ความเคารพ

วันที่ 04 กค. พ.ศ.2567

670704_b67.jpg

 

ความเคารพ

              มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ไม่มีใครหรอกที่ไม่อยากเด่นอยากดัง ยังมีกิเลสกันอยู่ ยังอยากเด่น ยังอยากดังกันอยู่เพียงแต่ว่าความอยากเด่นอยากดังของใครจะละเมียดละไมกว่ากัน คนจะเด่นจะดังมีวิธีทำ ๒ อย่าง คือ


๑. ทำความดีให้เหนือเขาทำอย่างนี้ชาวโลกสรรเสริญเพราะไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนมีแต่ทำให้เขาอยู่เย็นเป็นสุขยิ่งขึ้น
๒. จับผิดคนอื่นคนพวกนี้ไม่ชอบทำความดีชอบจับผิดชาวบ้าน เหยียบหัวชาวบ้าน เหยียบลงไปแล้วตัวเองก็เด่นได้เหมือนกันทั้งโลกนี้เหยียบให้เป็นเหวเหยียบให้เป็นหลุมแล้วเรายืนเด่นอยู่คนเดียวแต่สูงเท่าเดิมนั่นแหละ คนพวกนี้แหละที่เราเรียกว่า “คนพาล”

 

               คนพาลแสลงต่อความดีเหมือนกับคนไข้ที่แสลงต่อน้ำเย็น อากาศร้อน ๆ อย่างนี้คนดี ๆ เขาอยากได้น้ำเย็นมาอาบสักถังสองถังให้ชื่นใจ แต่คนชั่วคนพาลเหมือนคนที่กำลังจับไข้ โดนน้ำเย็น ๆ เข้าขั้นเดียวเท่านั้นแหละ พาลจะช็อคตาย คนพวกนี้เห็นใครทำความดีแล้วรู้สึกแสลงใจเพราะเขาถนัดอีกอย่างหนึ่ง ถนัดจะเหยียบชาวบ้านให้จมธรณี แล้ววิธีที่จะเหยียบชาวบ้านให้จมธรณีคือ หาทางจับผิดเขาเข้าไป วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไร จ้องจับผิดชาวบ้าน คนโน้นไม่ดีอย่างโน้น คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ แล้วรายงานผู้บังคับบัญชา แต่กลัวเขาจะรู้ว่าเราเป็นคนรายงาน เพราะว่า ไอ้ความไม่ดีพรรค์นั้นจริงบ้างไม่จริงบ้าง จริง ๗ เท็จ ๓ ทำไงล่ะ เขียนบัตรสนเท่ห์ อาชีพมีอย่างเดียว เขียนบัตรสนเท่ห์ แล้วก็จับผิดชาวบ้าน แขนโตเบ้อเร่อนึกว่าไปกอบอะไรมา เปล่า! เขียนบัตรสนเท่ห์ ไอ้พวกนี้มันมีอยู่มีตัวอย่างในพระไตรปิฎกบอกว่า

 

               มีเศรษฐีคนหนึ่ง เป็นชาวนา แต่ว่าแกทำงานเป็นระบบ เลยเป็นเศรษฐี แกมีวิธีการอย่างไรพอจะทำนานี่แกแบ่งงานกัน ไอ้ฝ่ายนี้นะเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไอ้ฝ่ายนี้น่ะ ไปไถคราด ไอ้ฝ่ายนั้นนะทั้งดำทั้งหว่าน อีกฝ่ายหนึ่งนะไว้ใส่ปุ๋ย อะไรก็ว่าไป อีกฝ่ายหนึ่งนะหน้าที่เก็บเกี่ยว อีกฝ่ายไว้สี ไว้ผัดไว้นวด อีกฝ่ายหนึ่งการตลาด แกทำอย่างนี้ จนกระทั่งเป็นเศรษฐีแต่อยู่มาวันหนึ่ง กิจการค้าข้าวของแกแทบจะล้มละลายหาสาเหตุกว่าจะเจอแทบตาย มันเป็นอย่างไร พอจะล้มละลายเข้าแกก็เลยตรวจสอบ ทีแรกเข้าใจว่าแผนกขายยักยอก แผนกขายบอกไม่ได้ยักยอก นี่ไง โรงสีเขาส่งมาเท่านี้แหละ ข้าวส่งเข้ามาขายน้อยกว่าทุกปีนะ น้อยไปกว่าครึ่ง เลยมีขายแค่ครึ่งเดียว อ้อ!พวกขายไม่ได้โกง งั้นก็พวกโรงสีถ้าจะโกงมั้ง ลองไปสอบดู โรงสีก็ไม่ได้โกง บอกว่าพวกเก็บเกี่ยวส่งมาน้อย ก็นึกว่าพวกเก็บเกี่ยวโกงไปสอบเข้าก็ไม่ได้โกง เขาบอกว่าปีนี้ทำนากันแค่ครึ่งเดียว อ๋อ..ถ้าอย่างนั้น พวกดำพวกหว่านขี้เกียจ ไปเช็คดู ไอ้พวกดำพวกหว่านบอก ไม่ได้ขี้เกียจน่ะ แต่ที่ดำหว่านแค่ครึ่งเดียว เพราะว่าเขาไถนาเอาไว้ครึ่งเดียว ไปเรียกตัวพวกไถนามา ทำไมขี้เกียจอย่างนี้ ไถครึ่งเดียว ปีนี้จะล้มละลายอยู่แล้ว พวกไถนาก็บอก อย่ามาว่าพวกเขาปีนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร วัวควายที่เลี้ยงเอาไว้ผอมโกรกหมด ไถนาครึ่งวันพาลจะตาย เลยไม่ได้แค่ครึ่งเดียว อ้อ...พวกเลี้ยงวัวเลี้ยงควายนี่ขี้เกียจ เดี๋ยวเถอะพ่อจะไล่ออกให้หมด ตามไปถึง พวกเลี้ยงวัวเลี้ยงควายมันว่าไง มันบอกว่าไอ้ที่วัวควายผอมปีนี้

 

              เพราะเจ้าสุนัขที่เศรษฐีเลี้ยงเอาไว้นี่แหละ ที่เอามาเลี้ยงเมื่อต้นปี ตอนนี้กำลังเป็นหนุ่มเชียวมันไล่กัด มันไล่เห่า วัวควายกินไม่ได้ พวกเขาเอาไม้ไปไล่ตี เศรษฐีบอกว่ามาตีลูกรักข้า จึงถูกไล่ออกไปเสียทั้งหลายคน พวกเหลือนี่กลัวถูกไล่ออกเขาเลยไม่ดี เพราะเขาไม่มีสุนัขที่มากวน วัวควายมันเลยผอม เพราะวัวควายมันผอมปีนี้ถึงได้ไถนาน้อย แทบล้มละลายไปเลย สุนัขตัวเดียวที่มันกันท่า ที่มันมาจ้องจับผิด พอ ๆ กับไอ้พวกเขียนบัตรสนเท่ห์ล่ะ พวกเดียวกันแหละ นี่มันเป็นอย่างนี้ ใครชอบเขียนบัตรสนเท่ห์ละก็ พอ ๆ กับสุนัขประเภทนี้รีบกำจัดออกไปจากหมู่คณะเสีย อย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อย ได้มีคนล้มละลายไปแล้วเพราะไอ้เจ้าสุนัขประเภทนี้ กองทัพก็เคยล้มละลาย เคยแพ้มาแล้ว เพราะคนประเภทนี้เหมือนกัน ขอให้ช่วยระวัง ๆ ด้วยนะ บ้านเมืองจะอยู่ไม่ได้ วันหนึ่ง ๆ คิดแต่จะจับผิดคนอื่น บ้านเมืองจะล้มละลาย

              โตมา เราควรจะเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่า วัน ๆ หนึ่งควรจะคิดอย่างไร คิดว่าใครมีดีอะไรบ้าง ค้นให้ได้ ใครมีดีอะไร แล้วทำความดีให้ได้ตามเขา เมื่อนั้นตัวเองก็เจริญเพราะความดีต่าง ๆ จะไหลเข้าสู่ตัวเอง ครอบครัวก็เจริญ ถ้าเรามีนิสัยชอบค้นหาความดีของคนอื่น ไม่ว่าลูกไม่ว่าเมียของเราจะเป็นคนมีนิสัยอย่างไร วันหนึ่งก็จะต้องติดนิสัยของเราไป พยายามจะดูคนอื่นในแง่ดี แล้วเรื่องนินทาว่าร้าย เรื่องทอนกำลังใจมันก็จะหมด พอเป็นอย่างนี้ ที่ทำงานก็จะมีแต่คนดี แล้วกองทัพเราดีเอง ประเทศชาติจะมั่นคง
ก็มาถึงว่าแล้วจะฝึกอย่างไร เอาบทฝึกง่าย ๆ ก็แล้วกันฝึกกันตั้งแต่ลูกหัวเท่ากำปั้น ถึงจะโตแล้วก็ฝึกได้ เออ..เป็นทหารแล้วนั้นแหละ ฝึกเข้าไป ฝึกให้ลูกจับถูกพ่อมัน ฝึกให้ลูกจับถูกพระสงฆ์องค์เจ้า ฝึกให้จับถูกพระพุทธเจ้า แล้วจากนั้นโตขึ้นมามันจะจับถูกคนทั้งบ้านทั้งเมือง จะยกตัวอย่างให้ฟังโดยย่อเมื่อลูกของเราเริ่มเรียกพ่อเรียกแม่ได้ชัด อย่าอยู่ช้า

 

               สอนให้ท่องนะโมตัสสะให้เป็นพอเป็นแล้ว เอาละ ที่เราเคยดื่มสุรามาเท่าไหร่นะ เลิก ขว้างแก้วเหล้าทิ้ง คิดว่าต่อแต่นี้ไป จะทำดีๆ ให้ลูกดี จะทำตัวเป็นต้นแบบให้ลูกให้ได้มาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นอีก ทำอย่างไร ก่อนนอนทุกคืน นำลูกกราบพระในห้องพระ แม้ลูกจะไม่รู้ความ นะโม ตัสสะ...เขายังพูดไม่ชัดก็ช่างเขา ลูกเอ๊ย..กราบพระแล้วก็นะโม ตัสสะไป ท่องบทสวดก็สอนไป เขาจะเข้าใจไม่เข้าใจ ช่างเขา กราบไปก่อน ปัญญาเขายังงอกงามไม่พอ เขายังไม่รู้หรอกว่ากราบไปทำไม

 

             เหมือนทหารเข้ามาวันแรก วันทยหัตถ์ไปก่อน วันทยวุธไปก่อน ทหารใหม่ไม่รู้ ก็ทำไปงั้นแหละ บางทีก็นึกด่าผู้บังคับบัญชา ก็ช่างเขา สอนไปก่อน ทำอย่างนี้ไปทุกวัน ๆวันหนึ่งลูกของเราโตขึ้นมาพอจะรู้ความ เขาจะถามพ่อแม่ว่าทำไมต้องกราบพระก่อนนอน พ่อแม่จะต้องตอบคำถามลูกให้ดี ถ้าตอบดีวันนี้จะเป็นวันปิดทองพระ ถ้าตอบไม่ดี วันนี้จะเป็นวันเผาห้องพระ ตอบให้ดี “ลูกเอ๊ย...องค์นี้แหละศักดิ์สิทธิ์ ท่านให้หวยแม่นจริง ๆเลย ” นั่นแหละ เผาห้องพระแล้ว“ลูกเอ๊ย องค์นี้ละศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ เลย ตั้งแต่แม่ได้มาละขโมยไม่เคยขึ้นบ้านเลย” จะเกณฑ์พระพุทธเจ้าเป็นไทยยาม อย่างนี้รื้อห้องพระนะแต่ตอบใหม่

 

             “ลูกเอ๊ย....กราบไปเถอะองค์นี้ เมื่อมีชีวิตอยู่ท่านปฏิบัติดีจริง ๆ ท่านบริสุทธิ์จริง ๆ ไม่เคยคิดร้าย ไม่เคยพูดร้าย ไม่เคยทำร้ายใครเลย ลูกเอ๊ย...กราบเถอะ” อ้อ....ลูกก็จะได้ความรู้สึก อ๋อ...ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์แปลว่าอะไร เขายังไม่รู้เลยแต่อีกหน่อยเขาจะซึมซาบเอง อ๋อ..คนศักดิ์สิทธิ์จะต้องใจดีนะ ไม่คิดร้าย ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้ายใครเลย ลูกจะได้ทีละนิด ๆ ตอกย้ำไปเรื่อย ๆ ฝึกกัน วันหลังเขาถามอีกว่า ทำไมจึงต้องกราบ พ่อแม่อาจจะตอบอีกแง่หนึ่งว่า

              “องค์นี้ท่านฉลาดที่สุดในโลก หรือว่ามีปัญญาเลิศที่สุดในโลก เพราะว่าท่านสามารถแก้นิสัยที่ไม่ดี ๆ ของท่านได้หมด จะบอกว่าตรัสรู้เขาก็ไม่รู้เรื่องฉลาดที่สุดในโลก รู้ทุกอย่างในโลก แล้วนิสัยไม่ดีแก้ได้หมด ลูกจะได้พยายามปรับปรุงตัวเองตามแบบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

               “ลูกเอ๊ย..องค์นี้นะเมื่อมีชีวิตอยู่ ท่านชอบช่วยเหลือคนทั้งโลก และมีความกรุณา” ตอบลูกอย่างนี้ได้ เป็นวิธีฝึกลูกให้มองคนในแง่ดี ด้วยการมองพระพุทธเจ้าก่อน พอลูกโตขึ้นมาอีกหน่อยก็เป็นหน้าที่ของแม่ ลูกเอ๊ย...ไปกราบพ่อเขาก่อนนอน แต่ระวังพ่อก็ต้องทำตัวให้น่ากราบด้วย ไม่ใช่เมาแประมาทุกวัน ๆ แล้วให้ลูกมากราบ เขาก็อ่อนใจกราบไม่ลงเหมือนกัน ลูกเอ๊ย...ไปกราบคุณพ่อก่อนนอนนะ เพราะคุณพ่อน่ะไม่เคยคิดร้ายต่อลูก อยากจะให้ลูกได้ดี แม้เมื่อเช้าพ่อเขาที่นั่นนะก็ตีด้วยความปรารถนาดีเพราะลูกดื้อ ลูกซน ลูกไม่ไปโรงเรียน พ่อเขาก็เลยตีเอา แต่ก็ดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะฉะนั้น ไปกราบคุณพ่อเสีย 

 

               เด็กเขาก็ไม่ค่อยรู้อะไร ตีด้วยความบริสุทธิ์ใจ เขาก็ไปกราบตามประสาเขาจากจุดนี้ พอโตขึ้น ถ้าเขาไปทำผิด ผู้บังคับบัญชาลงโทษเขาจะไม่โกรธ ไม่แค้น เพราะเขาได้คิด อ้อ...เหมือนพ่อเรานั่นแหละทำผิดก็เลยลงโทษเรา การสะดุด การอาฆาตกันในกองทัพก็จะไม่มี แต่สิ่งเหล่านี้เขาต้องปูพื้นฐานตั้งแต่เล็ก รอให้โต...ยาก

 

               “เอ้า...ลูกเอ๊ยไปกราบพ่อซะ พ่อนี่น่ะดีต่อลูกที่สุดเลย จึงได้ทำมาหากินเลี้ยงลูกพ่อนี่ตั้งใจทำงานที่สุดเลย จึงได้ยศ ได้ตำแหน่ง พ่อนะได้ตั้งใจเรียนมาตั้งแต่เล็ก เพราะฉะนั้น ลูกนะ ลูกจะต้องตั้งใจเรียน แล้วจะได้เก่งเหมือนพ่อ จะได้มียศถาบรรดาศักดิ์ มีหน้ามีตาเหมือนพ่อ ปูสัมมาทิฐิกันลงไปทำไมต้องกราบพ่อด้วย “เออ..ลูก พ่อนี่นะ เป็นคนมีน้ำใจต่อลูกนะ เหนื่อยทุกวันนี้เพราะลูก ตั้งใจทำมาหากินทุกวัน ก็เพื่อจะให้มีเงินมาส่งลูก มาเลี้ยงลูก เพราะฉะนั้น อย่าทำอะไรให้พ่อหนักใจ กล่อมเขาอยู่ทุกวันอย่างนี้แล้วลูกของเราจึงจะมองโลกในแง่ดี

 

               ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ผลเป็นอย่างไร โตขึ้นมาหน่อย แม่ไม่เห็นได้ความเลย เอาแล้ว ทำไมลูกเอ๊ย แม่คนอื่นซื้อตุ๊กตาหมีตัวโต แม่นะซื้อมาตัวนิดเดียว เริ่มจับผิดแม่แล้ว ขนาดแม่เขายังจับผิด คนทั้งโลกไม่ต้องห่วงละทีนี้ แสบเลยก็แล้วกัน พ่อไม่เห็นได้ความ พ่อคนอื่นน่ะมีรถเบ๊นซ์ให้ขี่ แต่พ่อน่ะจักรยานก็ไม่ยอมซื้อให้ พ่อนึกอย่างไร มีข้าวให้เอ็งกินก็ดีแล้ว ลองว่าจับผิดพ่อจับผิดแม่ตั้งแต่เล็ก เรื่องอะไรจะไม่จับผิดคนอื่น อย่าหวัง 

 

               ถ้าพ่อแม่สอนให้ลูกมองคนในแง่ดี ค้นหาความดีของคนอื่นให้พบ ลูกจะมองโลกในอีกแง่มุมหนึ่ง ลูกประเภทนี้ พอไปถึงโรงเรียนเขาไม่ไปเสียเวลาจับผิดครูบาอาจารย์ คนโน้นไม่ดีอย่างไร คนนี้ไม่ดีอย่างไร เขาจะดูแต่ว่า อาจารย์ให้ความรู้อะไรกับเขา จะได้นำความรู้กลับบ้าน เขามีเพื่อน เขาก็จะรู้ว่าเพื่อนเขามีดีอะไร  เพื่อนเขาคัดลายมือดี จะคัดลายมือให้ดีอย่างเพื่อนบ้าง เพื่อนเขาเรียนภาษาอังกฤษดี เออ..จะเรียนแข่งให้ได้ดีเหมือนเพื่อนบ้าง นิสัยอย่างนี้จะเริ่มเกิด

 

               ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะจับผิดเพื่อน แหม..ไอ้เพื่อนคนนั้นก็ไม่ดี ไอ้เพื่อนคนนี้ก็ไม่ได้เรื่อง ไอ้เพื่อนคนโน้นก็แย่  เห็นดีมีอยู่คนเดียว...ตัวเขาเอง เขาเองน่ะ เขี้ยวลากดิน เป็นอย่างนั้นในเรื่องของความเคารพ มีความจำเป็นที่จะต้องฝึกกันตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น ฝึกเลย ทหารที่เข้ามาใหม่นอกจากฝึกให้แสดงความเคารพ วันทยวุธ วันทยหัตถ์กันแล้ว ช่วยชี้แจงด้วยเลยว่า นั้นเป็นแค่การแสดงความเคารพ แต่โดยน้ำใสใจจริงแล้วต้องการให้เอาท่าวันทยวุธวันทยหัตถ์นั้นเป็นเครื่องเตือนใจ เพื่อให้เจาะลึกไปดูว่า ผู้บังคับบัญชาแต่ละท่านมีดีอะไร แล้วนำเอาไปเป็นตัวอย่าง เอาไปทำตามแบบ นั้นแหละกองทัพจึงจะแข็งแกร่งมา อาตมาได้สัมผัสมา โยมพ่อเองก็เป็นทหารเก่า พี่ชายก็เป็นทหารเก่า พี่ชายเป็นเสธฯอยู่กองทัพบก ตอนนี้ก็เกษียณแล้ว มาจากครอบครัวทหาร ได้พบอยู่อย่างหนึ่งว่า ทั้งโยมพี่ก็ดี โยมพ่อก็ดี พูดถึงเรื่องความเคารพครั้งใด จะพูดในลักษณะของการแสดงทุกทีไป ไม่ค่อยได้เจาะลึกไปในลักษณะค้นหาความดี นี้คือความผิดพลาด แล้วก็มักจะถูกมองว่า เป็นเรื่องเล็กน้อย มันไม่ใช่เล็กน้อยหรอก เพราะถ้าไม่ฝึกตรงนี้ไว้ให้ดี โดยเฉพาะตั้งแต่เล็ก อีกหน่อยเขาจะจ้องจับความชั่วความผิดพลาดแม้เล็กน้อยของคนอื่น หรือว่าความดีของคนทั้งโลกมีเท่าไรมองไม่เห็น เห็นแต่โลกชั่วๆ เท่านั้นมองโลกในแง่ร้าย ผลสุดท้ายเขาไปอยู่ที่ไหน เขาจะทำความเดือดร้อนให้ที่นั่นตลอดไป

**บทความ แนะนำ/เกี่ยวข้อง

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.032656168937683 Mins