นายบุญเศรษฐี

วันที่ 03 มิย. พ.ศ.2567

030667b01.jpg
นายบุญเศรษฐี
๑ ธันวาคม ๒๕๓๙
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

         ต่อจากนี้ให้ทุกคนตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาส โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ของมือข้างขวา จรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ นะจ๊ะ หลับตาของเราเบา ๆ หลับตาพอสบาย คล้ายกับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา ให้หลับพอสบาย ๆ นะจ๊ะ ทุก ๆ คน ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อยกันนะจ๊ะ แล้วก็ทำใจของเราให้ปลอดโปร่ง จากเครื่องกังวลทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ชั่วขณะที่เราจะหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ 

 


        เอาใจของเราที่แวบไปแวบมา มาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา ก็ให้สมมติหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น เส้นหนึ่งให้วิ่งจากสะดือทะลุไปด้านหลัง อีกเส้นหนึ่งซึ่งจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม ตรงจุดตัดตรงนี้เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ ให้ยกถอยหลังขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกันแล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นกึ่งกลางกายของเราพอดี 

 


        ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นะจ๊ะ เป็นที่ตั้งใจของเรา ไม่ว่าจะให้ทาน จะรักษาศีล หรือจะเจริญภาวนา ถ้าหากจะให้มีอานิสงส์ใหญ่ ต้องวางใจไว้ตรงที่ฐานที่ ๗ ตรงนี้นะจ๊ะ เพราะว่าตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้เป็นหนทางเบื้องต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน ถ้าเราเอาใจมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้เนี่ย ถูกตัวจริงของพระพุทธศาสนา ถูกหนทางที่จะไปสู่อายตนนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านเสด็จโดยเส้นทางนี้ เส้นทางสายกลางที่มีอยู่ในตัวของพระองค์ท่าน ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเราก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าเราเอาใจมาหยุดให้ถูกส่วนแล้ว เราก็สามารถไปสู่อายตนนิพพาน เช่นเดียวกับพระองค์ท่านได้ 

 


        ไม่มีทางอื่นใดที่จะไปสู่อายตนนิพพานได้ นอกจากทางเอกสายเดียว เป็นสายกลางซึ่งมีอยู่ภายในตัวของเรานี่แหละ โดยจุดเริ่มต้นเริ่มจากศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้นะจ๊ะ เพราะฉะนั้นตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับชีวิตของมนุษย์ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร ที่ยังวนยังเวียนอยู่ เดี๋ยวเกิดเป็นมนุษย์มั่ง เดี๋ยวเกิดเป็นเทวดามั่ง เดี๋ยวพลัดไปในอบายบ้าง ไปเป็นเปรตเป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานหรือสัตว์นรก วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ เพราะว่าไม่รู้จักหนทางที่จะไปสู่อายตนนิพพานหนทางที่จะหลุดพ้นจากกิเลสจากอาสวะ เพราะว่าไม่รู้หนทางปฏิปทาที่เป็นเครื่องดำเนิน จึงไปผิดทาง เมื่อไปผิดทางก็วนเวียนกันอยู่อย่างนั้นแหละ 

 


        กระทั่งมีพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านมาบังเกิดขึ้นในโลก ท่านได้ค้นพบหนทางสายกลาง ที่จะเสด็จไปสู่อายตนนิพพาน หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลายได้ด้วยพระองค์เอง ท่านจึงหลุดได้เป็นองค์แรก และก็แนะนำหนทางสายกลางที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์นี้ ให้แก่พระสาวกทั้งหลาย มีพระปัญจวัคคีย์เป็นต้น ให้ดำเนินจิตของท่านหยุดนิ่งอยู่ภายใน ในที่สุดก็ตรัสรู้ธรรมเป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ทางสายกลางสายเอก ที่มีอยู่ในตัวของเราโดยเริ่มต้นจากฐานที่ ๗ ตรงนี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การที่เราได้มีโอกาสมารู้จักหนทางไปสู่อายตนนิพพานตรงนี้ได้ 

 


        ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า เราได้สั่งสมบุญบารมีมามากเพียงพอ จนกระทั่งกระแสของกิเลสอาสวะไม่สามารถที่จะบดบังหนทางสายกลางนี้ได้ หรือจะตรึงใจของเราไปติดอยู่ในสายอื่นสายที่จะไปทำให้ไปเกิดในอบาย คือสายที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร ได้นี่เป็นเครื่องยืนยันว่าเราได้สั่งสมบุญมามากเพียงพอ พอที่จะได้ยินว่าหนทางสายกลางนี้มีอยู่ในตัวของเรา และ จุดเริ่มต้นเริ่มจากฐานที่ ๗ แต่หลังจากพุทธปรินิพพานได้ ๕๐๐ ปี หนทางสายกลางที่เริ่มจากฐานที่ ๗ นี้เนี่ย ก็ถูกบดบังและก็บิดเบือนไป ไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย นอกจากคำว่าทางสายกลาง กับคำว่าธรรมกาย 

 


        ซึ่งเป็นกายตรัสรู้ธรรมเอาไว้ในคัมภีร์ต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายกันทั่วไป ในของเถรวาทและมหายาน แต่ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในมหายาน กระทั่งมีการบังเกิดขึ้นของหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญนี่แหละ จึงได้ค้นคว้ากลับคืนขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง จากการสละชีวิตของท่าน และในที่สุดท่านก็พบหนทางสายกลางนี้ และวิธีการที่จะไปสู่อายตนนิพพาน ก็คือการทำใจให้หยุดให้นิ่งนั่นเอง ใจที่แวบไปแวบมาในเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยความทะยานอยาก ให้ดึงกลับมาให้หยุดนิ่งอยู่ภายในตัวตรงฐานที่ ๗ ตรงเนี้ยอย่างสบาย ๆ ท่านสอนให้หยุดอย่างสบาย ๆ ทำใจให้ใสให้เยือกเย็น ให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ไม่ให้มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เข้ามาชั่วขณะที่ฝึกใจให้หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้เนี่ย 

 


        ท่านย้ำตลอดชั่วชีวิตของท่านว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ คือใจต้องมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ ตรงฐานที่ ๗ เป็นเขตที่ปลอดความคิด ไม่ให้มีความคิดใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม หยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ แต่ถ้าหากห้ามความคิดที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันไม่ได้ ท่านก็จะสอนให้กำหนดบริกรรมนิมิต คือเปลี่ยนแนวทางในการคิด ให้มาคิดในสิ่งที่จะทำใจให้บริสุทธิ์ โดยนึกถึงวัตถุที่บริสุทธิ์ วัตถุที่บริสุทธิ์นี้ท่านก็กำหนดไว้มี ๒ อย่าง คือกำหนดนึกถึงความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าโดยมีพระพุทธรูปหรือพุทธปฏิมากรนี้ เป็นตัวแทนแห่งความบริสุทธิ์ของพระบรมศาสดา เมื่อห้ามความคิดในชีวิตประจำวันไม่ได้ ท่านก็ให้มาคิดถึงพระพุทธเจ้าแทน

 


        โดยนึกถึงพระพุทธรูป นึกถึงพระพุทธรูปที่ทำด้วยเพชร แกะสลักด้วยเพชร ให้ใสบริสุทธิ์ นั่งเจริญสมาธิภาวนาอย่างนี้แหละ อยู่ในกลางตัวของเรา ขนาดใหญ่เล็กแล้วแต่ใจเราชอบ กำหนดนึกถึงพระแก้วขาวใสบริสุทธิ์ ตัวแทนของพระบรมศาสดา ให้นั่งขัดสมาสเจริญสมาธิภาวนาเช่นเดียวกับกายหยาบนี่แหละ อาราธนาให้สิงสถิตอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือจะนึกถึงดวงธรรมตัวแทนของ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นดวงกลม ๆ ใสคล้าย ๆ กับดวงแก้วก็ได้ กำหนดให้กลมรอบตัวเป็นดวงใส ๆ สะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดไม่มีข่วน ไม่มีรอยตำหนิ โตเท่ากับแก้วตา 

 


        ให้กำหนดขึ้นมา คือแทนที่จะคิดเรื่องอื่นก็มาคิดเรื่องนี้เนี่ย จะเป็นองค์พระก็ได้ จะเป็นดวงแก้วก็ได้ นึกเพื่อให้ใจมีที่ยึดที่เกาะ จะได้ไม่ซัดส่ายไปนึกเรื่องอื่น และก็นึกให้ต่อเนื่องกันไปอย่างสบาย อย่าให้ตึงจนกระทั่งมึนศีรษะหรือปวดศีรษะ อย่าหย่อนไปจนกระทั่งเผลอมีภาพอื่นเข้ามาแทนที่ ให้นึกถึงพระแก้วใส ๆ หรือดวงแก้วใส ๆ แทนดวงธรรมทั้งหลายก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งนะจ๊ะ อย่าเอาสองอย่างนะ เอาอย่างเดียว แต่นึกอย่างเดียวขึ้นมา ๒ อย่างก็ไม่เป็นไร ก็นึกเรื่อยไปเพราะนี่คือสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือดวงธรรมคำสอนของพระองค์ท่าน ถ้านึกแค่นี้ไม่พอ 

 


        ยังมีความฟุ้งอีก ท่านก็ให้ภาวนาสัมมาอะระหัง ภาวนาสัมมาอะระหังเรื่อยไปเลย อย่าให้เร็วนัก อย่าให้ช้านัก ให้พอดี ๆ ที่ไม่เหนื่อย ที่ไม่มีความรู้สึกว่าออกแรงในการภาวนา ไม่มีความรู้สึกว่าต้องใช้กำลังในการภาวนา เป็นเสียงที่ละเอียดอ่อนเป็นสํานึกลึก ๆ คล้าย ๆ เสียงเพลงที่ร้องในใจอย่างนั้นน่ะ แต่ให้ดังมาจากศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือจากบริกรรมนิมิตที่เป็นองค์พระหรือเป็นดวงแก้วใส ๆ ก็ได้ ให้ทำอย่างนี้นะจ๊ะ ว่าเรื่อยไปเลย การทำอย่างนี้จะทำให้ใจของเราก็วนเวียนอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ไม่ไปที่ไหน ใจจะมาอยู่ที่หลักของใจเนี่ย ที่ยึดของใจเนี่ย วนเวียน นัวเนียคลอเคลียอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้เนี่ย 

 


        ด้วยการนึกภาพองค์พระ ดวงแก้ว แล้วก็คำภาวนาแทนคน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เป็นเหตุให้ใจหยุดนิ่ง ใจจะคลอเคลียจะนัวเนียอยู่กับองค์พระแก้วใส ๆ หรือดวงแก้วใส ๆ กับคำภาวนา ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าหากเราทำด้วยใจที่เยือกเย็น ใจที่สบายไม่ช้าภาพนิมิตที่ลัว ๆ ลาง ๆ น่ะ ก็จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ชัดเจนขึ้นมาเรื่อย ๆ ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งถึงจุดที่ชัดเจนเท่ากับลืมตาเห็น เป็นจุดที่เรามีความพึงพอใจ และในภาวะตอนนี้ คำภาวนาสัมมาอะระหังก็จะเลือนหายไป ในใจเราก็จะมีแต่องค์พระหรือดวงแก้วใส ๆ บริสุทธิ์ ปรากฏเกิดขึ้นในกลางกายฐานที่ ๗ องค์พระหรือดวงแก้วใหม่ ๆ ที่เราเห็นนั้นน่ะ จะดูไม่มีชีวิตชีวา มันก็ทึบ ๆ เป็นแก้วใสที่ทึบ ๆ เป็นดวงธรรมที่ใสทึบ ๆ 

 


        เมื่อมันยังทึบอยู่นี้น่ะ ความสุขมันยังไม่เกิดขึ้น มันมีแต่ความเฉย ๆ คือไม่สุขและก็ไม่ทุกข์ ถึงตอนนี้บางท่านเคยมาถามหลวงพ่อว่า ทำไมเห็นองค์พระเห็นดวงแก้วแล้วเนี่ย ไม่เห็นมันมีความสุขอย่างที่คนอื่นเค้ามีกันเลย ก็เพราะว่าองค์พระและดวงแก้วอันนี้ ยังเป็นจุดเบื้องต้นอยู่ที่เรากำหนดขึ้นมา เป็นอุคหนิมิต มันนิ่งแต่ว่ามันยังกระด้างอยู่ ก็อย่าได้กังวลใจเลยนะ ให้ดูต่อไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ นะจ๊ะ การดูต่อไปก็คือการทำใจให้หยุดนั่นเอง ใจจะถูกประคองให้หยุดอยู่กับองค์พระหรือดวงแก้วที่ยังทึบ ๆ ที่ความสุขยังไม่ปรากฏเกิดขึ้นมา ให้หยุดอย่างนั้นเรื่อยไปก่อน ดูไปอย่างสบาย ๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องคิดให้ชัดขึ้น ใสขึ้นหรือสว่างขึ้น ไม่ต้องคิดอะไรเลย ให้ดูเฉย ๆ 

 


        เป็นผู้ดูที่ดี อย่าไปเป็นผู้กำกับ ให้เป็นผู้ดูที่ดี คือมีอะไร ให้ดูเราก็ดูไป ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น ให้เป็นเขตปลอดความคิด ปลอดคำถาม ปลอดความสงสัย ดูไปเรื่อย ๆ ยิ่งดูไปเรื่อย ๆ ใจก็ยิ่งตั้งมั่นยิ่งขึ้น จากนิ่งมันก็นิ่งขึ้น นิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ และก็แน่นขึ้น คือใจแน่นทีเดียว พอถึงตอนนี้เราจะมีความรู้สึกว่าร่างกายของเราขยายออกไป เช่นเดียวกับนิมิตภายในก็ขยายตามไปด้วย มันจะค่อย ๆ ขยาย องค์พระขยาย ดวงแก้วนั้นขยาย ความรู้สึกของร่างกายก็ขยายออกไป ตอนที่ความรู้สึกขยายนั่นแหละ 

 


        ความสุขก็จะเริ่มเกิดขึ้นมาทีละน้อย เป็นความรู้สึกแปลกที่เราไม่เคยเจอมาก่อน มันจะมีอาการโล่ง ๆ โปร่งแล้วก็เบาสบาย มาพร้อมกับอาการขยายของกายและของใจ อาการขยายนี่แหละเค้าเรียกว่าเบิกบาน คล้ายอาการบานของดอกไม้ ที่แต่เดิมมันหุบ มันยังตูมอยู่ เมื่อถึงขีดถึงคราวเข้ามันก็คลี่กลีบดอกของมัน ขยายเบ่งบานออกมา ใจของเรายิ่งหยุดแนบแน่นเข้าไปเท่าไหร่ อาการขยายก็จะบังเกิดขึ้น คือรู้สึกตัวค่อยโตขึ้น กว้างขึ้น ขยายออกไปรอบด้าน ถึงตอนนี้อย่าไปตกใจนะจ๊ะ ให้ปล่อยให้มันเป็นตามธรรมชาติ ที่ใจขยายเพราะว่ามันหยุดนิ่ง 

 


        เมื่อหยุดนิ่งถูกส่วนแล้วก็เกิดอาการคลี่คลาย ขยายออกไปเรื่อย ๆ จากขยายทีละน้อย ก็ค่อย ๆ ขยายมากขึ้น มากขึ้นไปเรื่อย ๆ เลย จนกระทั่งเรารู้สึกว่าร่างกายกับจิตใจกำลังจะหลอมเป็นหนึ่งเดียว ถึงตอนนี้ความรู้สึกที่ร่างกายจะหมดไป ค่อย ๆ หมดไปทีละน้อยกระทั่งหมดไปโดยสิ้นเชิง คือความรู้สึกที่กายมนุษย์นี้มันไม่มีเลย มันจะโล่ง ขยายกว้างออกไป เหมือนตัวเรากลืนกับบรรยากาศ โตใหญ่ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีขอบเขต นิมิตในตัวก็จะขยายตาม ขยายตามไปเรื่อยเลย ใจก็ยิ่งมีความสุข ตอนนี้สิ่งจะมาพร้อมกันคืออาการขยาย ความสุข มีปีติที่เกิดขึ้นมา แล้วแสงสว่างน้อย ๆ ก็ค่อย ๆ เรืองรองขึ้นมา นี่มันมาพร้อมกันอย่างนี้นะ 

 


        แสงสว่างน้อย ๆ ก็ค่อย ๆ เจิดจ้าขึ้นมา เหมือนดวงอาทิตย์ตอนตีห้าในฤดูร้อน ตอนรุ่งสาง ๆ ยิ่งเราใจหยุดนิ่งเท่าไหร่ ปลอดความคิด ปลอดความกังวล ปลอดคำถาม ปลอดความสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ฝืนประสบการณ์ ไม่หวาดหวั่นวิตกกับอาการที่ขยายไม่ตื่นเต้นยินดีกับแสงที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน แสงนั้นก็จะยิ่งสว่างขึ้นไปเรื่อย ๆ ราวอาทิตย์หกโมงเช้า เจ็ดโมง แปดโมง เก้าโมง สว่างจ้าขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นแสงที่นวลแล้วก็เย็นตา เย็นใจ แสงที่นวลเย็นตาเย็นใจ มาพร้อมกับอาการขยายของใจมาพร้อมกับความสุข มาพร้อมกับความบริสุทธิ์ของใจเรา 

 


        ใจเราจะรู้สึกว่าเราเกลี้ยง ใจมันเกลี้ยงเกลา ไม่ติดในคน ในสัตว์ ในสิ่งของ ในสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น ใจจะอยู่ที่แสงสว่างซึ่งตอนนี้ค่อย ๆ หลอมเป็นหนึ่งเดียวกับใจของเรา แสงก็จะเจิดจ้าขึ้นไปเรื่อย ๆ กระทั่งถึงตอนอาทิตย์เที่ยงวัน เป็นความสว่างที่กระจายกันไปทั่วไปหมด ที่มาพร้อมกับความสุข ความโล่ง ความโปร่ง เบา สบาย ขยายบริสุทธิ์ เกลี้ยงเกลา เป็นหนึ่งเดียว มีความสุขมาก มีปีติ เราจะยิ้มอยู่ภายในลึก ๆ เป็นความสุขอย่างประหลาดที่เราไม่เคยเจอมาก่อน เริ่มรักในการปฏิบัติธรรม มีความรู้สึกเห็นคุณค่าของการปฏิบัติ ใจยิ่งบริสุทธิ์เท่าไหร่ยิ่งมีความสุขเพิ่มขึ้นเท่านั้น 

 


        แสงที่กระจายกันกว้างไปทุกทิศทุกทาง เริ่มมีจุดที่สว่างกว่าแสงทั้งปวงอยู่ตรงกลาง ของความสว่างนั้น เหมือนจุดโฟกัสของเลนส์ขยาย ที่แสงอาทิตย์ผ่านช่องเลนส์นั้นน่ะ จะมีจุดสว่างที่สว่างกว่าแสงสว่างที่กระจายกันไปทุกทิศทุกทาง จุดสว่างนั้นเริ่มจากจุดเล็ก ๆ จุดเล็ก ๆ ในตอนนี้นิมิตองค์พระก็ดี ดวงแก้ว ที่เรากำหนดตอนแรกมันจะหายไป พร้อมกับอาการขยายของตัว จะมีจุดสว่างบังเกิดขึ้น ที่สว่างมากกว่าความสว่างที่กระจาย เมื่อใจเราหยุดนิ่งหนักเข้าไปเรื่อย ๆ คือดูไปเฉย ๆ ดูปรากฏการณ์ของจุดสว่างที่สว่างมาก ๆ ด้วยใจที่เป็นปกติ 

 


        ความสว่างจากจุดนั้นน่ะก็ค่อย ๆ โตขึ้น โตขึ้นมาเรื่อย ๆ จากดวงดาวในอากาศ ก็เท่ากับพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ จากพระจันทร์ในคือวันเพ็ญก็เท่ากับพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน แสงทั้งหมดก็จะมารวมกันเป็นดวง ดวงธรรมใสบริสุทธิ์ ที่มาพร้อมความสุขที่ไม่มีประมาณ เป็นความสุขที่ละเอียดอ่อนมีความเกลี้ยงเกลาของดวงจิต มีอานุภาพ มีความสว่างไสว มีกำลังใจในการสร้างความดี มีความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ มหากรุณาก็เกิดขึ้นในใจ วิญญาณกัลยาณมิตรจะเกิดขึ้นตอนนี้แหละ ตอนที่เรากับดวงธรรมนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 

 


        เราจะมีความปรารถนาอยากให้ผู้ที่ข้างเคียงเราน่ะ ที่เคียงข้างเรานี่น่ะได้มารู้มาเห็นอย่างนี้ มาเข้าถึงอย่างนี้ อยากให้เพื่อนบ้านมาถึง อยากให้ทั่วประเทศทั่วโลก ได้เข้าถึงจุดแห่งความสว่างแห่งความบริสุทธิ์ ที่รวมตัวเป็นดวงธรรมใสบริสุทธิ์ และกลืนกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับใจของเรา กับกายของเรา เป็นหนึ่งเดียว ตอนนี้นะจ๊ะจะมีความสุขมาก ๆ มหากรุณามาจากนี้แหละ ใจจะเกลี้ยง จะมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น จะเห็นคุณค่าของชีวิตของการปฏิบัติธรรมเพิ่มเติม เห็นคุณค่าของเวลาที่จะสูญเสียไปกับสิ่งที่ไร้สาระ 

 


        อยากจะสงวนเวลาเอาไว้ สำหรับการทำหยุดนิ่งที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับดวงธรรมสุกใสบริสุทธิ์ ยิ่งใจนิ่งแน่นเข้าไปเท่าไหร่ ดวงธรรมนั้นก็ยิ่งขยายกว้าง และก็มีดวงธรรมดวงใหม่ผุดเกิดขึ้นมา ทีละดวง ๆ ผุดซ้อนขึ้นมาทีละดวง ดวงธรรมต่าง ๆ ที่ผุดเกิดขึ้นมานั้นจะใสยิ่งขึ้น สว่างยิ่งขึ้น โตใหญ่ยิ่งขึ้น มาพร้อมกับความสุขมาพร้อมกับความบริสุทธิ์ มาพร้อมกับความรู้แจ้ง คือตอนนี้เราจะเริ่มรู้แล้ว รู้จักแล้วว่าดวงธรรมดวงใหม่ที่ผุดเกิดขึ้นมานั้นน่ะ เป็นที่รวมของธรรมอะไรบ้าง เช่นเป็นที่รวมของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ของวิมุตติ และก็ของวิมุตติญาณทัสสนะ ผุดซ้อนเกิดขึ้นมาทีเดียว ดวงธรรมเหล่านี้มาพร้อมกับความสุข ที่ไม่มีประมาณ ความบริสุทธิ์ ความรู้แจ้ง

 


        พลังใจที่จะสร้างความดีไม่มีประมาณ มหากรุณามีความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ จะมาพร้อม ๆ กันไปเลย และในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะก็จะเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เราจะเห็นตัวของเราเนี่ยนั่งขัดสมาธิ ทำสมาธิภาวนาอยู่ในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เป็นกายที่สวยงามกว่ากายหยาบ แต่ลักษณะยังละม้ายคล้ายกับกายหยาบของเรา ดูก็เห็นว่าเป็นตัวเรา แม้นั่งนิ่ง ๆ ก็รู้ว่ามีชีวิตอยู่ ไม่เหมือนตุ๊กตา ซึ่งนั่งนิ่ง ๆ เราก็รู้ว่าไม่มีชีวิตแต่กายมนุษย์ละเอียด หรือตัวเราที่อยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะนั้น เห็นแล้วเราก็รู้ว่ามีชีวิต กายนั้นคือตัวของเรา และก็เกิดความรู้แจ้งว่า กายที่แท้จริงที่เราเพิ่งรู้จักใหม่ ๆ นี้คือกายมนุษย์ละเอียดนี่เอง 

 


        ส่วนกายหยาบเหมือนเสื้อผ้าที่เราอาศัยอยู่ชั่วคราว จะเริ่มเกิดความรู้แจ้งขึ้นมาในใจ เพราะเห็นแจ้ง เห็นกายมนุษย์ละเอียด เมื่อเราหยุดนิ่งแน่นหนักเข้า ดูกายมนุษย์ละเอียดไปอย่างสบาย ๆ ด้วยวิธีการเดิม ไม่ช้าเรากับกายมนุษย์ละเอียดนั้นก็จะถูกหลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลืนกันไปเลย มีชีวิตจิตใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นกายมนุษย์ละเอียดที่ใสบริสุทธิ์กว่ากายมนุษย์หยาบ แต่ยังมีความละม้ายคล้ายกายมนุษย์หยาบอยู่ ท่านหญิงก็จะเหมือนกับท่านหญิงท่านชายก็เหมือนกับท่านชาย นั่งทำสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา 

 


        จะเห็นว่าอริยาบถของผู้ที่เข้าถึงความสุขภายใน ความรู้แจ้งภายในนั้นน่ะ และความเกลี้ยงเกลาของใจนั้นน่ะ จะอยู่ในอริยาบถนั่ง ไม่มียืน ไม่มีเดิน แล้วก็ไม่มีนอน นั่งเจริญสมาธิภาวนา เพราะว่าหยุดนั้นน่ะ เป็นตัวสำเร็จ หยุดอย่างเดียว อยากจะหยุดเข้าไปเรื่อย ๆ เลย พอใจกายมนุษย์ละเอียดหยุดถูกส่วนที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ก็เกิดปรากฏการณ์เหมือนเดิม แต่ว่าละเอียดกว่า ปราณีตกว่าขึ้นมาแทนที่ เข้าถึงดวงธรรมอีก ๖ ดวง อีก ๑ ชุด และกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะของ กายมนุษย์ละเอียดก็เข้าถึงอีกกายหนึ่ง ที่สวยงามกว่าเดิมคือกายทิพย์ 

 


        เกิดกายทิพย์ขึ้นมา คือกายละเอียดที่สวยงามลักษณะเริ่มแตกต่างจากกายมนุษย์ละเอียดไปแล้ว ร่างกายไม่มีข้อไม่มีปุ่ม ไม่มีกระดูก มองไม่เห็นแล้ว เริ่มเกลี้ยงนอกจากใจจะเกลี้ยงเกลาแล้ว ร่างกายก็ยังเกลี้ยง กลมกลึงกันไปยิ่งขึ้น แถมมีเครื่องประดับติดตัวไปอีก เป็นเครื่องประดับที่ติดตัวแต่ว่าไม่พะรุงพะรัง ไม่มีห้อยระโยงระยางอะไรอย่างนั้นน่ะ สวยงามทีเดียวน่ะ ก็เกิดความรู้แจ้งขึ้นมาว่ากายทิพย์นี่ก็ตัวเราอีกเหมือนกัน แต่ว่าเป็นกายที่ละเอียดกว่า มีจิตใจที่ประณีตกว่า มีชีวิตที่ประณีตกว่า 

 


        เมื่อเราเข้าถึงกายทิพย์แล้วนี่เกิดรู้แจ้งว่า กายที่แท้จริงกว่าคือกายทิพย์ ส่วนกายมนุษย์ละเอียดเมื่อสักครู่นี้นั่นน่ะก็เหมือนเสื้อผ้า อาศัยอยู่ชั่วคราว เมื่อกายและใจของเราหลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายทิพย์ ถูกส่วนเข้าในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ก็เกิดดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง ๖ ดวงเหมือนกัน ดวงธรรมสุดท้ายคือวิมุตติญาณทัสสนะ ก็เห็นอีกกายหนึ่ง นั่งเจริญสมาธิภาวนาเหมือนกัน สวยงามคล้าย ๆ กายทิพย์ แต่ว่าปราณีตกว่า มีรัศมีสว่างกว่า โตใหญ่กว่า ละเอียดกว่า เครื่องประดับก็ดีกว่าน่ะ เกิดขึ้นมาเรียกว่ากายรูปพรหม 

 


        กายนี้แตกต่างจากกายหยาบโดยสิ้นเชิงทีเดียว แม้เปลือกนอกของเรากายหยาบจะเป็นท่านหญิง เป็นผู้หญิง แต่พอถึงกายรูปพรหมแล้วน่ะ เราจะเห็นเลยว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่เหมือนกายหยาบ แต่เราก็รู้แจ้งอีกนั่นแหละว่านั่นคือตัวของเรา ที่ซ้อนอยู่ภายใน เมื่อหลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วน่ะ ก็เกิดความรู้แจ้งขึ้นมาว่ากายรูปพรหมนี้นะ เป็นกายที่แท้จริงกว่ากายทิพย์และเมื่อหยุดนิ่งต่อไปน่ะ 

 


        พอถูกส่วนก็จะเข้าถึงดวงธรรมอีก อีกชุดหนึ่ง ๖ ดวงเหมือนกัน ดวงสุดท้ายคือวิมุตติญาณทัสสนะ ก็เข้าถึงอีกกายหนึ่ง คือกายอรูปพรหม ลักษณะคล้าย ๆ กายอรูปพรหมนะ แต่เพราะว่าไม่ใช่น่ะ ถึงเรียกว่าอรูปพรหม อะ ไม่ อะ แปลว่าไม่ใช่นะ อรูปพรหม แต่ว่ามันคล้ายกันมากทีเดียว ละเอียดแตกต่างกัน ดูเผิน ๆ เหมือนรูปพรหม แต่ว่าพอเพ่งพินิจด้วยการหยุดนิ่ง ไม่ใช่ ละเอียดกว่า ลักษณะภายนอกคล้ายกันเครื่องประดับที่ปราณีตกว่า โตใหญ่กว่า สวยงามกว่า ความรู้เห็น ญาณทัสสนะกว้างไกลกว่า กว้างออกไปอีก 

 


        เมื่อหลอมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายอรูปพรหม ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงธรรมอีก ๖ ดวง ในทำนองเดียวกันกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ก็เข้าถึงกายที่สำคัญคือกายธรรมหรือพุทธรัตนะ กายแห่งการตรัสรู้ธรรม ประกอบด้วยธรรมล้วน ๆ บริสุทธิ์ล้วน ๆ เกลี้ยงทีเดียว ลักษณะเรียบง่าย แต่สงบเสงี่ยมสง่างาม สวยงามกว่ากายอรูปพรหม แตกต่างตรงเกตุ มีเกตุดอกบัวตูม บนพระเศียรท่านน่ะ ตรงที่ตั้งบนจอมกระหม่อมน่ะ มีเกตุดอกบัวเหมือนดอกบัวตูม ๆ ประดิษฐานอยู่บนจอมกระหม่อม สวยงามมากทีเดียว กายนั้นหย่อนกว่า ๕ วานิดหน่อย กายนี้แหละเรียกว่ากายธรรมโคตรภู 

 


        กายธรรมโคตรภู เป็นกายตรัสรู้ธรรมแล้ว เป็นหลักของพระพุทธศาสนา ที่เราสวดมนต์บูชาไหว้พระทุกวัน ก็ต้องการขอถึงกายนี้แหละ บัดนี้เราเข้าถึงแล้ว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมโคตรภู อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ก็แตกต่างจากกายอรูปพรหม จากกายรูปพรหม จากกายทิพย์ จากกายมนุษย์ละเอียด และจากกายมนุษย์หยาบ แตกต่างกันไปเลย มีความรู้สึกว่าเป็นพระ ใจที่สงบนิ่ง มุ่งอย่างเดียวอยากจะเข้าไปให้ถึงที่สุด อยากหลุดพ้นจากกิเลสจากอาสวะ มีนิพพานเป็นอารมณ์ คือมุ่งที่จะไปสู่อายตนนิพพานนั้นอย่างเดียว ไม่มีความคิดที่จะถอยหลังกลับ อยากจะมุ่งหน้าไปเรื่อย ๆ เข้ากลางไปเรื่อย ๆ เข้าไปสู่ภายในน่ะ นี่แหละกายตรัสรู้ธรรมของตัวเรา

 


        ดังนั้นหลวงพ่อขอยืนยันว่าทุกท่านที่มาในวันนี้เนี่ย เป็นผู้มีบุญที่ได้สั่งสมมาอย่างดี จะได้รู้วิธีที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว กายธรรมนี้แหละเป็นตัวหลักของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่กายอื่น เป็นของที่อยู่ในตัวของเราเกิดมาถ้ายังไม่รู้จักกายธรรม ยังเข้าไม่ถึงเกิดมาชาตินั้นเสียเวลา เสียชาติเกิดไปหนึ่งชาติแล้ว ต้องไปเกิดใหม่อีกแล้ว เพื่อที่จะมาทำให้เข้าถึงพระธรรมกายในตัวให้ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้ทราบว่าเราเป็นผู้มีบุญ มาพบหนทางที่จะเข้าถึงพระธรรมกายในตัว 

 


        ซึ่งจะมุ่งไปสู่อายตนนิพพานแล้ว ก็ควรจะขวนขวายหาเวลาให้โอกาสกับตัวของเราปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมกายให้ได้ ของนี้มีอยู่แล้วในตัวของเราน่ะ เหลืออย่างเดียวคือความเพียร กับทำให้มันถูกวิธี เพียร ให้ได้ในทุกอิริยาบถ ทุกกิจกรรม จะนั่ง นอน ยืน เดิน หรือจะทำมาหากินอะไรก็ตาม ทำกิจกรรมอะไรก็ตาม อย่าให้ใจนั้นพลาดจากศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้วสักวันหนึ่ง เราจะเข้าถึงพระธรรมกายในตัว และวันนั้นน่ะ เราจะเข้าใจว่ากายธรรมคือกายตรัสรู้ธรรม เป็นกายที่สำคัญที่สุด และจะซาบซึ้งเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา จนกระทั่งตระหนักเห็นคุณค่าของตัวเอง 

 


        มีความปีติมีความภาคภูมิใจ ว่าเกิดกันมาชาติหนึ่งนั้นน่ะ ไม่เสียชาติเกิด ได้เข้าถึงพระธรรมกาย มีปีติสุขเป็นรางวัล จะนั่ง นอน ยืน เดิน ใจของเราก็เป็นพระธรรมกายอยู่ตลอดเวลา ให้ทุกท่านตั้งใจปฏิบัติธรรม ชำระกายวาจาใจของเราให้ใส ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ ให้ใจหยุดนิ่ง ให้ใจใสบริสุทธิ์ ใจของเราก็ยังหยุดอยู่ภายในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หยุดให้นิ่ง ๆ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หยุดให้ดีนะ ใครที่เข้าถึงดวงธรรมได้ ก็เอาใจหยุดไปที่กลางดวงธรรม 

 


        ใครที่เข้าถึงกายภายในได้ ก็เอาใจหยุดนิ่งไปที่กายภายใน ใครเข้าถึงกายธรรมได้ก็เอาใจหยุดนิ่งไปที่กลางกายธรรมนะจ๊ะ ให้ใจหยุดนิ่ง ๆ อย่างสบาย ๆ พอถูกส่วนเข้าเดี๋ยวเราจะเห็นกายธรรมขยายกว้างออกไป แล้วก็จะมีกายธรรมใหม่ ที่โตใหญ่กว่าเดิม ผุดเกิดขึ้นมาในกลางนั้น ถ้าหยุดได้สนิทเรากับท่านจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปทุก ๆ องค์ที่ผุดเกิดขึ้นมาในกลาง จะผุดเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ เรื่อยไปเลย ทีละองค์ ๆ ไป ถ้าใจหยุดนิ่งแน่นมากการผุดเกิดของท่าน ก็จะมีมากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วก็เร็วขึ้น โตใหญ่ขึ้นไป 

 


        เราก็ยิ่งมีความสุขเพิ่มพูนขึ้น มีความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น ใจก็เกลี้ยงเกลาและไม่ค่อยติดอะไร ใจจะไม่ติดอะไรเลย จะติดอยู่ในกลางของพระธรรมกาย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกาย และมุ่งจะเข้าไปสู่ภายในตลอดเวลา มุ่งเข้าไปเรื่อย ๆ เลย อย่างเป็นไปเอง เป็นไปตามธรรมชาติ ผุดซ้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายที่อยู่ในอายตนนิพพานนะ นับพระองค์ไม่ถ้วน นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วนทีเดียว มากกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้งหลายน่ะ ไม่เฉพาะทั้ง ๔ น่ะ ทั้งหลายเลยมากเลยเต็มไปหมดในอายตนนิพพานนะ 

 


        ในอายตนนิพพานนั้นไม่มีอะไรกำบัง ไม่มีโบสถ์ ไม่มีวิหาร ไม่มีศาลาการเปรียญ เพราะท่านไม่ต้องใช้กันแดดกันฝนกันลม ไม่ต้องมีที่มุงที่บังอะไรอย่างนั้นแล้ว ในนั้นเกลี้ยงสว่างด้วยธรรมรังสี แห่งความบริสุทธิ์ของพระธรรมกาย พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่มีแบบเหมือนพิมพ์ปั๊มอันเดียวกันไปเลยน่ะ แบบพิมพ์เดียวกัน ต่างแต่ขนาดและรัศมีของแต่ละองค์ ขนาดไม่เท่ากัน โตใหญ่ไม่เท่ากัน รัศมีก็ไม่เท่ากัน นั่งเจริญสมาธิ เข้านิโรธสมาบัติ 

 


        หยุดในหยุดเข้าไปเรื่อย ๆ ในกลางท่าน เสวยสุขในอายตนนิพพาน ที่เป็นสุขอย่างเดียว เป็นเอกันตบรมสุข สุขอย่างยิ่งอย่างเดียว ยิ่ง ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ ในกลางของท่านน่ะ ของแต่ละองค์ เพราะฉะนั้นในตัวของท่านน่ะที่เป็นธรรมกายล้วน ๆ เป็นวิราคธาตุ วิราคธรรม ก็เป็นธาตุที่สะอาดที่บริสุทธิ์ที่ไม่มีกิเลสอาสวะเข้ามาครอบงำ ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว กิเลสอาสวะทั้งหลาย เป็นธาตุธรรมล้วน ๆ ที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ ไม่มีเค้าปรุงแต่งเจือเลย ไม่มีกิเลสอาสวะเลยเนี่ย สุขใสสว่างบริสุทธิ์ เป็นตัวของตัวเอง เป็นอิสระ

 


        มีอานุภาพมาก เป็นแหล่งกำเนิดแห่งบุญที่เราเรียกว่าเป็นเนื้อนาบุญน่ะ เป็นแหล่งกำเนิดแห่งบุญ เพราะว่าท่านเป็นธาตุล้วน ๆ ธรรมล้วน ๆ บริสุทธิ์ล้วน ๆ เป็นวิราคธาตุวิราคธรรม ที่สะอาดเกลี้ยงไปเลยเนี่ย เข้านิโรธสมาบัติอยู่ในกลางของกลางท่านไป ไปเรื่อย ๆ ไม่มียั้งเลย เสวยสุขที่เพิ่มพูนขึ้นไป ธาตุธรรมของท่านก็แก่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ละเอียดขึ้นไป บริสุทธิ์ขึ้นไป เป็นแหล่งกำเนิดแห่งบุญ เมื่อเราไปถวายเครื่องไทยธรรมทั้งหลายแด่ท่านเป็นพุทธบูชา ซึ่งท่านก็ไม่ได้เสวยอาหารแบบพระสงฆ์ขบฉันน่ะ 

 


        เหมือนเรามีจิตเลื่อมใสในท่าน นำเครื่องไทยธรรมถวายเป็นพุทธบูชา ใจของเราก็ไปจรดกับใจของท่าน เหมือนเราไปเสียบปลั๊กนั้นน่ะ ไปชาร์จแบตเตอรี่ ใจของเราไปจรดกับธาตุล้วน ๆ ธรรมล้วน ๆ บริสุทธิ์ล้วน ๆ น่ะ กระแสบุญจากตรงนั้นก็ชาร์จเข้าสู่กลางกาย ในกลางตัวของเรา เป็นดวงบุญใสสว่าง กลมเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์อย่างนั้นแหละ เหมือนเราไปเสียบขั้วกับท่านน่ะ ท่านก็แล่นมาเลย ไปจรดกับท่านองค์หนึ่ง ก็แล่นมาองค์หนึ่ง จรดสององค์ก็แล่นมาสององค์ จรดร้อยองค์ก็แล่นมาร้อยองค์ ร้อยสายมาจรดกลางเลย พันองค์ก็พันสาย หมื่นองค์ก็หมื่นสาย แสนองค์ก็แสนสาย ล้านองค์ก็ล้านสาย 

 


        อสงไขยองค์ก็อสงไขยสาย นับไม่ถ้วนอสงไขยองค์ก็นับไม่ถ้วนอสงไขยสาย จรดเป็นดวงบุญติดอยู่ในกลางกายของเรา ดวงบุญนี้จะมีอานุภาพเมื่อมาอยู่ในกลางกายของเราแล้ว จะสว่างไปหมดทุกกาย ตั้งแต่กายละเอียดที่สุดมาสู่กายที่หยาบที่สุด จากกายธรรมที่ละเอียดแล่นมาเรื่อยถึงกายอรูปพรหม ถึงกายรูปพรหม ถึงกายทิพย์ ถึงกายมนุษย์ละเอียด ถึงกายมนุษย์หยาบ สุกใสสว่างกันไปหมดเลย สว่างมาก ดวงบุญอยู่ในกลางตัวนี่แหละมีอานุภาพ ที่เขาปนเป็นไม่ได้ เราจะได้สมบัติทั้งสามคือรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน อย่างสมบูรณ์ทีเดียว อย่างสมบูรณ์ไม่มีขาดตกบกพร่องเลย 

 


        เมื่อจรดมาอยู่ในกลางของกายมนุษย์หยาบ ก็จะเกิดผลบุญขึ้นมา เมื่อเราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ด้วยกายมนุษย์หยาบ รูปสมบัติของเรา เราก็จะมีรูปอันงาม แข็งแรงอายุยืน ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่อ้วนไม่ผอม ไม่ดำไม่ขาว ไม่สูงไม่ต่ำ พอดี ๆ ใครเห็นแล้วก็เกิดความพอดี ดูแล้วสวยงามจริง ๆ ทรัพย์สมบัติก็ได้อย่างสะดวกสบายน่ะ ไม่ต้องทำมาหากินสมบัตินั้นก็คอยอยู่ คอยท่าไว้เลยน่ะ มาเกิดในตระกูลของเศรษฐี มหาเศรษฐี บรมเศรษฐี สมบัติคอยท่าไว้ และถ้ามีบารมีมาก ดวงบุญนี้ก็ดลบันดาลให้สมบัติเกิดขึ้นเอง เป็นเศรษฐีเสียเอง ไม่ใช่เป็นลูกเศรษฐี เหมือนท่านชฎิลเศรษฐี เมณฑกเศรษฐี และท่านโชติกเศรษฐี คือบุญเค้าเกิดขึ้นในกลางน่ะ เป็นบุญที่เกลี้ยงสะอาดล้วน ๆ บุญศักดิ์สิทธิ์ที่เค้าปนเป็นไม่ได้ 

 


        เวลาบังเกิดขึ้น พรึบภูเขาทองโผล่ขึ้นมาแล้ว บุญนี้ไปดึงดูดเอาธาตุทองทั้งหลายมารวมตัวกันและผุดเกิดขึ้นมาเลย พรึบขึ้นมาเลย เกิดขึ้นมา สมบัติจักรพรรดิบังเกิดขึ้น อย่างง่าย ๆ หรือท่านโชติกเศรษฐี ปราสาทแก้วพรึบขึ้นมา ขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ก็บังเกิดขึ้นมาเลย นี่กำลังบุญท่านเป็นอย่างนี้น่ะ หรือเหมือนอย่างนายบุญชาวนาน่ะ เปลี่ยนจากนายบุญชาวนา เป็นบุญมหาเศรษฐี ก็เพราะว่าภรรยาเตรียมอาหารเอาไว้น่ะ เพื่อจะมาให้สามีคือนายบุญซึ่งเหน็ดเหนื่อยจากการไถนา แต่ระหว่างเดินทางมาได้พบกับเนื้อนาบุญ พระท่านเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ ท่านเข้านิโรธสมาบัติไปถึงธาตุล้วนธรรมล้วน บริสุทธิ์ล้วน ๆ เลย ที่เค้าปนนเป็นไม่ได้ 

 


        พญามารปนเป็นไม่ได้ ก็มีอานุภาพมาก เป็นบุญลาภของภรรยานายบุญ คือมีลาภทางบุญพอเห็นเข้าก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส ถ้าคนไม่มีลาภทางบุญ เห็นแล้วมันก็เฉย ๆ อาหารมื้อนั้นน่ะเกิดความรู้สึกอยากจะทำบุญกับพระ ก็ไม่รู้ว่าท่านเป็นเนื้อนาบุญรึเปล่า แต่บุญในตัวบันดาลให้อยากทำบุญ และพระท่านก็มาโปรดเพราะท่านก็เห็นในญาณทัสสนะว่า โยมคนนี้จะเป็นเจ้าของบุญน่ะ ผู้ให้ผู้รับก็มาตรงกัน ท่านเป็นธาตุล้วนธรรมล้วน เพราะเข้านิโรธสมาบัติ ใสสว่างเต็มที่ทีเดียว เหมือนเป็นโรงงานไฟฟ้าอย่างงั้นแหละ ภรรยานายบุญชาวนา เอาข้าวมื้อนั้นน่ะ ใส่ด้วยความเลื่อมใส ปลื้มปีติ พอข้าวตกลงไปในบาตร ปลื้มมาก พอพระท่านปิดฝาบาตร ชื่นใจ แล้วท่านก็ให้พรสั้น ๆ ไม่ได้ให้ยาว ๆ หรอก ท่านให้พรว่า ขอให้สมความปรารถนาในทุกเรื่อง แค่นั้นก็ชื่นใจแล้ว ขนลุกขนชั้นทีเดียว ดีใจมาก 

 


        ไม่กังวลว่าสามีจะหงุดหงิดรึเปล่าน่ะ กลับไปเตรียมอาหารใหม่ แล้วก็เอาไปให้สามีที่อยู่กลางนา สามีก็กำลังหนื่อยหิว ภรรยาก็ยิ้มส่งยิ้มไปก่อน และก็พูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ หาน้ำหาท่าเช็ดเนื้อเช็ดตัวพอใจร่างกายสบาย จิตใจสบาย เอาอาหารให้ และก็พูดว่าที่มาช้าเมื่อกี้เนี้ยเพราะว่าเตรียมอาหารมาจะมาให้พี่นี่แหละ แต่เจอพระซะก่อน เกิดความเลื่อมใส ผิวพรรณท่านเปล่งปลั่งมีวรรณะ สุกใสทีเดียว อยากทำบุญ ก็เลยใส่บาตรไปแล้วน่ะ พี่อนุโมทนาเถอะนะ นายบุญก็สมชื่อทีเดียวน่ะ ชื่อบุญใจบุญ แม้จะเหน็ดเหนื่อยมานี่ ก็เออ สาธุ ดีแล้ว น้องเอ๊ยที่ทำบุญมานี้ แค่เลื่อมใสแค่นั้นแหละ ใจของนายบุญนั้นน่ะก็เหมือนไปเสียบขั้วแบตเตอรี่กับภรรยา ภรรยาเสียบกับพระผู้มีบุญนั้น ส่งต่อมาถึงนายบุญทีเดียว ชาตจ์แรงกันทีเดียวน่ะ ถึงนายบุญ ทานข้าวเสร็จมีกำลังไปไถนา ไม่กี่ทีก็เป็นทองคำหมดเลย เหลืองอร่ามเต็มท้องทุ่งนาไปหมดเลย เปลี่ยนจากดินเป็นทองน่ะ

 


        แปลงธาตุได้ แปลงธาตุจากดินเป็นทอง ด้วยอานุภาพบุญที่มาจากธาตุล้วน ๆ ธรรมล้วน ๆ ของพระผู้มีบุญเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ พรึบขึ้นมาเลย มีมากกว่าทุกคนในแผ่นดิน พลิกตรงไหนทองหมดเลย นี่ก็เป็นเพราะว่าใจของนายบุญและภรรยามีความเลื่อมใสในมหาทานบารมีนั้น ทำถูกเนื้อนาบุญ เพราะฉะนั้นธาตุดินจึงแปลงเป็นทองได้ เป็นบุญศักดิ์สิทธิ์ที่หลั่งไหลมาเลย พวกเราทุกคนก็เช่นเดียวกัน ต้องมีความเลื่อมใส ในมหาทานบารมีในพระรัตนตรัยเนี่ย ทำให้มันถูกจุดถูกคู่แห่งบุญแล้ว อะไร ๆ มันก็กันสมบัติไม่อยู่ทั้งนั้น บาปศักดิ์สิทธิ์ที่เค้ามาขวางมากันแค่ไหน จะระเบิดย่อยแยกสมบัติแค่ไหนเนี่ย มันก็สู้ไม่ได้ สู้บุญศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ เดี๋ยวก็รวมสมบัติมาใหม่ พลิกจากดินเป็นทองได้

 


        เพราะฉะนั้นให้ใจนี่ให้เลื่อมใสอยู่ในบุญให้ดีกันทีเดียว ให้ใจใสให้ใจละเอียด แล้วบุญเวลามาติดตัวเราไปเนี่ยมันจะติดซ้อนไปหมดทุกกายเลย เป็นชั้น ๆ เข้าไปเนี่ย เคยเห็นเสาไฟฟ้าข้างถนนบ้างไม้ล่ะ ที่มีดวงไฟเรียงรายกันไปอย่างนั้นน่ะ พอเค้าเสียบปลั๊กที่ขั้วใหญ่มันพรึบต่อกันไปเลยนั่นแหละ ติดทีเดียวตลอดถนนเลย ทุกดวงเลยบุญอันนี้ก็เช่นเดียวกันเนี่ย จากอายตนนิพพานสู่ศูนย์กลางกาย มันติดไปทุกชาติ ๆ เลย ทุกกายไปเลย จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม เพราะฉะนั้นทำใจให้เลื่อมใสในบุญให้ดีนะจ๊ะ ตอนนี้เราก็อธิษฐานจิต นึกถึงบุญให้ดีอธิษฐานตามใจชอบกันทุก ๆ คนเลยนะจ๊ะ 

 

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.033025852839152 Mins