คนดีทีโลกต้องการ

วันที่ 13 พค. พ.ศ.2567

130567b01.jpg
 

คนดีทีโลกต้องการ
๒ กรกฎาคม ๒๕๓๘
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)


                ต่อจากนี้ให้ทุกคนตั้งใจหลับตา เจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ ให้นึกน้อมใจตามเสียงหลวงพ่อไปทุกคนเลยนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาธิแล้วเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบายคล้ายกับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตาอย่ากดลูกนัยน์ตาหลับพอสบาย ๆ นะจ๊ะ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวกเราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย


                ต่อจากนั้นก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใสปลดปล่อยความกังวลใจในเรื่องราวต่าง ๆ ให้หมดสิ้นไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม จะเป็นเรื่องการศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัวเรื่องธุรกิจการงาน เป็นเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ไปนะจ๊ะหลับตาของเราให้สบาย ๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนให้อยู่ในสภาวะที่รู้สึกว่าสบายทั้งกายและใจนะจ๊ะ ปลดปล่อยวางหมดเครื่องกังวลใจอะไรต่าง ๆ หมดเลยปล่อยให้สบาย ๆ


                คำว่า "คนดี" เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ต้องการทั้งนั้น คำว่า คนดี พระพุทธเจ้าท่านก็ให้หลักเอาไว้ว่า ผู้ที่มีความกตัญญูจึงจะเป็นคนดี หรือความกตัญญูเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี หรือสภาใดถ้าไม่มีผู้มีธรรมหรือประพฤติธรรมที่นั้นไม่เรียกว่าสภาก็หมายความว่าต้องมีคนดี มีศีลธรรม เข้าไปประชุมกันเพื่อปรึกษาหารือ ที่จะทำประโยชน์สุขให้เกิดขึ้นแก่มวลมนุษยชาติแก่ส่วนรวมอย่างนี้ถึงจะเรียกว่าสภา แต่ถ้าหากว่าไม่มีคนดีมีศีลธรรม จะเข้าไปอยู่ที่ไหนก็ตามก็ไม่เรียกว่าสภา แล้วท่านก็ยังสอนต่อไปอีก คนดีต้องดูว่ามีศีลรึเปล่า จะดูว่าเค้าเป็นคนดีต้องเป็นผู้มีศีล จะรู้ว่าเป็นผู้มีศีลต้องคบกันไปนาน ๆ จะประเดี๋ยวประด๋าวแพล็บเดียว ชั่วโมง ๒ ชั่วโมงอย่างนี้ไม่ได้ ต้องคบกันไปนาน ๆ ทีเดียวถึงจะรู้ว่ามีศีลหรือว่ามีธรรมหรือเปล่า 


                คบกันไปเป็นเดือนหลาย ๆ เดือน เป็นปีแล้วก็หลาย ๆ ปีทีเดียว กว่าจะรู้ว่าเป็นคนดีมีศีลมีธรรม หรือจะคบว่าใครเป็นผู้มีปัญญา จะดูว่าใครมีปัญญาก็ต้องคุยกัน ฟังที่เค้าคุย ฟังที่เค้าปาฐกถา ฟังที่เค้าพูด แต่ก็ต้องฟังไปนาน ๆ อย่าฟังแค่วันเดียวแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง ต้องฟังกันไปเป็นเดือน ๆ หลาย ๆ เดือน เป็นปีแล้วก็หลาย ๆ ปี เพราะฉะนั้นการที่เราจะดูว่าใครเป็นคนดีโดยอาศัยเวลาช่วงสั้นเนี่ยมันยากถ้าเราเป็นผู้มีบุญสั่งสมบุญเอาไว้ ถ้าประเทศชาติมีบุญ ทุก ๆ คนในประเทศชาติก็สั่งสมบุญเอาไว้ กระแสแห่งบุญนั่นแหละจะดลบันดาลให้เราพบปะแต่คนดี พบคนดีที่แท้จริง แต่ก็ดีแบบทางโลก จะให้บริสุทธิ์เหมือนสังข์ขัด ที่พระพุทธเจ้าท่านว่าเหมือนสังข์ขัดคือบริสุทธิ์ มีเงา มีใส มีความกระจ่างอย่างนั้นคงยาก แต่ว่าดีมากไม่ดีน้อย คือจะต้องเสี่ยงบุญกันทีเดียว ต้องสั่งสมบุญ


                แต่มีวิธีเลือกคนดีอีกวิธีหนึ่งที่ไม่ต้องเสี่ยง คือคนดีที่มีความดีเป็นชั้น ๆ เข้าไป คนดีมีถึง ๑๘ ชั้นเข้าไปทีเดียว อยู่ในกลางกายเราตั้งแต่คนดีในระดับกายมนุษย์ละเอียด คนดีระดับกายทิพย์ คนดีระดับกายรูปพรหม คนดีระดับกายอรูปพรหม คนดีระดับกายธรรมโคตรภู คนดีระดับกายธรรมพระโสดาบัน คนดีระดับกายธรรมพระสกิทาคามี คนดีระดับกายธรรมพระอนาคามี แล้วก็คนดีระดับกายธรรมพระอรหันต์ที่เป็นชั้น ๆ เข้าไป ดีอย่างนี้ไม่เสี่ยง ก็ที่พัฒนาความดีขึ้นไปตามลำดับ ละเครื่องผูก ละสังโยคเครื่องผูก ขจัดโลภะ โทสะ โมหะกิเลสสามตระกูลนี้ ให้บรรเทาเบาบางไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงคนดีที่แท้จริงคือกายธรรม พระอรหันต์หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา อยู่ในกลางกายของเรานี่เอง นี่คือคนดีที่แท้จริง เป็นเป้าหมายชีวิตของพวกเราทุก ๆ คน  


                การที่จะเข้าไปถึงกายธรรมอรหัตซึ่งเป็นสุดยอดแห่งคนดีนั้น จะต้องเอาหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ฐานที่ ๗ เรากำหนดอย่างนี้นะจ๊ะ สมมติหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น เส้นหนึ่งขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวา ทะลุไปด้านซ้าย ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ เล็กเท่ากับปลายเข็ม สูงขึ้นมาสองนิ้วมือ นั่นแหละเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ถ้าหลวงพ่อพูดถึงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หลวงพ่อหมายถึงตรงนี้นะจ๊ะ ตำแหน่งที่เหนือจากจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ มา ๒ นิ้วมือ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นจุดเริ่มต้นของ การทำใจให้หยุดนิ่ง ใจหยุดนิ่งอย่างนี้ตรงกลางฐานที่ ๗ นั่นแหละ หยุดให้ถูกส่วนทีเดียว หยุดพอดี ๆ อย่าให้ตึงเกินไป แล้วก็อย่าให้หย่อนเกินไป 


                ตึงเกินไปเป็นยังไง เวลาที่เราเอาใจของเรามานึกคิดอยู่ที่ตรงฐานที่ ๗ นี้ เราตั้งใจมากเกินไป เกิดอาการเกร็งหรือตึงบริเวณศีรษะ ตึงทั้งเนื้อทั้งตัวทีเดียว อย่างนี้เรียกว่าตึงเกินไป ตั้งใจเกินไป ตั้งใจเกินไป เพราะอยากได้ความสงบทันทีทันใจ หย่อนเกินไปเป็นอย่างไร หย่อนเกินไปคือเอาใจไปคิดเรื่องอื่น ปล่อยให้ใจเลื่อนลอยไปในเรื่อง คน สัตว์ สิ่งของ เหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างนี้ เรียกว่าหย่อนเกินไป พอดีเป็นอย่างไร เมื่อเอาใจของเรามาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้ว เรามีความรู้สึกว่า เรามีความพึงพอใจ ที่จะเอาใจมาหยุดมาตรึก มานึกมาคิดอยู่ที่ตรงนี้ แม้ว่ายังไม่เห็นอะไรก็ตาม ไม่ซัดส่าย มีความพึงพอใจกับอารมณ์ชนิดนี้ อยู่ไปนานแค่ไหนก็ตามเราก็พอใจ 


                รักษาอารมณ์ที่หยุดนิ่งเฉย ๆ อย่างนี้ ให้ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ หยุดนิ่งเฉย ๆ นิ่งอย่างสบาย ๆ อารมณ์ตอนนี้ สุขก็ไม่สุข ทุกข์ก็ไม่ทุกข์ จะว่าสุขมันก็ไม่สุข ทุกข์มันก็ไม่ทุกข์ มันอยู่ระดับเฉย ๆ เฉย ๆ ตัวนี้นะรักษาไปเรื่อย ๆ ใจก็จะค่อย ๆ ละเอียดไปเรื่อย ๆ ละเอียดไปจนกระทั่งถึงจุด ๆ หนึ่ง ใจหยุดนิ่งอย่างแท้จริง ก็จะเกิดความรู้สึกว่ามันโล่งมันโปร่งมันเบาแล้วก็สบาย รู้สึกตัวเรากลวง ๆ โปร่ง ๆ โล่ง ๆ เบา ๆ สบาย ๆ ใจจะขยาย ความรู้สึก ร่างกายของเราก็จะขยาย ความรู้สึกว่าบรรยากาศสิ่งแวดล้อมก็ขยายตามไปหมดเลย แล้วก็เคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน จะพบจุดสว่างเล็ก ๆ เล็กเท่ากับปลายเข็มหรือเหมือนดวงดาวในอากาศ หรือบางทีโตใหญ่กว่านั้นขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญหรือโตใหญ่กว่านั้น ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน นั่นแหละจุดเริ่มต้นที่เราจะเข้าไปถึงคนที่มีความดีอันสูงสุด 


                เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้นนี้บางทีเรียกว่าปฐมมรรค หนทางเบื้องต้น หรือเรียกว่าดวงธรรมเบื้องต้น ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นดวงใส ๆ ปรากฏขึ้นเองเมื่อใจหยุดนิ่งได้ถูกส่วน แล้วเมื่อเราหยุดนิ่งต่อไปเรื่อย ๆ หยุดในหยุด หยุดในหยุดไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าดวงธรรมนี้ ก็จะขยายส่วนกว้างออกไป แล้วก็จะพบดวงธรรมดวงถัดไป ดวงกลมเหมือนดวงแก้ว แต่ว่าใสบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว มีความละเอียดอ่อนเบาบาง คล้ายฟองแชมพู แต่ว่าละเอียดกว่านั้น ใสบริสุทธิ์ไม่มีมวลของเนื้อแก้วเลย ใสสว่างบางเบา เป็นดวงธรรมที่มีอยู่แล้วในตัวของเรา ของมนุษย์ทุก ๆ คนในโลกผุดซ้อน ๆ กันอยู่ในกลางกายนั้น ๖ ดวง 


                ดวงแรกเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือดวงปฐมมรรค ดวงที่สองเรียกว่าดวงศีลซ้อนอยู่ข้างใน ดวงที่สามเรียกว่าดวงสมาธิ ดวงที่สี่เรียกว่าดวงปัญญา ดวงที่ห้าเรียกว่าดวงวิมุตติ ดวงที่หกเรียกว่าดวงวิมุตติญาณทัสสนะซ้อนกันอยู่ภายใน ซ้อน ๆ ๆ กันเข้าไปภายใน พอสุดดวงวิมุตติญาณทัสสนะก็จะเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด นี่คนดีที่ดีกว่ากายมนุษย์หยาบ ซ้อนอยู่ภายใน รูปร่างเหมือนตัวเรา ท่านหญิงก็เหมือนกับท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนกับท่านชาย เหมือนตัวของเราที่เป็นเจ้าของนี่แหละ แต่ว่าหนุ่มกว่า สาวกว่าดูน่าดูกว่า สวยงามกว่า ติดอยู่ในกลางกายอยู่ในดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เมื่อเอาใจของเราหยุดไปในกลางกายนั้นต่อไปเรื่อย ๆ ถูกส่วนเข้า กายมนุษย์ละเอียดขยายส่วนกว้างออก ก็จะเข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง หกดวงเหมือนกันซ้อนอยู่ภายใน ซ้อนเป็นชุด ๆ ทีเดียวน่ะจ๊ะ 


                ดวงธรรมเหล่านี้จะเป็นเครื่องกลั่นกาย วาจา ใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ เมื่อบริสุทธิ์ถึงที่สุดของดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ก็เข้าถึงกายทิพย์บริสุทธิ์ขนาดนี้จะเข้าถึงกายทิพย์นี่เป็นคนดีชั้นถัดไปอีกแล้ว สวยงามกว่ากายมนุษย์ละเอียด โตใหญ่กว่า สวยงามหนักยิ่งขึ้น มีเครื่องประดับพร้อมทีเดียว สวยงามมาก เมื่อใจหยุดเข้าไปในกลางกายทิพย์ถูกส่วนเข้า กายทิพย์ขยายถูกส่วนนี้ถูกส่วนเองนะจ๊ะ พอเราหยุดนิ่ง มันขยายไปเอง ขยายกว้าง ก็เข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง หกดวงเหมือนกัน ซ้อนอยู่ภายในเข้าถึง หลวงพ่อใช้คำว่าเข้าถึง ก็หมายถึงว่าดวงธรรมนี้มีอยู่แล้ว เป็นเครื่องกลั่นใจให้บริสุทธิ์ เมื่อใจบริสุทธิ์ถึงที่สุดของดวงวิมุตติญาณทัสสนะ แล้วก็เข้าถึงกายรูปพรหม สวยงามหนักยิ่งขึ้น เป็นคนดีที่ถัดไปขึ้นไปอีก สวยงามขึ้นไปอีก บริสุทธิ์กว่าเดิมเข้าไปอีก 


                หยุดในกลางกายรูปพรหม พอถูกส่วนกายรูปพรหมขยายกว้างออกไป เข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง มีหกดวงกลั่นกาย วาจา ใจของเราให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ในที่สุดก็เข้าถึงกายอรูปพรหม เมื่อเข้าถึงกายอรูปพรหม กายวาจาใจก็สะอาด บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไปอีก กายอรูปพรหมนี่แหละเป็นคนดีที่สูงขึ้น สูงกว่ากายรูปพรหมเข้าไปอีก มีความบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น กายสวยงามหนักขึ้นไปใหญ่โตขึ้น เมื่อใจหยุดเข้าไปในกลางกายอรูปพรหมถูกส่วน กายอรูปพรหมขยายส่วนกว้างออกไป ก็จะเข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่งอีก ๖ ดวงซึ่งเป็นเครื่องกลั่น กาย วาจา ใจ ให้สะอาด บริสุทธิ์ พอบริสุทธิ์ถึงที่สุดก็เข้าสู่กายธรรมโคตรภู หลุดพ้นจากภาวะความเป็นปุถุชน อยู่ในกึ่งกลางของเขตแดน ของพระอริยเจ้า เป็นครึ่งทางคือพ้นจากภาวะความเป็นปุถุชน แต่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า เข้าไปชนเขตแดนของพระอริยเจ้า 


                กายธรรมนี้หน้าตักหย่อนกว่า ๕ วานิดหน่อย สวยงามมากประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ งามไม่มีที่ติ ลักษณะคล้ายกับพระพุทธปฏิมากรแก้วใส เกศดอกบัวตูม นั่งขัดสมาธิเข้านิโรธสมาบัติ ในกลางนั้นต่อเข้าไปอีก นี่เป็นคนดีที่มีความบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อใจเราหยุดเข้าไปในกลางกายธรรมโคตรภูถูกส่วนเข้า กายธรรมนี้ขยายส่วนกว้างออกไปอีก เราจะเข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง ๖ ดวงเหมือนกัน ซึ่งเป็นเครื่องกลั่นกรอง กาย วาจา ใจ ให้สะอาด บริสุทธิ์หนักยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อบริสุทธิ์ถูกส่วนแล้วก็ตกศูนย์ เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา แต่รูปร่างก็เหมือนกับกายธรรมโคตรภู ต่างแต่ใสกว่า สว่างกว่า บริสุทธิ์กว่า พอใสกว่า สว่างกว่า จึงบริสุทธิ์กว่ากายธรรมโคตรภู 


                นี่ก็เป็นคนดีถัดขึ้นไปอีก เป็นอย่างนี้แหละเป็นชั้น ๆ ๆ เข้าไป จนกระทั่งในที่สุดก็เข้าถึงกายธรรมอรหัต เห็นกายธรรมอรหัตใสบริสุทธิ์ เกตุดอกบัวตูมเหมือนกัน เป็นพิมพ์เดียวกันทีเดียว ต่างกันแต่ขนาด และความใสบริสุทธิ์ ถ้าหากว่าบริสุทธิ์มากก็ใสมากบริสุทธิ์น้อยก็ใสน้อย แต่รูปร่างเป็นกายธรรมหมด ตั้งแต่กายธรรมโคตรภู พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหัต ใสงามบริสุทธิ์แตกต่างกันออกไปนะจ๊ะ เป้าหมายของเราคือกายธรรมอรหัต ซึ่งเป็นที่สุดของเป้าหมายของการเกิดมาเป็นมนุษย์ กายธรรมอรหัต เมื่อถึงกายธรรมอรหัตแล้วนั่นแหละ เราจึงจะรู้จักว่าคนดีที่โลกต้องการเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นคนดีที่มีความดีจะต้องมีเป็นชั้น ๆ เข้าไป แต่ที่ปลอดภัยที่สุดคือคนดีที่อยู่ภายในกลางกายของเรา หยุดเข้าไปเรื่อย เลือกเอาเลยจะเลือกคนดีในระดับไหนก็เลือกเอา ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียดจนกระทั่งถึงกายธรรม 


                เมื่อมาถึงคนดีที่มีคนดีแล้ว ความสุขก็บังเกิดขึ้น ความบริสุทธิ์ก็บังเกิดขึ้น ความรู้แจ้งอะไรต่าง ๆ ก็บังเกิดขึ้นหมดในตอนช่วงนั้น เพราะฉะนั้นให้ทำกันอย่างนี้นะจ๊ะ ให้ทุกคนทำใจให้หยุดนิ่งอยู่ที่กลางกายหยุดให้ละเอียดอย่างนี้เข้าไปเรื่อย ๆ นะจ๊ะ จนกระทั่งเข้าถึงกายธรรมอรหันต์ที่มีลักษณะสวยงามมาก หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เกศดอกบัวตูม นั่งสงบนิ่งอยู่ในกลางนั้น ใสบริสุทธิ์นั่นแหละคือที่หมายของเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้ทราบอย่างนี้ ต่อจากนี้เป็นต้นไป ให้ทุกคนทำใจให้หยุดให้นิ่ง ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์นะจ๊ะ ส่วนใครที่มีความรู้สึกว่าอดที่จะคิดไปในเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ได้ ก็ให้แทนที่เราจะวางใจหยุดนิ่งตรงกลางกายเฉย ๆ ก็ให้กำหนดว่าในกลางกายนั้น นึกสร้างมโนภาพว่ากลางกายนั้นมีดวงแก้วใส ๆ ใสบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้วไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่าแก้วตา หรือจะเล็กใหญ่กว่านี้ก็ได้ ตามที่เราชอบนะจ๊ะ ตรึกไปด้วย พร้อมกับภาวนา สัมมาอรหัง สัมมาอรหัง สัมมาอรหังกันอย่างนี้นะจ๊ะ 


                เราภาวนาไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้เราฟุ้งซ่าน แต่ถ้าหากเรามีความรู้สึกว่า เราอยู่เฉย ๆ กำหนดดวงแก้วใส ๆ จะดีกว่า เราก็ไม่ต้องภาวนา ก็กำหนดดวงแก้วเฉย ๆ ใส ๆ นี้สำหรับคนที่มีใจฟุ้งปกตินะจ๊ะ หรือหักห้ามใจไม่ให้ฟุ้งไม่ได้ ก็ให้กำหนดนิมิตเป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา ส่วนท่านที่ไม่ฟุ้งไม่อยากจะกำหนด นิมิตอะไร อยากวางใจนิ่งเฉย ๆ รู้สึกว่าสบายกว่า ก็ให้วางใจหยุดนิ่งเฉย ๆ นะจ๊ะ หยุดนิ่งเข้าไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ ให้ทำกันอย่างนี้นะ ทำอย่างนี้ได้แล้วกายวาจาใจของเราจะได้สะอาดบริสุทธิ์ เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญกุศล ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะ 


                เราก็เอาใจของเราหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ที่เดิมนะจ๊ะ ที่เดิมที่กลางกายของเรา หยุดให้สนิททีเดียวหยุดอย่างสบาย ๆ ตรงกลางกายของเราจะเป็นทางผ่านของใจเรา หรือเราเรียกว่าเป็นทางเดินของใจเรา ไปสู่อายตนนิพพาน เป็นเส้นทางที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านใช้สำหรับเดินทางไปสู่อายตนนิพพาน คือท่านก็เดินผ่านเข้ากลางกายท่าน ด้วยวิธีทำใจให้หยุดให้นิ่งอย่างเดียว หยุดนิ่งถูกส่วนไป ความบริสุทธิ์ของใจก็บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เดินไปตามกาย เวทนา จิต ธรรม กลางกายนั้นน่ะ เดินเข้าไปในทางสายกลาง โดยอาศัยวิธีการหยุดนิ่ง หยุดนิ่งอย่างเดียว เช่นเดียวกับที่เราขับรถขับรา เดินทางด้วยยวดยานพาหนะ อย่างนั้นน่ะ 


                แต่วิธีเดินทางไปสู่อายตนนิพพาน ที่พระอริยเจ้า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านเดินทางนั้นท่านอาศัยหยุดกับนิ่งอย่างเดียว ไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ได้ด้วยวิธีการอื่นใดเลย และวิธีการอื่นใดก็ทำไม่ได้นอกจากหยุดกับนิ่ง ให้ใจหยุดนิ่งอย่างนี้แหละเข้าไป เรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นเส้นทางสายกลางนี้ ท่านถึงว่าเป็นเส้นทางของพระอริยเจ้า ที่เรียกว่าอริยมรรค เส้นทางของพระอริยเจ้า อริยะแปลว่าประเสริฐ เลิศ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ห่างไกลจากกิเลสอาสวะ เส้นทางของผู้ที่จะออกห่างไกลจากกิเลสอาสวะ กิเลสอาสวะที่บังคับกายเราอยู่ กายมนุษย์ละเอียดบังคับกายทิพย์ บังคับกายรูปพรหมบังคับกายอรูปพรหม บังคับกายธรรมโคตรภู บังคับกายธรรมโสดา สกิทา อนาคา บังคับหมดเลย บังคับกันเป็นชั้น ๆ เข้าไป กิเลสในตระกูล โลภะ โทสะ โมหะ ๓ ตระกูลนี้บังคับเข้าไปเรื่อย ๆ ไปตามลำดับไป หลุดพ้นเอาที่กายธรรมอรหัตโน่น หลุดพ้น


                เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะหลุดจากกิเลสอาสวะ ต้องหยุดอย่างเดียวพอถูกส่วนกายก็อ่อน ใจก็ล่อน หลุดลอด พ้นจากกิเลสอาสวะที่หุ้มอยู่เป็นชั้น ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงกายธรรมอรหัต กายธรรมอรหัตนั้นกิเลสเข้าไปบังคับบัญชาไม่ได้ หลุดหมด ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้ง ๓ อยู่ในอายตนนิพพานอย่างเดียว นั่นกายธรรมอรหัตนะจ๊ะ หลุดพ้นจากกิเลสจากอาสวะที่หุ้มเคลือบ เอิบอาบ ซึมซาบ ปนเป สวมซ้อน อยู่ในธาตุในธรรมในเห็นในจำในคิดในรู้ ล่อนหมดไปเลย หลุดหมดเมื่อถึงกายธรรมอรหัต ภพที่พอเหมาะแก่กายธรรมอรหัตที่หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปแล้ว เรียกว่าอายตนนิพพาน กายที่หลุดพ้นคือกายธรรมอรหัต ลักษณะมหาบุรุษเกตุดอกบัวตูม หลุดวูบเข้าไปสู่ในกายนั้น อยู่ในอายตนนิพพานนั้นใสบริสุทธิ์


                การบูชาข้าวพระก็คือ การนำเครื่องไทยธรรม ซึ่งเป็นของหยาบ น้อมมาตั้งไว้ที่กลางกายธรรม เครื่องไทยธรรมคือดอกไม้ ธูปเทียน อาหารหวาน คาว เมื่อเราน้อมด้วยใจของกายธรรม มาอยู่ในกลางกายธรรมเครื่องไทยธรรมนั้น ก็จะใสสะอาดบริสุทธิ์ตามไปด้วย บริสุทธิ์เท่ากับกายธรรม แล้วกายธรรมนั้นก็เข้านิโรธสมาบัติต่อไป ทำหยุดในหยุด หยุดในหยุดนิ่งต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะเข้าถึงกายธรรมในกายธรรม กายธรรมในกายธรรม มีกายธรรมผุดซ้อนขึ้นมาอีกมากมายก่ายกองทีเดียว จนกระทั่งความละเอียดพอเหมาะกับอายตนนิพพาน อายตนนิพพานนั้นก็จะดึงดูดวูบไปเลย 


                กายธรรมก็ตกศูนย์ ไปปรากฏอยู่ในอายตนนิพพาน ที่มีพระธรรมกายปรากฏเต็มไปหมดเลยนับไม่ถ้วน ท่านอุปมาว่ามากกว่าเม็ดทราย ในท้องพระมหาสมุทรทั้ง ๔ แต่จริง ๆ แล้วมากกว่านั้นมากมายนักทีเดียว คือนับกันไม่หวาดไหว แต่ว่าเป็นระเบียบ นั่งกันเป็นระเบียบทีเดียว ขัดสมาธินิโรธสมาบัติสงบนิ่ง ต่างองค์ต่างก็ทำหยุด ทำนิ่งกัน เข้านิโรธสมาบัติ เสวยสุข เอกันตบรมสุข สุขอย่างเดียวไม่มีทุกข์เจือเลย สุขเข้าไปเรื่อย ๆ เข้าไปในกลางกายของตัวท่าน เข้าไปเรื่อย ๆ ของแต่ละองค์ มีระเบียบนั่งกันเป็นระเบียบหมด เราจะเห็นว่าอิริยาบถของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ผู้ที่สมบูรณ์แล้ว หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะแล้ว ไม่ต้องไปไม่ต้องมา ไม่ยืน ไม่เดิน ไม่นอน มีแต่นั่งอย่างเดียว นั่งเข้านิโรธสมาบัติอย่างเดียว สงบนิ่ง เสวยสุขอยู่ในนั้น 


                วันนี้เราจะบูชาข้าวพระ จะเอาเครื่องไทยธรรมทั้งหมด ที่ใสเป็นแก้วนี่แหละ อาหารหวานคาวไปถวายเป็นพุทธบูชา แต่ไม่ได้หมายถึงว่าพระองค์ท่านทุก ๆ พระองค์จะเสวยอาหาร เหมือนพระสงฆ์ขบฉันนะจ๊ะ เราถวายเป็นพุทธบูชาอย่างนั้นน่ะ เอาไปตั้งไว้หน้าโต๊ะหมู่บูชาที่มีพระพุทธปฏิมากร เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้น แต่นั่นเป็นการขอถึง แต่นี่เป็นการเข้าถึง แล้วเมื่อถวายนี่แล้วก็กะดิกจิตนิดเดียว ก็แวบถวายทับทวีกันไปทั่วเลย เต็มหมดเลย ในอายตนนิพพาน ซึ่งวันนี้คุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง คุณยายอาจารย์ของเราจะเป็นผู้ประกอบพิธีน้อมนำไปถวาย ท่านก็จะทับทวีอย่างนี้ ทับทวีอาหาร เครื่องไทยธรรมดอกไม้ ธูปเทียน อาหารหวานคาวให้พวกเราทับทวี ทับทวีเข้าไปในอายตนนิพพาน ส่งต่อ ๆ กันเข้าไปเรื่อย ๆ พอท่านหยุดนิ่งของท่านถูกส่วนกายของท่านก็พรึ่บออกไปเลย เต็มออกไปหมดเลยทุกทิศทุกทาง พร้อมกับเครื่องไทยธรรมพรึ่บเต็มไปหมดเลย


                ถวายพระพุทธเจ้าที่มีพระธรรมกายนับไม่ถ้วน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย มีธรรมกายเหมือนกันหมด ต่างแต่ขนาดและรัศมี และก็การนั่งที่แตกต่างกันออกไป หมายความว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ไม่มีบริวาร ท่านก็นั่งองค์เดียวโดด ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีพระอรหันต์ล้อมพรึ่บเต็มไปหมดเลย ที่มีธรรมกายเหมือนกันไปหมด เต็มไปหมด สุด สุดญาณก็ทับทวีกันต่อกันไปเรื่อย ๆ เห็นแล้วน่าปลื้มปิติ ที่อาหารหวานคาวของเรา เครื่องไทยธรรมที่เรานำมาจากบ้านคนละเล็กคนละน้อย เวลามันทับทวีเข้าไปมันพรึ่บเต็มไปหมดเลย จาก ๑ ไปเป็นนับไม่ถ้วน จากนับไม่ถ้วนก็ทับทวีต่อกันไปอีก เป็นไม่ถ้วนในไม่ถ้วน เข้าไปเรื่อย ๆ ทับทวีกันไปเรื่อย พอไปทับทวีสุดรู้สุดญาณ ถึงไหนกระแสธารแห่งบุญ ก็บังเกิดขึ้น จากทุก ๆ องค์เลย มาจรดศูนย์กลางกายของพวกเรา 


                บุญที่เกิดขึ้นจากพระธรรมกายพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จรดศูนย์กลางกายเราหมด รวมมาเป็นดวงบุญ ดวงใสบริสุทธิ์ในกลางกายเรา กลมเหมือนดวงแก้วอย่างนี้แหละ ซึ่งเมื่อเราทำละเอียดเป็นแล้ว เราจะแยกได้ว่าอันไหนเป็นดวงธรรม อันไหนเป็นดวงบุญ ทั้ง ๆ ที่ลักษณะมันเหมือนกัน แต่ว่าเป็นความเหมือนที่แตกต่างกันคือดวงกลมใส ๆ เหมือนกัน แต่ว่ามันไม่เหมือนกัน เป็นดวงบุญน่ะ ซ้อน ๆ ๆ ๆ กันอยู่ อยู่ในกลางเต็มไปหมด ติดทุกกายเลย ติดทั้งกายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหม กายธรรม ติดหมดเลย ติดหมดทุก ๆ กาย ซ้อนเต็มไปหมด ไปเรื่อยเลยในกลางของกลางน่ะติดหมด บางคนดวงบุญโต บางคนดวงบุญเล็กลงมาโตใหญ่ไม่เท่ากัน นั่นเราก็ต้อง ต้องนิ่งอยู่ในกลางนั้น แต่ขนาดโตใหญ่ไม่เท่ากันอย่างนี้นี่ 


                เราก็ได้บุญมากมายมหาศาลกว่าที่เราทำทั่ว ๆ ไปมากเหมือนฝนตกลงมาในจักรวาล ที่ไม่มีลมพายุเลย มีภาชนะโตใหญ่ เท่ากับฟ้าครอบ กับที่เค้าเอาน้ำ เค้าเอาตุ่มมารองน้ำฝนอย่างนี้ บางอันเอาชะลอมตักน้ำ รองน้ำฝนนี่เป็นข้ออุปมาว่า บางคนได้เล็ก บางคนได้เล็กเหมือนแสงของหิ่งห้อย บางคนก็โตขึ้นมาหน่อยนึง บางคนดวงบุญโตใหญ่มาก บุญนี้เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข และความสำเร็จของชีวิต ตั้งแต่ชีวิตในระดับปุถุชน จนกระทั่งถึงความเป็นพระอริยเจ้า จะมาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่เป็นมนุษย์ชั้นสูง ชั้นสูงสมบูรณ์ไปด้วยสมบัติทั้ง ๓ คือรูปสมบัติ คุณสมบัติ ทรัพย์สมบัติ มีรูปงามได้ส่วน แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ผิวพรรณวรรณะผ่องใส มีกำลัง มีอายุยืนยาว เหมือนอุบาสิกาวิสาขา ท่านสมบูรณ์ทีเดียวนะ 


                รูปสมบัติทั้ง ๓ เนี่ยะ มีรูปงามได้ลักษณะเบญจกัลยาณีคือ งามมาก สวยงามทีเดียว ไม่อ้วนไม่ผอม ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ดำไม่ขาว ผ่องอย่างเดียวตลอดสวยงามได้ส่วน อวัยวะน้อยใหญ่ก็ได้ส่วนหมด แล้วก็ท่านไม่ค่อยเจ็บป่วยไข้ อายุยืนถึง ๑๒๐ ปี ในยุคที่มนุษย์อายุยืน ๑๐๐ ปีน่ะ ท่าน ๑๒๐ ปีคืออายุยืนทีเดียว มีปัญญา มีปัญญาตั้งแต่เด็ก ๆ สอนตัวเองได้ บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระโสดาบันตั้งแต่ ๗ ขวบ มีกำลังแข็งแรงเท่ากับช้าง ๗ เชือกชักเย่อกันเสมอกันถ้าตัวเดียวล่ะ ถ้าเอานิ้วจิ้มก้นกระแทกเลย นั่นกำลังมีกำลัง มีผิวพรรณวรรณะดังกะทอง สุกปลั่งทีเดียว สวยงามมีอายุยืน มีสมบัติมาก สมบัติของท่านมีมากแถมเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญซะด้วย สั่งสมบุญมาตั้งแต่เล็กน้อยเรื่อยมาเลย จนกระทั่งหมดอายุขัย มีพวกพ้องบริวารก็มาก จะไปแห่งหนตำบลใดเนี่ยคนยินดีต้อนรับเชื้อเชิญ เพราะว่าเค้าถือว่า มหาสิริมงคลกำลังเข้าบ้าน เข้ามาในสถานที่นั้น นี่สมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภยศ สรรเสริญ มรรคผล นิพพาน ท่านเพียบพร้อมไปหมดเลย นี่เป็นตัวอย่างของผู้มีบุญที่สั่งสมบุญมาดีแล้วน่ะ 


                ดวงบุญในกลางตัวท่านดวงกลมใหญ่ใหญ่โตทีเดียว นี่ทำบุญก็จะต้องให้ได้อย่างนั้น หรือท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็สมบูรณ์อย่างนี้เหมือนกัน มีความเพียบพร้อมไปหมด บุญเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตในทุก ๆ ด้านตั้งแต่ความเป็นปุถุชนจนกระทั่งถึงเป็นพระอริยเจ้า แม้ยังไม่ไปนิพพาน ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์วิมานก็ใหญ่โต สมบัติอันเป็นทิพย์บังเกิดขึ้น ชาวสวรรค์เนี่ยะ เค้าวัดกันด้วยบุญ เทวดามีรูปกายคล้ายกันก็จริงอยู่ แต่รัศมีก็ไม่เหมือนกัน ผู้มีบุญมากดวงบุญในกลางกายทิพย์เปล่งสว่างจนกระทั่งมีรัศมีสว่างมาก ผู้ที่มีรัศมีน้อยก็ต้องถอยออกไปห่าง ๆ ไปไกล ๆ โน่น แล้วก็มีบริวารมาก มากทีเดียว มากก็ไปกันทีเป็นล้าน ๆ เลยไปแน่นไปหมด เต็มหมดเลย วิมานที่ทําด้วยรัตนชาติที่สวยงามมาก มีสมบัติอันเป็นทิพย์เหมือนเป็นเมือง ๆ หนึ่งทีเดียว ใหญ่โตสวยงามสว่าง นี่กำลังบุญน่ะจ๊ะ 


                ถ้าใครมีมากก็จะมีอย่างนี้แล้วติดตัวไปเรื่อยเลย ติดไปในกายของแต่ละกายจนกระทั่งเป็นพระอริยเจ้าเนี่ยะก็มีดวงบุญโตใหญ่หนักยิ่งขึ้นก็โตไม่เท่ากันอีก แต่ว่าบรรลุมรรคผลนิพพานเหมือนกัน แต่กำลังบุญวิเศษก็ไม่เหมือนกันอีก นี่จึงมีเอตทัคคะ ความเป็นเลิศ ของแต่ละองค์ที่ไม่เหมือนกัน บุญนี้จึงเป็นบ่อเกิดของความสุข และความสำเร็จทั้งหลาย ดังนั้นเราจะอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตามอย่าขาดในการแสวงหาบุญ และบุญที่ทำถูกเนื้อนาบุญนั้นเป็นบุญใหญ่ เช่นการสร้างธรรมกายเจดีย์ เจดีย์แห่งพระรัตนตรัย เป็นเจดีย์ที่บังเกิดขึ้นยากในโลก ธรรมกายเจดีย์ก็คือธรรมกาย พระธรรมกายบวกกับคำว่าเจดีย์ มีพระธรรมกายเต็มไปหมดเลย 


                เมื่อทําพระธรรมกายเจดีย์ สร้างพระธรรมกายประจำตัว ก็เท่ากับเราทำบุญถูกตัวจริงของพระพุทธเจ้า ที่มีพระธรรมกายเต็มไปหมดเลย เพราะใจเรานอบน้อมถึงพระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้า เมื่อใจเราจรดไปที่กลางกาย กลางกายนั้นก็จะเป็นทางผ่านแล่นไปถึงอายตนนิพพาน กระแสธารแห่งบุญที่อายตนนิพพาน ก็หลั่งไหลเข้าสู่กลางกายของเรา เมื่อสร้างธรรมกายเจดีย์นั้น พระนิพพานท่านก็ทุ่มบุญลงมายังไส้กลางของเราเต็มไปหมดเลย เป็นบุญที่จะฉุดเราไปถึงที่สุดแห่งธรรม ให้ไปถึงที่สุดแห่งธรรม มีคนเคยถามหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราไปถึงที่สุดแห่งธรรม ท่านก็บอกว่าทำหยุดนิ่งเข้าไป พอถึงที่สุดแห่งธรรม แม้กำลังผัดก๋วยเตี๋ยวอยู่ก็รู้ เค้ารู้กันทั้งสากลโลกน่ะแหละ เพราะว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทันทีทีเดียว พรึ่บทีเดียวเลย จะทำอะไรที่ไหนก็แล้วแต่ ใครจะทำอะไรก็แล้วแต่ รู้พร้อมกันทีเดียว 


                มนุษย์จะเลิกรบราฆ่าฟันกัน จะอยู่เย็นเป็นสุขจะไม่ต้องทำมาหากิน นี่ท่านบอกไว้งี้นะ แล้วเค้าก็ถามท่านต่อ แล้วไม่ทำมาหากิน แล้วจะมีกินได้อย่างไร ท่านบอกพอไปถึงที่สุดแห่งธรรมแล้วจะมีผู้เลี้ยง ผู้เลี้ยงเค้าเลี้ยง ให้มีชีวิตอยู่เป็นสุข เหมือนพระก็มีผู้เลี้ยง เหมือนเทวดาก็มีผู้เลี้ยง ไม่ต้องทำมาหากิน เทวดานี่ไม่ต้องทำมาหากินกันน่ะ มีผู้เลี้ยงเขาหล่อเลี้ยงเอาไว้ ด้วยกำลังบุญที่ทำไว้ของเทวดานะจ๊ะ แต่นี่หมายถึงมีผู้เลี้ยงเลี้ยงให้เป็นสุขเหมือนพระเหมือนเทวดา เหมือนพระนิพพานท่านพูดไว้อย่างนี้ ว่าถ้าไปถึงที่สุดแห่งธรรมแล้วรู้กันทีเดียวเลย รู้กัน ใครไม่รู้ก็รู้กันตอนนั้นเลย ไม่ต้องมีการซักถามว่าถึงแล้วรึยัง ถึงแล้วหรือ ไม่ต้องพูดกันอย่างนั้นเลย รู้กันหมดทั่วสากลโลก จะทำอะไรก็รู้หมดเมื่อถึงที่สุดแห่งธรรม


                มนุษย์เลิกรบราฆ่าฟัน อยู่เย็นเป็นสุขไม่ต้องทำมาหากิน มีผู้เลี้ยง หล่อเลี้ยงรักษา เป็นสุขเหมือนพระ เหมือนเทวดา เหมือนพระนิพพานนี้ท่านพูดเอาไว้อย่างนี้นะจ๊ะ เพราะฉะนั้นนี่กำลังบุญที่เราเกิดขึ้นจากการบูชาข้าวพระก็ดี สร้างธรรมกายเจดีย์ก็ดี สร้างผู้นำบุญก็ดี อะไรทุกอย่างเหล่านี้ เป็นไปเพื่อให้ไปถึงที่สุดแห่งธรรม เมื่อถึงตอนนั้นก็รู้กัน รู้เรื่องรู้ราวกันทีเดียว ใครที่ทำมากก็จะไปอยู่ที่หัวแถวตรงโน้น อยู่เป็นสุขที่หัวแถว เหมือนเทวดาที่มีบารมีมาก มีบุญมากก็อยู่ที่หัวแถว ที่มีบุญน้อยสั่งสมบุญน้อย รัศมีน้อยก็ไปอยู่ห่าง ๆ ท้ายแถวนั้นไป เพราะฉะนั้นที่สุดแห่งธรรมนี้ คือจุดยอดแห่งความปรารถนาของผู้มีบุญ หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านมุ่งไปทางนั้นทีเดียว 


                เราก็มุ่งไปตรงนั้นเหมือนกันไปให้ถึงกันตรงนั้น จะไปถึงที่สุดแห่งธรรมได้อย่างไร ต้องหยุดอย่างนี้เรื่อยไป หยุดในหยุด หยุดในหยุด เรื่อยไปไม่ถอนถอยเลยแม้แต่วินาทีเดียว หยุดเข้าไปเรื่อย ๆ มุ่งไปเรื่อย ๆ ในไส้กลางของกลางเข้าไป นี่แหละถึงจะไปถึงที่สุดแห่งธรรม แล้วต้องเป็นคนที่เข้มแข็ง ต้องเอาจริงเอาจังกัน ถ้าเอาจริงเอาจังกันแล้ว จะต้องไปถึงที่สุดแห่งธรรม ด้วยการหยุดการนิ่งอย่างนี้ แล้วท่านสอนต่อด้วย หลวงพ่อวัดปากน้ำว่า อย่ากลับกลอก อย่าอ่อนแอ อย่าเหลวไหล เดี๋ยวไป ๆ หยุด ๆ ฟิตเป็นที ๆ พออารมณ์ดีก็จะมุ่งไปถึงที่สุด พออารมณ์ไม่ดีก็เอ้าเลี้ยวกลับมาอีกแล้ว ท่านว่าของท่านไว้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นพวกเราจะไม่เป็นอย่างนั้น เราจะมุ่งไปถึงที่สุดแห่งธรรมกันทุก ๆ คนนะจ๊ะ


                ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจอธิษฐานจิตกันให้ดี คุณยายก็กราบขอบุญบารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิ เฉียบขาดทั้งหมดเลย ให้ถึงแก่พวกเราทุก ๆ คน ให้มีความสุข มีความเจริญ ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ให้มีสมบัติมาก ๆ มีสมบัติแล้วก็เอาไว้ใช้สร้างบารมี เชื่อมสายสมบัติ ให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ให้ทำมาค้าขึ้น เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี บรมเศรษฐี ให้แทงตลอดในวิชาธรรมกาย ให้ได้บรรลุธรรมที่หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ได้บรรลุ อุปสรรคต่าง ๆ นานา ก็ให้ละลายหายสูญไปให้หมด ซ้อนบุญไปเรื่อย คุณยายทับทวีเข้าไปเรื่อย ๆ เลย กลั่นธาตุธรรม เห็นจำพวกเราให้รู้ให้สะอาดบริสุทธิ์ ให้ผ่องใสสว่างไสว ให้เข้าถึงธรรมกายกัน อย่างสะดวกสบาย อย่างง่ายอย่างดาย ซ้อนกันเข้าไปเรื่อยเลยน่ะ ในกลางของกลางกันไป คุณยายซ้อนเข้าไปเรื่อย ๆ พวกเราก็อธิษฐานจิตกันไปทุก ๆ คนนะจ๊ะ  


 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.027373564243317 Mins