การเลี้ยงลูก

วันที่ 01 กค. พ.ศ.2567

2567%2007%2004%20b.jpg
 

การเลี้ยงลูก

2567%2007%2004%20%20b.jpg

    โยมพ่อไม่เคยบอกว่าท่านมีหลักการเลี้ยงลูกอย่างไร แต่จากการที่อาตมาได้ประสบมาด้วยตนเอง ที่ได้เกิดเป็นลูกของโยมพ่อ กอปรกับได้ค้นคว้าอ่านตำรับตำรามามาก จึงพออนุมานได้ว่าในทางปฏิบัติวิธีการเลี้ยงลูกของท่านตรงตามตำราที่มีมาแต่โบราณ กล่าวคือ

 

๑. ทำตัวอย่างดีๆ ให้ลูกดู
๒. คัดเพื่อนดีๆ ให้ลูกคบ
๓. หาหนังสือดีๆ ให้ลูกอ่าน
๔. พาลูกไปหาครูบาอาจารย์ดีๆ

 

๑. ทำตัวอย่างดี ๆ ให้ลูกดู

 

     แม้ว่าฐานะทางบ้านจะไม่ร่ำรวย  มีรายได้ไม่มากนักอาศัยว่าท่านทั้งสองมีความขยันหมั่นเพียร ตั้งใจช่วยกันทำมาหากิน ตลอดชีวิตที่เติบโตขึ้นมา อาตมาจึงไม่เคยเห็นท่านเป็นหนี้ใคร แม้รายได้ของครอบครัวจะไม่ดีนักแต่ก็อยู่กันได้ เนื่องจากมีที่มีทางเป็นของตัวเอง ประกอบกับความขยันหมั่นเพียรดังกล่าว


           โยมพ่อมีลูกทั้งหมด ๔ คน เป็นชาย ๒ คน หญิง ๒ คนสำหรับลูกชายคนโตเป็นลูกต่างมารดา ต่อมาเมื่อโยมแม่ใหญ่เสียชีวิตไป โยมป้าได้รับไปเลี้ยงดู แล้วโยมพ่อก็แต่งงานใหม่กับโยมแม่มีบุตรอีก ๓ คน อาตมาเป็นลูกคนสุดท้อง

 

          โยมพ่อเป็นคนซื่อตรงมาก  เกลียดการโกหกหลอกลวงเป็นที่สุด  ท่านจึงชอบพูดตรงไปตรงมา จนบางครั้งกลายเป็นคนขวานผ่าซากของท่านนี่เอง เมื่อท่านเข้าไปอยู่ในกลุ่มของผู้มีเหลี่ยมมีคู จึงสามารถทำให้วงแตกได้ภายในเวลาไม่ถึง ๕ นาที เพราะไม่ว่าท่านจะพูดอะไร ก็เอาความจริงเข้าว่าด้วยเหตุนี้แม้พวกเขาเหล่านั้นจะไม่รัก แต่ก็ไม่มีใครเกลียดโยมพ่อ


           การไม่เล่นการพนันเป็นสิ่งที่อาตมาได้มาจากโยมพ่อ    เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อตอนอาตมาเป็นเด็กเคยเห็นบรรดา ลุง ป้า น้า อากำลังเล่นไพ่กัน อาตมาได้กล่าวตำหนิออกไปว่า

 

             ‘เสียเวลา เล่นกันเอง โกงกันเอง กินกันเอง ไม่เห็น เข้าท่า’

 

             กลับถูกย้อนเอาว่า

 

              ‘อย่ามาพูดดี พ่อเอ็งนั่นแหละตัวเล่น’


             อาตมาเถียงว่า พ่อไม่เล่น จึงถูกท้าทายว่า


              ‘ไม่เชื่อก็ลองไปถามพ่อเอ็งดู’

 

           วันหนึ่งสบโอกาส  อาตมาจึงถามโยมพ่อถึงเรื่องนี้  ซึ่งโยมพ่อก็ยอมรับว่าเป็นความจริง และเล่าว่าท่านชอบเล่นไพ่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฝีมือระดับเซียนทีเดียว จะว่าเล่นเป็นอาชีพก็ได้เพราะแต่ก่อนที่บ้านเป็นบ่อนการพนันใหญ่ที่สุดของจังหวัด เมื่อลูกคนโตเกิด ท่านจึงปิดบ่อนและเลิก เล่นการพนันเด็ดขาด เพราะเกรงว่าลูกๆ จะเห็นตัวอย่างที่ไม่ดีและติดนิสัยไป ท่านมักเน้นว่า

 

            ‘ที่พ่อทำตัวอย่างดีๆ  ให้ลูกดูก็หวังว่าลูกๆ ทุกคน จะต้องไม่เป็นนักการพนัน’ และก็นับว่าเป็นบุญของโยมพ่อ ที่ปรากฏต่อมาว่าลูกๆ ทุกคนไม่มีใครเล่นการพนันเป็นกันเลย

 

          โยมพ่อเล่าต่อไปว่า  ท่านเคยเป็นนักต้มเหล้าเถื่อนมาก่อนครั้นมีลูก  ก็เลิกได้เด็ดขาด  เช่นกัน อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าโอ่ง ไห ที่ใช้ในการต้มเหล้า ท่านทุบทิ้งหมด จึงไม่มีลูกคนไหนเคยเห็นโยมพ่อต้มเหล้า

 

          อย่างไรก็ตามเพราะกรรมที่ท่านเคยต้มเหล้าขายนั่นเองแม้จะเลิกต้มเหล้า แต่ท่านก็ยังเลิกดื่มเหล้าไม่ได้เด็ดขาด กว่าจะเลิกได้เด็ดขาด ท่านก็มีอายุปาเข้าไป ๘๐ ปีแล้ว จึงเป็นผลทำให้ท่านไม่สามารถฝึกสมาธิได้ดีเท่าที่ควร เป็นกรรมที่มาตัดรอนอย่างน่าเสียดาย

 

             จึงขอฝากบรรดาคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายว่า  ไม่ว่าท่านจะทำกรรมอันใดไว้  ย่อมหนีกรรมนั้นไม่พ้น ทำดีต้องได้ผลดีจริงและทำชั่วก็ต้องได้ผลชั่วจริง เพียงแต่ผลจะออกมาให้เห็นเร็วหรือช้าเท่านั้น

 

            เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้ลูกดีอย่างไร ก็พึงทำอย่างนั้นสำหรับส่วนที่ไม่ดี แม้จะชอบจะรักเพราะสนุกแค่ไหน เพียงใด ก็ขอให้เลิกเสีย ตัดใจเสีย ถือเสียว่ายกให้เป็นของขวัญแก่ลูกก็แล้วกัน

2567%2007%2005%20b%20.jpg

๒. คัดเพื่อนดีๆ ให้ลูกคบ


ไม่มีพ่อคนไหนสอนลูกให้ดื่มเหล้า

ไม่มีแม่คนไหนสอนลูกให้ค่า

ไม่มีพ่อแม่คนไหนสอนลูกให้เล่นการพนัน

 

          ทั้งๆ ที่ไม่ได้สอนนี่แหละ ลูกบางคนโตขึ้น เหล้าก็ดื่ม ด่าก็เก่ง ถ้าถามว่านิสัยไม่ดีเหล่านี้ได้มาจากไหน ตอบได้ทันทีว่ามาจาก เพื่อน’

 

          เพราะฉะนั้น  มีวิธีเดียวที่จะประคับประคองให้ลูกมีนิสัยดีๆ อย่างที่พ่อแม่สอน และไม่เอานิสัยเลวๆ มาจากเพื่อนก็คือ พ่อแม่ต้องคัดเพื่อนดีๆ ให้ลูกคบ ซึ่งเรื่องนี้เมื่อบวชแล้ว อาตมาจึงมองย้อนไป ได้เข้าใจและดูออกว่า โยมพ่อกระทำอย่างเคร่งครัด

 

          วิธีคัดเพื่อนให้ลูกคบของโยมพ่อ ซึ่งอาตมาจำได้ดีคือ

 

          เมื่อสมัยเป็นนักเรียน โยมพ่อจะอนุญาตให้พาเพื่อนๆ ไปเที่ยวที่บ้าน ซึ่งเป็นสวนผลไม้ มีทั้งขนุน ฝรั่ง กล้วย อ้อย ฯลฯ ให้เก็บกินได้ตามใจชอบ แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นเพื่อนที่สนิทๆ กันเท่านั้น

 

           อาตมามักพาเพื่อนๆ มาที่บ้านคราวละ ๗ คนบ้าง ๑๐ คนบ้าง ปรากฏว่า เมื่อเพื่อนกลับกันหมดแล้ว โยมพ่อจะเรียกอาตมามาสั่งว่า คนนั้น คนนี้ มีนิสัยไม่ดี โกหกเก่ง ด่าเก่ง ชอบหนีโรงเรียน ห้ามชวนมาอีก มิฉะนั้นจะถูกตีให้เลิกคบเสีย ท่านยังกำชับด้วยว่า นอกจากไม่ให้พามาบ้านแล้ว แม้ที่โรงเรียน ก็ห้ามเล่นกับเขาด้วย ส่วนคนนั้นๆ นิสัยดี เรียบร้อย เคารพพ่อแม่ ท่านสั่งให้พามาอีก ซึ่งขณะนั้นอาตมาก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมท่านจึงรู้หมดว่า คนนั้นเลวอย่างนั้นๆ คนนี้ดีอย่างนี้ๆ ได้แต่แปลกใจ

 

          เพื่อนที่โยมพ่อสั่งไม่ให้คบ ล้วนเป็นเพื่อนที่แสนสนิท แต่ก็ต้องเชื่อโยมพ่อ เพราะกลัวถูกตี ซึ่งปรากฏต่อมาในภายหลังว่าบรรดาเพื่อนที่ท่านสั่งห้ามคบนั้น เป็นคนไม่ดีเอาจริงๆ ติดคุกติดตะรางทั้งนั้น 

 

          มีบ่อยครั้งที่หลังจากเพื่อน ๆ กลับไปแล้ว  อาตมาถูกโยมพ่อตี เพราะหนีโรงเรียนบ้าง ไม่ทำการบ้านบ้าง ฯลฯ เรื่องเหล่านี้อาตมาปกปิดท่าน แต่เหตุใดท่านจึงรู้ อาตมารู้สึกว่า โยมพ่อเป็นผู้วิเศษรู้ไปเสียหมด ภายหลังจึงรู้ว่า ในขณะที่อาตมากับเพื่อน ๆปีนต้นไม้ และส่งเสียงตะโกนคุยกัน เป็นเหตุให้โยมพ่อล่วงรู้ความลับทั้งหมด

 

          ส่วนโยมแม่ก็เช่นกัน  เวลาอาตมาพาเพื่อนๆ  ไปบ้านท่านจะเรียกเพื่อนๆ ไปช่วยทำขนม สำหรับอาตมาท่านไล่ให้ไปผ่าฟืนอยู่ห่างๆ เมื่ออาตมาคุยกับเพื่อนๆ ไม่คิดว่าโยมแม่จะได้ยินแต่ท่านก็ได้ยิน ความลับที่อาตมาทำไว้ที่โรงเรียน ท่านเลยทราบหมด

 

2567%2007%2002%20b%20%284%29-1.jpg

          บางครั้งมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนที่โรงเรียน เจ็บตัวกลับมามากบ้างน้อยบ้าง เวลารายงานทางบ้าน มักอ้างคนนั้นคนนี้ผิดอยู่เรื่อยไป แม้อาตมาเองเป็นฝ่ายผิดก็ต้องบอกว่า คนอื่นผิด แต่โยมพ่อไม่หูเบา ท่านจะรีบไปซักถามความจริงจากเพื่อนสนิทของอาตมาพอได้ความจริง ถ้าปรากฏว่าอาตมาเป็นผู้ก่อเหตุ ท่านกลับถึงบ้านอาตมาจะถูกตีซ้ำ   

         

          ท่านมีวิธีเอาใจใส่ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ด้วยวิธีตรวจสอบจากเพื่อนสนิทของอาตมา และท่านได้เอาใจใส่อย่างดีเช่นนี้จนอาตมาเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๖ เพราะหลังจากนั้น อาตมาได้เข้าศึกษาต่อในกรุงเทพฯ จึงห่างท่านโดยปริยาย

 

๓. หาหนังสือดีๆ ให้ลูกอ่าน

2567%2007%2005%20%20b.jpg
          เด็กๆ จะไม่รู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว ได้แต่ดูแบบอย่างรอบๆตัวจากพ่อแม่ เพื่อนฝูง และหนังสือ เห็นแบบอย่างไหนก่อน ก็จะยึดเป็นมาตรฐาน ถ้าแบบนั้นเป็นแบบดีๆ ก็รอดตัว หนังสือก็เป็นแบบอันหนึ่งที่สำคัญมากต่อเด็ก พ่อแม่ที่ต้องการให้ลูกดีต้องหาหนังสือดีๆ ให้ลูกอ่าน

 

           หนังสือเล่มแรกที่อาตมาได้อ่าน คือ รามเกียรติ์ อ่านจบตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น  ป.๓-ป.๔ อุบายที่โยมพ่อฝึกให้ลูกอ่านหนังสือดี ๆ คือ พอทำการบ้านเสร็จ อาตมาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเล่นกับเพื่อนๆ ต้องอ่านหนังสือให้โยมพ่อฟัง ท่านอุตส่าห์หาหนังสือดีๆ เช่นพระราชนิพนธ์ วรรณคดีต่างๆ มาให้อ่าน หากขี้เกียจอ่าน ท่านมีวิธีทั้งปะเหลาะ ทั้งขู่ว่าต้องอ่าน เช่น พอท่านบอกว่าอ่านหนังสือให้พ่อฟังที อาตมาจะเกี่ยงว่า


                ‘พ่อก็อ่านเองได้นี่” ท่านก็จะตอบว่า


                ‘พ่อแก่แล้ว ตาไม่ดี’

 

                บางทีวันต่อมา ท่านก็ให้อ่านซ้ำที่เคยอ่านมาแล้ว ครั้นอาตมาทักท้วงท่านก็แก้ว่า 

       

                ‘คนแก่ จำไม่ค่อยได้ ไม่เหมือนเด็กๆ’


                เจอแบบนี้เข้าบ่อยๆ อาตมาจึงต้องจำใจอ่าน บ่อยครั้งเข้าก็จดจําได้อย่างแม่นยำ

 

               จากการที่ถูกฝึกให้อ่านออกเสียงให้โยมพ่อฟังเป็นประจำดังกล่าว ทำให้อาตมามีนิสัยรักการอ่าน จำได้ว่าหนังสือในห้องสมุดประชาชนประจำจังหวัด ซึ่งมีหนังสือไม่น้อยกว่าพันเล่ม อาตมาอ่านจนหมด และยังช่วยให้สามารถพูดได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่ว่าจะเป็นคำควบกล้ำตัว ร ตัว ล หรือแม้แต่จังหวะจะโคน เป็นผลให้เมื่อมีการประกวด การอ่าน เล่านิทาน หรือเขียนเรียงความในชั้นเรียน อาตมาจึงได้รับรางวัลหรือได้คะแนนดีเสมอๆ

 

๔. พาลูกไปหา ครูบาอาจารย์ดีๆ

2567%2007%2002%20b%20%286%29.jpg
          เนื่องจากอาตมาเกิดในชนบท  ครูบาอาจารย์ทางโลกที่ดีๆ  ก็มีแต่ครูในโรงเรียนประจำจังหวัด ครูคนไหนที่มีนิสัยดี อัธยาศัยดีโยมพ่อก็จะไปมาหาสู่ ชวนมาบ้านทำให้อาตมาได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ดีๆ โยมพ่อจะตีสนิทกับครูของลูกๆ ทุกคน

 

            ดังนั้นบางวันอาตมาหนีเรียนไปเที่ยว ถูกครูตีที่โรงเรียนแล้ว พอกลับมาถึงบ้านก็พบครูคนนั้นนั่งคุยกับโยมพ่อ เลยถูกโยมพ่อตีซ้ำให้อีก

 

             สำหรับครูทางธรรมนั้น   เมื่อวัยเด็ก   ก็คุ้นกับวัดพอสมควรเพราะหลวงน้าของโยมพ่อเป็นเจ้าอาวาส และโยมพ่อพาไปวัดอยู่อาตมาจึงได้รู้ได้เห็นสิ่งที่เป็นแบบแผนที่ดีมาตั้งแต่เล็ก


              จากพื้นฐานดังกล่าวนี้  ทำให้ลูกๆ  ทุกคนได้รับถ่ายทอดนิสัยที่ดีมาจากท่าน  คือ  เป็นคนมีใจคอกว้างขวาง พูดจริงทำจริงเป็นที่นิยมชมชอบของหมู่คณะ และเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้หลักผู้ใหญ่

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.022925515969594 Mins