓ ก็ดี โลกันตร์ก็ดี อยู่ในข่ายแห่งญาณทัสสนะของพระธรรมกายหมด ในอายตนนิพพานมีอะไรเห็นหมด ปฏิปทาที่ทำให้เข้าถึง 

 


                เข้าถึงแล้วมีอารมณ์บรมสุขอย่างไร ก็ได้รู้ได้เห็นได้สัมผัสถูกต้องทุกอย่าง ญาณครอบไปในภพทั้ง ๓ ในกามภพในรูปภพ อรูปภพ อรูปพรหมอยู่กันอย่างไร พรหมเป็นอย่างไร ชาวสวรรค์เป็นอย่างไร กระทั่งอากาศเทวา รุกขเทวา ภุมมเทวา มนุษย์ ภูมิของสัตว์โลก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ทั้งถึงหมดใน ๓๑ ภูมินี้ อยู่ในภพทั้ง ๓ อยู่ในข่ายของญาณทัสสนะของธรรมกายหมด ธรรมจักขุของธรรมกายมองเห็นตลอดหมด ญาณทัสสนะครอบคลุมหมด เหมือนดึงของที่อยู่ในที่มืดออกมาที่แจ้ง เมื่อเข้าถึงธรรมกายแล้ว แสงสว่างบังเกิดขึ้นครอบคลุมไปถึงไหนก็เห็นไปถึงนั่นเห็นถึงไหนก็รู้ถึงนั่นอย่างนี้เรียกว่าเห็นเป็นปกติที่เรียกว่าจักขุกรณี ญาณกรณี รู้เป็นปกติเป็นไปตามความเป็นจริงอภิญญายะ เป็นความรู้ยิ่งดีกว่าความรู้ที่เราใช้ความนึกคิดจินตนาการหรือได้ยินได้ ฟังได้อ่านอะไรมาเหล่านั้น คือความรู้ที่เกิดจากความเห็น 

 


                สัมโพธายะ รู้ทั่วถึงหมด เพราะว่าธรรมจักขุ เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีความเห็นได้รอบตัวทุกทิศทุกทาง ซ้ายขวาหน้าหลังล่างบนเห็นตลอดหมด นี่เป็นสิ่งที่แปลกทีเดียว นิพพานายะ เป็นไปเพื่อความดับทุกข์บรรลุพระนิพพานนะ ถึงบรมสุข มองทะลุไปถึงโลกันตร์ทีเดียว โลกันตร์ที่อยู่นอกภพ ๓ มองทะลุไปหมดในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นวิปัสสนาเนี่ยะคือแปลว่าการเห็นแจ้ง เห็นวิเศษ เห็นแตกต่างจากสิ่งที่เคยเห็น เห็นว่าตัวเราคือใครก็เห็นเหมด ภูมิวิปัสสนา ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจสมุปบาท เป็นภูมิรู้ในคำสอนของพระบรมศาสดา แทงตลอดหมด

 


                อานิสงส์ขั้นต่อไปก็คือได้นิโรธสมาบัติ นิโรธสมาบัติจะบังเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เมื่อใจนั้นร่อนจากกิเลสอาสวะทั้งมวล ความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสใน ๓ ตระกูลนี้หลุดร่อนหมด สังโยชน์เบื้องต่ำเบื้องสูงหลุดหมด ใจร่อนใสกระจ่างสว่างเต็มเปี่ยมไปหมดอย่างนี้ ใจไม่มีอะไรเนี่ยวรั้งเลย ธรรมกายก็จะเดินสมาบัติหยุดในหยุดเข้าไปเรื่อย ๆ นิโรธแปลว่า นิโรธแปลว่า หยุด แต่เป็นการหยุด ที่แตกต่างจากที่เราเคยเจอ คือหยุดแล้วไป หยุดแล้วเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน ไปสู่แหล่งแห่งบรมสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป หยุดครั้งนึงก็ตกศูนย์วูบไปทีนึง ถึงธรรมกายที่ละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ เข้าถึงอายตนนิพพานภายใน ถึงสอุปาทิเสสนิพพานภายใน นิพพานของธรรมกายที่อยู่ภายใน หยุดต่อไปอีกก็เห็นนิพพานต่อไปอีก 

 


               เห็นธรรมกายซ้อน ๆ ๆ กันขึ้นไปเรื่อย ๆ ขอบข่ายของจักขุกรณี ญาณกรณี ทั้งการเห็นก็ดี ญาณทัสสนะก็ดี ขยายกว้างออกไปอีก ท่านก็หยุดในหยุดอย่างนี้เรื่อย ๆ ไปไม่ถอนถอยเลย หยุดไปดูดวูบเข้าไปทั้งเนื้อทั้งตัวเลย จากธรรมกายองค์นี้ก็หลุดวูบเข้าไปเป็นธรรมกายอีกองค์หนึ่ง หลุดเป็นชั้น ๆ เข้าไปนับชั้นไม่ถ้วน ๗ วัน ๗ คืนไม่ได้ถอนถอยเลย เพราะว่าไม่มีกิเลสมาเหนี่ยวรั้ง เมื่อไม่มีกิเลสมาเหนี่ยวรั้งก็จะถูกดูดวูบเข้าไปเรื่อย ๆ หยุดในหยุด ๆ เข้าไป หยุดทีก็วูบดูดเข้าไปทีนึงน่ะ ไปอย่างนี้ไม่ถอนถอย ๗ วัน ๗ คืน มีความสุขมาก มีบุญมาก มีอานุภาพมาก ใครทำบุญกับผู้ที่หยุดตลอด ๗ วัน ๗ คืน ที่หลุดร่อนจากกิเลสได้อย่างนี้ ได้อานิสงส์ทันตาเห็น บุญศักดิ์สิทธิ์หลั่งไหลมาจากแหล่งของบุญศักดิ์สิทธิ์ แหล่งกำเนิดแห่งบุญศักดิ์สิทธิ์นั่น ทำบุญแว้บเดียวได้ผลทันตาเห็นทีเดียว

 


                อานิสงส์ขั้นสุดท้ายก็คือภพอันวิเศษ ภพอันวิเศษนั้นหมายถึงอายตนนิพพาน ซึ่งวิเศษกว่าภพทั้งปวง คือในที่สุดแล้วก็จะได้ไปอยู่ในอนุปาทิเสสนิพพาน หลุดร่อนไปอยู่ที่ตรงนั้นเลย ดังนั้นการทำสมาธิภาวนาไม่ใช่ของที่เล่น ๆ อย่างที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านใช้คำว่า ไม่ใช่ของพอดีพอร้าย เป็นของที่สำคัญ เป็นความจำเป็นที่สำคัญที่สุด สำหรับชีวิตมนุษย์ทีเดียว ดังนั้นในวันนี้เป็นวันบุญใหญ่เป็นวันทอดกฐินสามัคคี ซึ่งมีคุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ผู้ให้กำเนิดวัดพระธรรมกาย ครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อ คณะสงฆ์ทั้งหลายนี่เป็นประธาน และก็มีพวกเรายอดกัลยาณมิตรทั้งหลายเดินทางมาจากทั่วประเทศ บางท่านก็เดินทางมาจากต่างประเทศ 

 


                บางท่านมาไม่ได้ ก็ฟังเสียงอยู่ที่ต่างประเทศ เต็มไปหมดเลย จะได้ประกอบพิธีทอดกฐินผ้าป่าสามัคคีในยามบ่าย ตอนช่วงเช้าจะประกอบพิธีบำเพ็ญบุญซึ่งเป็นกิจปกติที่เราได้ทำมาอย่างสม่ำเสมอคือการบูชาข้าวพระทุกต้นเดือน เดือนหนึ่งก็มีครั้งหนึ่ง ก็มาประชุมพร้อมกันที ก่อนที่เราจะได้ประกอบพิธีบูชาข้าวพระในตอนเช้าและทอดกฐินสามัคคีในตอนบ่าย เราจะต้องชำระกายวาจาใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ให้ผ่องใส จะได้เหมาะสมเป็นที่รองรับพระรัตนตรัย รองรับบุญกุศลที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ และบุญกุศลที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นบุญที่สำคัญทีเดียวที่จะส่งผลให้เรามีความสุขไปทุกภพทุกชาติ กระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้นต่อจากนี้เป็นต้นไปให้ลูก ๆ ทุกคน ยอดกัลยาณมิตรทั้งหลายทั้งหญิง และชายที่เดินทางมาจากทั่วประเทศ และต่างประเทศ ตลอดจนที่อยู่ต่างประเทศในตอนนี้ ได้ตั้งใจทำสมาธิภาวนา ซึ่งหลวงพ่อจะแนะนำต่อไปสำหรับผู้มาใหม่อีกนิดนึงนะจ๊ะ

 


                เราก็ทำใจของเราให้หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ สำหรับท่านที่มาใหม่ที่ยังไม่รู้จักก็ให้นึกน้อมใจตามเสียงหลวงพ่อไปนะจ๊ะ สมมติว่าเรามีเส้นด้ายอยู่ ๒ เส้น เรานำมาขึงให้ตึง เส้นหนึ่งขึงจากสะดือทะลุไปด้านหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาทนึกตามไปนะจ๊ะ นึกตามไปอย่างสบาย ๆ ขึงเส้นด้าย ๒ เส้น สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้ายให้ตัดกันตรงกลางกั๊ก จุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ ที่เล็กเท่ากับปลายเข็มนั้นเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ ให้เราสมมติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนนะจ๊ะ นิ้วมือนะนิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกันแล้วนำมาทาบ ตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ หรือที่เรียกว่ากลางกั๊กน่ะ สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือตรงนี้แหละเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่ตั้งใจของเรา 

 


                เราจะต้องเอาใจของเรามาตั้งอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ว่าจะให้ทาน รักษาศีลหรือเจริญภาวนา เพราะฉะนั้นถ้าหลวงพ่อพูดถึงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ลูก ๆ ที่มาใหม่จำเอาไว้นะจ๊ะว่าหลวงพ่อหมายถึงตรงนี้ ตรงตำแหน่งที่เหนือจากจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสองที่ขึงจากสะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้ายขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือถ้าจำง่าย ๆ ก็อยู่ในกลางท้องของเรานี่แหละ อยู่กลางท้องกลางกายของเรา ให้เอาใจมานึกคิดอยู่ที่ตรงนี้ นึกคิดอะไร นึกคิดถึงสิ่งที่ทำให้ใจเราหยุด สิ่งไรที่ทำให้ใจเราหยุดง่ายสบาย สิ่งนั้นคือสิ่งที่ต้องนำมา ซึ่งความบริสุทธิ์สะอาด นำมาซึ่งความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย เพราะฉะนั้นตรงนี้จะต้องนึกถึงอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๒ อย่าง จะนึกเป็นดวงแก้วใส ๆ ก็ได้ หรือจะนึกเป็นพระแก้วใส ๆ ก็ได้ ถ้าสมมตนึกเป็นดวงแก้วนะจ๊ะ เราก็นึกว่าดวงแก้วที่กลมรอบตัวให้ใสบริสุทธิ์เหมือนกับเพชร เพชรที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา หรือจะโตใหญ่กว่านี้ก็แล้วแต่เรานะจ๊ะ

 


                นึก ถ้าชอบนึกดวงแก้วให้นึกอย่างนี้นะ นึกถึงภาพดวงแก้วที่ใส ๆ เหมือนกับเพชร เพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่าแก้วตา หรือถ้าหากว่าไม่ชอบนึกดวงแก้ว จะนึกเป็นพระแก้วใส ๆ ก็ได้ นึกอาราธนาให้มีพระแก้วใส ๆ อยู่ในกลางกาย ให้ท่านนั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา นึกอย่างสบาย ๆ นี่วิธีการนึกนะจ๊ะ วิธีการนึกที่ถูกต้อง ต้องสบาย นึกสบายนึกอย่างไร ก็นึกเฉย ๆ นึกเหมือนนึกภาพดอกกุหลาบ ภาพดอกบัวภาพน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว หรือน้ำค้างปลายยอดหญ้า ให้นึกธรรมดา ๆ อย่างนั้น แล้วก็นึกเฉย ๆ นึกเรื่อย ๆ ไปอย่างสบาย ๆ อย่างสบายนะจ๊ะ คือนึกเฉย ๆ ไปเรื่อย ๆ นึกธรรมดา ๆ ถ้านึกดวงแก้วก็นึกว่าเป็นดวงแก้วใสอย่างนี้

 


                ถ้านึกองค์พระก็นึกว่าเป็นองค์พระรูปร่างอย่างนี้ใสอย่างนี้ นึกอย่างสบาย ๆ อย่าไปตั้งใจนึกมากเกินไป พร้อมกับภาวนาในใจนะจ๊ะ ภาวนาว่าสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ เลย ภาวนากี่ครั้งดี ภาวนาที่ใจเราชอบ จะกี่ครั้งก็ช่างชอบภาวนาแค่ไหนก็เอาแค่นั้นครั้ง ดีอย่างนี้ดี แต่ต้องภาวนาอย่างสบาย ๆ ภาวนาไปเรื่อย ๆ ใจเย็น ๆ ทำความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยน่ะ นึกถึงดวงใสตรึกดวงใส หยุดกลางดวงใส ภาวนา สัมมาอะระหังไป หรือนึกถึงพระแก้วใส ๆ หยุดกลางองค์พระแก้วใส ๆ ภาวนาสัมมาอะระหังไป ภาวนาไปอย่างสบาย ๆ ถึงตอนนี้หลวงพ่อจะอธิบายเพิ่มเติมอีกนิดนึง สำหรับท่านที่มาใหม่นะจ๊ะ ว่าการเห็นภายในกับการเห็นภายนอกนั้น จะแตกต่างกันหน่อยหนึ่ง ซึ่งเราจะต้องทำให้ถูกวิธี และต้องยอมรับว่ามันเป็นอย่างนี้ มันก็ต้องทำอย่างนี้ 

 


                การเห็นภายนอก เวลาเรามองลืมตามองวัตถุภายนอก จะเป็นคนเป็นสัตว์เป็นสิ่งของ เป็นต้นไม้ภูเขาอะไรก็แล้วแต่ เป็นเพชรภายนอก องค์พระภายนอก พอเราลืมตาเราก็เห็นชัดเจนเลย พอลืมปั๊บเห็นปุ๊บเลย ถ้าอยู่ใกล้ก็เห็นชัดมาก อยู่ไกลก็เห็นชัดน้อยหน่อย แต่การเห็นภายในนั้นมันเห็นด้วยใจ การเห็นด้วยใจเนี่ยจะแตกต่างจากการเห็นข้างนอกตรงนี้ ตรงที่มันจะค่อย ๆ เห็น ค่อย ๆ ชัด ค่อย ๆ เห็นค่อย ๆ ชัด เราต้องยอมรับตรงนี้นะจ๊ะ ว่าค่อย ๆ เห็น ค่อย ๆ ชัด เวลาเราทำเราก็จะต้องค่อย ๆ ทำ เอาใจหยุดนิ่งแล้วก็ค่อย ๆ นึก ซึ่งมันไม่ได้ดังใจเราในทันทีหรอก เพราะว่ามันจะค่อย ๆ ชัด ชัดไม่ได้ดังใจน่ะ แต่ว่าเราก็ต้องยอมรับว่า มันเป็นอย่างนี้ก็ต้องทำอย่างนี้ 

 


                เพราะมันต้องเห็นอย่างนี้ นอกจากมีคนวิเศษ นาน ๆ จะเจอสักคนหนึ่ง พอนึกปุ๊บได้ปั๊บเลย แต่หลวงพ่อไม่ค่อยจะเจอน่ะ ส่วนใหญ่ก็เจออย่างนี้ แม้แต่หลวงพ่อเองเวลาปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ ใหม่ ๆ มันก็มืด ๆ นะมันนึกไม่ออกแต่คุณยายท่านสอนว่าให้ค่อย ๆ นึก ปกติเป็นคนใจร้อนน่ะ ทำอะไรมันอยากจะให้ได้ทีเดียวเลย เพราะฉะนั้นก็นั่งไปก็ปวดหัวไปน่ะ เพราะว่าพยายามที่จะเค้นภาพให้มันเกิดขึ้น เมื่อมันไม่เกิดก็โมโห นั่งแบบโมโหโทโสน่ะนั่งไปกลุ้มไปเรื่อย ๆ ปวดหัว แล้วต่อมาก็เลยเบื่อ นั่งไม่ได้ผลน่ะ พอเบื่อก็บ่น บ่นให้คุณยายท่านทราบ นั่งไม่เห็น เห็นอะไรเลย บุญคงน้อยมั้ง มันไม่เห็นน่ะ พอบ่นก็เห็นท่านนั่งยิ้ม ๆ ไม่เห็นท่านว่าอะไร เห็นคุณยายท่านยิ้ม ๆ กับหลวงพ่อนะจ๊ะ ไม่เห็นท่านเบื่อน่ะ ท่านก็ฟังหลวงพ่อบ่นรำพึงรำพันไป น้อยเนื้อต่ำใจ 

 


                พอท่านเห็นหลวงพ่อรำพึงรำพันจนกระทั่งหมดอารมณ์รำพึงแล้วน่ะ ท่านก็ยิ้ม ๆ แล้วท่านก็บอกว่า คุณต้องทำใจเย็น ๆ ถ้าใจเย็นเดี่ยวจะเห็นภาพ พอท่านบอกอย่างนั้นก็ไปลองทำใจเย็น มันก็เย็นได้ประเดี๋ยวเดียว เพราะมันยังอยากเห็นอยู่ ยังไงมันก็ไม่ค่อยจะเย็น ก็ไปบ่นให้ท่านฟังอีก ท่านก็บอกว่ามันก็เป็นทางเดียวอะนะที่จะเห็นน่ะ เพราะมันเป็นอย่างนั้นน่ะ คุณก็ทำได้อย่างเดียว คือคุณต้องใจเย็นน่ะ ถ้าคุณรักที่จะเข้าถึงความสุขภายใน รักที่จะฝึกใจให้หยุดนิ่ง ให้ได้เหมือนอย่างยาย รักที่จะเข้าถึงกายธรรม รักที่จะศึกษาวิชชาธรรมกาย รักที่อยากจะหลุดพ้นน่ะ คุณต้องใจเย็น ๆ น่ะมันมีวิธีเดียว คุณไปหามาเถอะ หลวงพ่อก็กลับมาก็มานั่งทำใจเย็น มันก็ค่อย ๆ ลดลงมันก็ไม่ได้เย็นฮวบฮาบ

 


                มันเย็นตอนที่ปลงตก คือเราไปทำวิธีด้วยใจร้อน ๆ แล้วมันไม่เคยได้ผลเลยน่ะ ทำไปกลุ้มไป ปวดหัวไป บ่นไปรำพึงรำพันไป น้อยใจไป กวน ๆ อยู่อย่างนั้น ไม่เคยที่มีประสบการณ์ใหม่ ๆ เลย ไม่มีความสุขเลย จากการนั่งจนกระทั่งมองเห็นอย่างนี้นี่นะ ความเห็นผิดเกิดขึ้นเลยว่า เอ๊ะไอ้ที่คนอื่นเค้าเห็นน่ะ มันเห็นจริงรึเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ทำไมเราก็นั่งหลับตาเหมือนเขาทำไมมันไม่เห็น มันพูดส่งเดชรึเปล่าก็ไม่รู้ นี่ขออภัยนะจ๊ะ หลวงพ่อพูดภาษาชาวบ้าน ก็เพราะมันเป็นอย่างนี้จริง ๆ มันเกิดความเห็นผิดเข้า ในที่สุดก็มารำพึงให้ท่านฟัง ท่านก็พูดคำเดิมอีกนั่นแหละว่าคุณ คุณต้องใจเย็น ๆ เพราะการเห็นภายในนั้นน่ะมันแตกต่างจากภายนอก ภาพมันจะค่อย ๆ เกิด ค่อย ๆ เห็น ค่อย ๆ เป็น คุณต้องใจเย็น ๆ ทำให้อารมณ์ดีสิ อารมณ์สบาย นั่งธรรมะเรามาแสวงหาอารมณ์ดีอารมณ์สบาย ไม่ใช่มานั่งแบบโมโหโทโสฉุนเฉียว เจ้าอารมณ์อะไรอย่างนั้น มันผิดวิธี ในที่สุดก็นั่งกันไปอย่างนั้น

 


                 เชื่อท่านมั่งไม่เชื่อมั่งแต่ก็เคารพท่านน่ะนะ ก็นั่งกันไปจนกระทั่งทำด้วยวิธีการที่เราทำแล้วมันไม่ได้ผล ก็เลยวันนั้นนั่งเฉย ๆ ไม่เอาอะไรทั้งสิ้นน่ะ ดวงก็ไม่เอา องค์พระก็ไม่เอา เพราะไปเห็นภาพแล้วมันไม่เกิด นั่งเฉย ๆ ตอนแรก ๆ ก็ภาวนาสัมมาอะระหังไปเรื่อย ๆ ตอนหลังก็ขี้เกียจภาวนาก็นั่งเฉย ๆ ตอนแรกมันก็ฟังมาก แล้วก็ฟังน้อย อยู่ ๆ ไปมันอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย มันไม่ฟัง ใจมันนิ่งเฉย มันนิ่งของมันไปเองน่ะ นิ่ง ตอนนี้ตัวโล่งเลย ขนลุกซู่เลย ตัวโล่ง ตัวโปร่งเบาสบาย ก็ทำเฉย ๆ อย่างนั้นน่ะ เพราะไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ก็เฉย ๆ ทำเป็นไม่สนใจมัน พอหาเป็นไม่สนใจมัน แปลกทีเดียว ไอ้ของภายในเนีย พอทำเป็นสนใจแล้วมันไม่เกิด พอทำเป็นไม่สนใจคราวนี้มันเกิดเลยน่ะ โล่ง โปร่ง เบาสบาย แสงสว่างเกิดล่ะตอนนี้ ดีใจจนเนื้อเต้นทีเดียว เห็นแสงสว่างแล้ว โอ้แสงสว่างอะไรมันเกิดภายในได้ มันไม่ใช่ภายในท้อง มันภายในที่โล่ง ๆ ว่าง ๆ เกิดสว่างแล้วมันก็สว่างเพิ่มขึ้นไปได้เรื่อย ๆ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ทำเฉย ๆ ไปเรื่อย ๆ มันก็วูบเข้าไปเห็นดวงธรรมเลย แล้วก็เห็นองค์พระ ตอนนี้มีความสุขจังเลย สุขจังเลย ถึงตอนนี้นะจ๊ะ สุขจังเลย หลวงพ่ออยากให้ลูก ๆ ทั้งหลายทั้งภายในและต่างประเทศสุขจังเลย เพราะฉะนั้นทำอย่างนี้นะจ๊ะ

 


                เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว ต่อจากนี้ไป คุณยายก็อาราธนาบารมีธรรมของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ลงซ้อนที่ศูนย์กลางกายลูก ๆ ทุก ๆ คนให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง มีจิตใจเบิกบานสว่างไสวประดุจพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ หรือประดุจแก้วมณีโชติรสมีรัศมีสว่างไสว ประดุจพระผู้มีพระภาคเจ้าในยามที่ทรงชนะพญามาร ขอให้สำเร็จสมความปรารถนาในธุรกิจการงาน ขอบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์อำนาจสิทธิของ พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพาน ให้ซ้อนลงมาในลูกหลานทุก ๆ คน ทั้งที่อยู่ภายในและต่างประเทศน่ะ คุณยายกราบทูลพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไปเรื่อย ๆ เลย ให้พระองค์บอกกันต่อ ๆ กันไปเรื่อย ๆ ทุกวันทุกคืนตลอดวัน ตลอดคืนตลอดเวลา ให้สมปรารถนาในทุกเรื่องเป็นอัศจรรย์ 

 


                โดยเฉพาะในเทศกาลนี้เนี่ย หลังจากกฐินสามัคคีไปแล้ว เป็นเทศกาลที่สำคัญใหญ่คือการสร้างธรรมกายเจดีย์ ธรรมกายเจดีย์ซึ่งบังเกิดขึ้นได้ยากในโลก พญามารพยายามปกปิด ปิดบังกีดขวางตลอดเวลา ไม่ให้ธรรมกายเจดีย์นี้บังเกิดขึ้นได้ในโลก เพราะถ้าธรรมกายเจดีย์นี้บังเกิดขึ้นมาได้ในโลกแล้ว จะเป็นจุดศูนย์รวมใจของผู้มีบุญอันยิ่งใหญ่ สันติสุขของโลกจะบังเกิดขึ้น เมื่อผู้มีบุญมารวมกัน ประพฤติปฏิบัติธรรมที่ธรรมกายเจดีย์แห่งนี้ พลังแห่งบุญบารมีของทั้งมวล จะกระตุ้นจิตสำนึกของโลกให้เข้าถึงสันติสุขภายใน จะหลุดพ้นจากบ่าวจากทาสของพญามาร พญามารจึงกีดกันนักหนาที่จะไม่ให้บังเกิดขึ้น แต่ว่าบัดนี้ผู้มีบุญทั้งหลายได้ ประพฤติธรรมได้มาอยู่ร่วมกัน สั่งสมความดีกันมาตลอด 

 


                เมื่อเป็นอย่างนี้กระแสธารแห่งบุญนั้นก็หลั่งไหลไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ใจนี่หยุดนิ่งอย่างเต็มที่ หยุดอย่างสมบูรณ์ เมื่อหยุดได้เต็มที่สมบูรณ์แล้วจึงได้เห็นธรรมกายเจดีย์ แล้วจำลองสัดส่วนของธรรมกายเจดีย์นั้น มาประดิษฐานในเมืองมนุษย์ในโลกแห่งนี้ เพื่อให้เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกนึกถึงพระรัตนตรัยเพราะฉะนั้นธรรมกายเจดีย์นี้ จึงเป็นเจดีย์แห่งพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติบังเกิดขึ้นได้ยากอย่างนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ คุณยายขออานุภาพแห่งบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิเฉียบขาดของพระผู้มีพระภาคเจ้า นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน นับพระนิพพานไม่ถ้วน ไม่ซ้ำธาตุซ้ำธรรม ไม่ซ้ำพระองค์กันลงมาทีเดียว ให้ลงมาซ้อนในศูนย์กลางกายของลูก ๆ ทุก ๆ คนนะ 

 


                ให้มีพลังบุญพลังบารมีที่จะไปชักชวนผู้มีบุญที่เป็น เจ้าของบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัวให้ได้อย่างง่ายดายอย่างสะดวกอย่างสบาย อย่างง่ายอย่างดายอย่างอัศจรรย์ ให้มีกำลังใจอันสูงส่งทุกวันทุกคืน ตลอดวันตลอดคืนอยู่ตลอดเวลา ธรรมกายเจดีย์นี้มีพระธรรมกายประจำตัวประดิษฐานในจำนวนจำกัด ซึ่งไม่อาจจะให้ทุก ๆ คนในโลกนี้มาเป็นเจ้าของธรรมกายประจำตัวประดิษฐานที่ธรรมกายเจดีย์นี้ได้ จึงจำเป็นจะต้องคัดเลือกผู้มีบุญซึ่งเป็นเจ้าของบุญ เพียงจำนวนจำกัดเท่านั้นที่จะมาประดิษฐาน เพราะฉะนั้นขอบุญบารมีของพระนิพพานให้ลงซ้อนผู้มีบุญเหล่านี้ ให้ประสบความสุขความเจริญความสำเร็จในชีวิต ในธุรกิจการงานและสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างอัศจรรย์  ให้ได้มีกำลังทรัพย์ที่จะมาได้สร้างพระธรรมกายประจำตัว ประดิษฐานที่ธรรมกายเจดีย์นี้เป็นอัศจรรย์  

 


                ขอบุญพิเศษบุญอันศักดิ์สิทธิ์ ให้หลั่งไหลมาเทมาทุกวันทุกคืน คุณยายกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าเรื่อยไปเลย และในขณะนี้การสร้างธรรมกายเจดีย์ เป็นวาระที่สำคัญที่เกิดขึ้นครั้งแรกและครั้งเดียว ต่อไปจะไม่มีอย่างนี้อีกแล้ว ดังนั้นหลวงพ่อก็จะถือโอกาสนี้ เชิญชวนลูก ๆ ทั้งหลายทั้งหญิงและชาย ทั้งภายในและต่างประเทศ ให้มามีส่วนอันสำคัญยิ่งในการสร้างธรรมกายเจดีย์ มีส่วนตั้งแต่ในเบื้องต้นตั้งแต่ยังเป็นท้องนา ยังมีโคลนมีคม ยังมีหญ้ารกรุงรังอยู่ ให้มามีส่วนทำความบริสุทธิ์ ให้เกิดขึ้นในปริมณฑลแห่งการสร้างธรรมกายเจดีย์นี้ โดยการมาอยู่ธุดงค์ มาปักกลดมาอยู่ธุดงค์ สวดมนต์บูชา ระลึกนึกถึงคุณของพระรัตนตรัยให้ได้ล้านจบ มารักษาศีลและมาเจริญภาวนา มาฟังธรรม 

 


                เพื่อสร้างความสะอาดบริสุทธิ์กาย วาจาใจของตัวเอง จะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ และช่วยสร้างกระแสแห่งความบริสุทธิ์ขึ้นในบริเวณที่จะประดิษฐานธรรมกายเจดีย์นั้น ให้สะอาดลึกลงไปในดิน ๑ โยชน์ เรื่อยไปเลยจนกระทั่งครอบคลุมโลก ขึ้นไปในอากาศไม่มีประมาณ ให้สถานที่นี่สะอาดบริสุทธิ์ตั้งแต่เบื้องต้น ในการสร้างธรรมกายเจดีย์นี้ เราไม่มีโอกาสที่จะสร้างประวัติศาสตร์ชีวิตอันงดงามนำมาซึ่งความปิติเลื่อมใสแก่ตัวเองและครอบครัวตลอดจนลูกหลานและตระกูลของเราในการสร้างพระปฐมเจดีย์ หรือเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกในที่ต่าง ๆ เราเกิดไม่ทันบ้าง แม้ในขณะนี้เราจะมีศรัทธา มีทรัพย์ อยากจะทำอย่างนั้นอีก เราก็ทำไม่ได้แล้ว 

 


                บัดนี้โอกาสนี้เปิดให้เราได้ทำความบริสุทธิ์ สร้างประวัติศาสตร์ชีวิตอันงดงาม ให้เกิดขึ้นแก่ตัวเอง โดยมามีส่วนร่วมในการทำความบริสุทธิ์ ในแผ่นดินที่จะเป็นที่ประดิษฐานธรรมกายเจดีย์ด้วยการมาอยู่ธุดงค์ในวันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาถึงวันที่ ๑ มกรา วันที่ ๒ เราก็กลับกัน วันศุกร์ก็มาลงทะเบียน แล้วก็อยู่สวดมนต์ตอนกลางคืน วันเสาร์ก็อยู่ร่วมประกอบพิธีสวดมนต์ รักษาศีล เจริญภาวนา ฟังธรรม ปัดกวาดบริเวณนั้นให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ให้ปริมณฑลนั้นเป็นที่บริสุทธิ์ เหมาะสมที่จะเป็นที่ประดิษฐานธรรมกายเจดีย์ อยู่ธุดงค์ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ถึงวันที่ ๑ มกรา และในวันนั้น เราจะได้รับศีลรับพรจากพระสงฆ์ผู้ประพฤติธรรม และก็สั่งสมบุญเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นชีวิตที่สดใสไปด้วยบุญบารมี เป็นภาพประวัติศาสตร์อันงดงาม ที่จะติดไปทุกภพทุกชาติ กระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน

 


                หลวงพ่ออยากจะเชิญชวน ให้ทุกคนมามีส่วนร่วมอย่างนี้ แต่จำเอาไว้ว่าเราจะมาอยู่กันอย่างลำบาก อยู่ด้วยความยากลำบาก จะไม่สะดวกสบายเหมือนเราอยู่ที่บ้าน แต่เราจะมีความสุขมีความปิติ มีความภาคภูมิใจ อิ่มอกอิ่มใจในผลบุญอันนี้ ว่าเรามีส่วนร่วมตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย ให้เท้าเราได้สัมผัสในแผ่นดินนั้น ให้โคลนและผมได้ห่อหุ้มเท้าอันเป็นมงคลของเรา ให้เราได้มีส่วนได้ทำความสะอาดในบริเวณนั้น ทั้งฝ่ามือของเรากำลังเรี่ยวแรงของเรา ให้เราได้เห็นในสภาวะที่ยังไม่มีอะไรเลย ให้เราได้ดื่มกินความปิติสุข ความภาคภูมิใจในคราวนี้ เพราะฉะนั้นมาลำบากกันเถิดนะจ๊ะ ลูกหลานที่รักทั้งหลาย วันที่ ๓๐ ธันวาถึงวันที่ ๑ วันจันทร์ถ้าหยุดเราก็จะมีเวลาอีก เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ชีวิตอันงดงาม 

 


                ต่อไปเมื่อเราเป็นปู่ย่า ตายาย เรามีลูกหลานเหลนในอนาคต วาระนั้นธรรมกายเจดีย์สำเร็จแล้ว เป็นที่พึ่งแก่มนุษย์และเทวดา จะมีนานาประเทศมาประพฤติปฏิบัติธรรมกันใน สถานที่นี้ ภาพของผู้ที่ทรงศีลสวมชุดขาว ประพฤติธรรมกันอย่างมีระเบียบ จิตใจขาวผ่องสะอาด มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพาน เป็นจำนวนล้าน มาอยู่รอบบริเวณนั้น เราจะเกิดปีติเป็นมหาปีติอย่างที่เราจะไม่เคยเป็น ขนเราจะลุกชูชันตลอดเวลา แล้วเราจะได้เล่าเรื่องนี้ให้ลูกหลานของเราฟังว่า สมัยเมื่อปู่ย่า ตายายยังเป็นเด็ก ใคร ๆ ยังเรียกพี่เรียกน้าอยู่น่ะ ปู่ย่า ตายายนี้ได้มีโอกาสมาสร้างธรรมกายเจดีย์ตั้งแต่ยังเป็นท้องนา มีโคลนมีคม มีสิ่งรกรุงรัง ปู่ย่าตายายนี้ทำมากับมือทีเดียว ถอนหญ้ามากับมือ ปัดกวาดมากับมือ เดินย่ำโคลนตมมาด้วยเท้าสองเท้าเนี่ยของปู่ของย่าของตาของยายอย่างนี้แหละ นี่กว่าที่ลูกหลานจะได้มาเห็นอย่างนี้ 

 


                ความปีตินี้จะติดไปจนกระทั่งใกล้จะละโลก เมื่อถึงจริมมะจิต จิตสุดท้ายก่อนที่เราจะไปสู่ปรโลก ในยามนั้นภาพธรรมกายเจดีย์ พระธรรมกายเจดีย์ ที่ประดิษฐานเต็มไปหมด พระสงฆ์ก็ดี ภาพของอุบาสกอุบาสิกา ผู้ประพฤติธรรมนานาชาติก็ดี จะบังเกิดขึ้นอยู่ในครองจักขุ อยู่ในศูนย์กลางกายของเรา เป็นภาพที่ชัดใสแจ่มนำมาซึ่งความปีติความสุขความเบิกบานให้เกิดขึ้นแก่เราในยามนั้น ในวาระนั้นเราจะเป็นผู้ที่องอาจ ผู้ที่จะมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของผู้ที่อยู่ในวาระสุดท้ายก่อนที่จะลาลับจากโลกนี้ไป เหมือนท่านธรรมิกอุบาสกที่มีรอยยิ้มปรากฏบนในหน้า แม้ร่างกายจะนอนป่วยอยู่บนเตียงคนป่วย คล้ายกับถูกตรึงด้วยคนถึง ๑๐ คนก็ตาม ขยับเขยื้อนกายไม่ได้ แต่ใจนั้นผ่องใส ปากพูดได้มองเห็นเทพบุตรเทพธิดาชั้นต่าง ๆ มาเชิญชวน เข้าเป็นสหายแห่งชาวสวรรค์นั้น ใจจะเบิกบานและก็จะละโลกนี้ไปอย่างผู้ชนะ องอาจอย่างนักสร้างบารมี

 


                  เพราะฉะนั้นลูก ๆ ชายหญิงที่รักทั้งหลายทั้งภายในและต่างประเทศ หลวงพ่อขอเชิญชวนนะจ๊ะ มาลำบากกันเถิด เพื่อสร้างบารมีอันยิ่งใหญ่ มาอยู่ธุดงค์ชำระกายวาจาใจ ของเราให้สะอาดให้เราบริสุทธิ์ ชำระปริมณฑลนั้นให้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อที่จะได้เหมาะสมเป็นที่ประดิษฐานธรรมกายเจดีย์ หลวงพ่อรับจำนวนจำกัดเพราะตั้งใจที่อยากจะได้ผู้ที่สมัครใจอยู่ธุดงค์จริง ๆ ที่พร้อมที่จะมาลำบากด้วยกันกับหลวงพ่อ และพระสงฆ์ทั้งหลาย ต้องการผู้ที่สมัครใจที่จะเข้ามา พร้อมที่จะยอมรับความยากลำบาก ในการอยู่ธุดงค์วันที่ ๓๐ ธันวาคมถึงวันที่ ๑ หรือ ๒ มกราคมนี้ เพื่อสร้างความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นกับปริมณฑล ที่จะประดิษฐานธรรมกายเจดีย์ จำนวนจำกัด ๓๐,๐๐๐ คน เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว

 

 

                  ต่อจากนี้ไปคุณยายก็อาราธนาบารมีธรรมของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ลงซ้อนที่ศูนย์กลางกายลูก ๆ ทุก ๆ คน ให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง มีจิตใจเบิกบานสว่างไสวประดุจพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ หรือประดุจแก้วมณีโชติรสมีรัศมีสว่างไสวประดุจพระผู้มีพระภาคเจ้าในยามที่ทรงชนะพญามาร ขอให้สำเร็จสมความปรารถนาในธุรกิจการงาน และงานสร้างบารมีทั้งมวล จงทุกประการเทอญ 

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0015932003657023 Mins