พระพุทธเจ้า

วันที่ 10 กค. พ.ศ.2567

 

2567_07_10_b_.jpg


พระพุทธเจ้า


             พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเต็มเปี่ยมแล้วทั้ง 10 ประการ เมื่อถึงกาลอันสมควรก็จะถือกำเนิดเป็นมนุษย์ แล้วออกบวชแสวงหาโมกขธรรม คือ ธรรมที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้จริง ถึงความเป็นพระพุทธเจ้า เนื่องจากใจของพระองค์ประณีตเป็นทุนเดิมอยู่แล้วครั้นทำสมาธิปรารภความเพียรไม่ลดละชนิดยอมสละชีวิตเป็นเดิมพันในที่สุดก็สามารถน้อมประคองและเพ่งใจให้หยุดติดนิ่งเข้าไปตรงศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ได้ เมื่อใจหยุดนิ่งได้ถูกส่วนแล้ว ก็ทรงบรรลุถึง ธรรมกาย ซึ่งเป็นกายสำหรับใช้พิจารณาธรรมโดยเฉพาะ


             ธรรมกาย มีลักษณะเป็นรูปพระพุทธปฏิมาหรือพระพุทธรูป มีเกตุเป็นรูปดอกบัวตูม ประกอบขึ้นด้วยธาตุธรรมที่ละเอียดประณีตอย่างยิ่ง จนกระทั่งกิเลสทั้งหยาบทั้งละเอียดทุกชนิด ไม่สามารถซึมซาบเอิบอาบเข้าไปย้อมติดได้ (ทำนองเดียวกับแก้วเนื้อละเอียดหมึกย่อมไม่สามารถซึมซาบเข้าไปในเนื้อแก้วได้ อย่างมากก็จับเป็นคราบแต่เพียงผิว ๆ) ใสจนกระทั่งเกิดรัศมีสว่างปรากฏออกมา


            เมื่อพระโพธิสัตว์บรรลุถึงพระธรรมกายแล้ว ก็ทรงอาศัยพระธรรมกายนี้พิจารณาธาตุธรรมอื่น ๆ ทั้งหมด จนกระทั่งได้รู้เห็นความเป็นไปของชีวิต และการทำงานของกิเลสทั้งมวลตามความเป็นจริง พร้อมทั้งได้บรรลุความสว่างไสวแห่งญาณปัญญา สามารถรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจจ์ 4 ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คลายความยึดถือมั่นในสรรพสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น จึงหมดจดจากกิเลสได้โดยสิ้นเชิง มีความบริสุทธิ์เหมือนพระธรรมกาย พระองค์จึงได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้า

               ดังนั้น คำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในความหมายหนึ่ง หมายถึงกายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่ได้ทรงออกบวชจนกระทั่งตรัสรู้
          อีกความหมายหนึ่ง หมายถึง พระธรรมกาย ซึ่งเป็นกายที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงบรรลุถึง แล้วอาศัยกายนี้พิจารณาธรรม จนกระทั่งตรัสรู้
          เมื่อทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ทรงแสดงธรรมสอนมวลมนุษย์เพื่อสรรลุพระธรรมกายเช่นเดียวกับพระองค์บ้าง ทำให้เกิดพุทธศาสนาขึ้นในโลก ครั้นถึงอายุขัยแล้ว ขันธ์ 5 ที่ประกอบขึ้นเป็นกายมนุษย์ของพระองค์ก็ดับลง ส่วนพระธรรมกายก็เสด็จสู่อายตนะนิพพาน คงเหลืออยู่แต่ ศาสนา ไว้

             ศาสนาที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงตั้งขึ้นนั้น จะดำรงอยู่ในความนับถือของมหาชนเป็นเวลานับพัน ๆ ปี แล้วจะค่อย ๆ อันตรธานไป เพราะไม่มีคนศึกษา ไม่มีคนปฏิบัติ โลกก็ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนา คืนสู่ยุคมืดของศีลธรรมที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียนข่มเหง รังแกกันไม่รู้จบอีกตามเดิม แล้วอีกนานแสนนาน จึงจะมีพระโพธิสัตว์องค์ใหม่จุติมาเกิดแล้วได้บรรลุพระธรรมกาย ตรัสรู้ แล้วตั้งศาสนาพุทธขึ้นอีก เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ โดยนัยนี้จึงปรากฏว่า ในอดีตอันยาวนานมา ได้มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแล้วเป็นจำนวนมาก และโดยนัยเดียวกันนี้ ก็จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในอนาคตอีก ในลักษณะสืบเนื่องด้วยเหตุอย่างเดียวกัน

 

                 พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน


พระพุทธเจ้าองค์ที่ทรงตั้งพระพุทธศาสนาไว้ในปัจจุบัน มีพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ สกุล โคตม เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายา พระราชาและพระราชินีแห่งแคว้นสักกะ ประสูติก่อนพุทธศักราชแปดสิบปี


                เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะผนวชแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียรทางใจอย่างสูงสุดในที่สุดก็ได้บรรลุพระธรรมกาย ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วได้ทรงสั่งสอนวิธีปฏิบัติเพื่อทำให้ใจหยุด (แล้วติดนิ่งเข้าไปตรงศูนย์กลางกายฐานที่ 7) ได้มีผู้เลื่อมใสเข้ามานับถือ ปฏิบัติตามพระองค์และบรรลุธรรมกายพ้นทุกข์ได้จริงตามพระองค์ด้วยเป็นจำนวนมากแล้วอบรมสั่งสอนกันต่อ ๆ มาจนกระทั่งทุกวันนี้


                   พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญความดีอย่างสูงสุดที่เรียกว่าบารมี ไว้แล้วในอดีตชาติอย่างอเนกอนันต์ ผลแห่งความดีนั้น นอกจากจะส่งให้พระองค์ทรงพระปรีชาญาณ สามารถตรัสรู้ได้เองโดยชอบแล้วยังส่งให้พระองค์ได้ ลักษณะมหาบุรุษ คือ มีลักษณะที่สง่างาม องอาจสมส่วน เป็นที่ดึงดูดนัยน์ตาของชาวโลกและสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้พบเห็นให้เลื่อมใสได้ ความงามแห่งรูปกายของพระองค์นี้ เป็นความงามที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย ไม่ก่อให้เกิดกิเลสราคะแก่ผู้พบเห็น แต่เป็นความงามที่โน้มน้าวศรัทธาปสาทะให้เกิดเพียงอย่างเดียว จึงปรากฏว่าในครั้งพุทธกาล มีผู้ได้ยลพระรูปโฉมของพระองค์ แล้วเกิดศรัทธายอมฟังธรรมของพระองค์ และออกบวชตามเป็นจํานวนไม่น้อย


             ลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการ หรือพุทธลักษณะ


            1. มีพื้นฝ่าพระบาท (ฝ่าเท้า) ทั้งสองเสมอกัน ขณะเมื่อเหยียบลงก็ถูกต้องพื้นพร้อมกัน ขณะเมื่อยกขึ้นก็ยกขึ้นพร้อมกันทั้งฝ่าพระบาท
                   2. มีพื้นฝ่าพระบาททั้งสองประกอบด้วยลายลักษณะกงจักรข้างละอัน อยู่กลางฝ่าพระบาท
                   3. มีส้นพระบาทยาว และส้นพระบาทนั้นมีสีแดงงาม
                   4. นิ้วพระบาทและนิ้วพระหัตถ์กลมเรียวยาว ข้างต้นใหญ่แล้วเรียวลงไปจนปลาย
                   5. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม
                6. มีลายฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทดุจลายลายตาข่าย นิ้วพระหัตถ์เว้นแต่พระอังคุฏฐะ (นิ้วหัวแม่มือ) และนิ้วพระบาทยาวเสมอกัน
                   7. มีอัฐิข้อพระบาทตั้งอยู่สูง ดำเนินได้คล่องแคล่ว สง่างาม
                   8. มีลำพระชงฆ์ (แข้ง) เรียวดุจแข้งเนื้อทราย
                   9. เมื่อเสด็จยืนโดยปกติ ฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองเหยียดเหยียดลงพระชานุ (หัวเข่า) ทั้งสองข้างได้
                  10. มีพระคุยหะ (องคชาติ) ลับอยู่ในฝัก เหมือนด้วยคุยหะที่ลับแห่งโค เป็นต้น
                  11. มีพระฉวีวรรณ (ผิว) เหลืองงามดังสีทองทั่วทั้งกาย
                  12. มีพระฉวีละเอียด ไม่มีธุลีละอองต้องติดพระกาย
                  13. มีพระโลมา (ขน) เกิดขึ้นเฉพาะขุมละเส้น
                  14. มีเส้นพระโลมาดำสนิททั่วทั้งพระสรีรกาย เวียนเป็นทักขิณาวัฏ (เวียนขวา) มีปลายงอนขึ้น
                  15. มีท่อนพระกายตั้งตรง
                  16. มีพระมังสะ (เนื้อ) หนาในที่ 7 แห่ง คือ หลังพระหัตถ์ทั้งสอง หลังพระบาททั้งสอง พระอังสา (บ่า) ทั้งสอง และลำพระศอ

(ลำคอ)
                 17. มีพระสกลกายบริบูรณ์ พระอังคาพยพ (อวัยวะ) ทั้งปวงมีสัณฐานงามสมควรแก่อังคาพยพนั้น ๆ
                 18. มีพระปฤษฎางค์ (หลัง) เต็มบริบูรณ์
                 19. มีพระกายเป็นปริมณฑลบริบูรณ์ดุจปริมณฑลแห่งต้นไทร (มีทรวดทรงดุจต้นไทร คือ กายกับวาเท่ากัน)
                 20. มีลำพระศอกลมงามเสมอ เมื่อเปล่งพระสุรเสียง พระเส้นที่ลำพระศอมิได้ปรากฏ พระสุรเสียงนั้นดังก้อง
                 21. มีพระเส้น (ประสาท) รับรสอาหารประมาณ 7,000 เส้น มีปลายรวมอยู่ที่พระศอ เมื่อพระกระยาหารตกถึงปลายพระชิวหา (ลิ้น) รสก็แผ่ซ่านไปทั่วพระสรีราย
                  22. มีพระหนุ (คาง) เหมือนด้วยคางแห่งราชสีห์
                  23. มีพระทนต์ (ฟัน) 40 ซี่ เบื้องบน 20 ซี่ เบื้องล่าง 20 ซี
                  24. มีพระทนต์เรียงเสมอเป็นอันดี
                  25. มีพระทนต์สนิทกันเป็นอันดี
                  26. มีพระเขี้ยวทั้ง 4 ขาวบริสุทธิ์ เป็นเงางาม
                  27. มีพระชิวหา (ลิ้น) อ่อนและกว้างยาวกว่าชนทั้งปวง
               28. มีพระสุรเสียงอันไพเราะ ประกอบด้วยองค์ 8 ประการ คือ เสียงสละสลวย รู้ได้ง่าย ไพเราะ น่าฟัง หยดย้อย ไม่แหบเครือ ลึกก้อง
                  29. มีดวงพระเนตร (ตา) ดำยิ่งนัก
                  30. มีดวงพระเนตรทั้งสองงามผ่องใส
                  31. มีพระอุณาโลมชาติ ขึ้นระหว่างพระขนง (คิ้ว) ทั้งสองกลางพระนลาฏ (หน้าผาก) เวียนเป็นทักขิณาวัฏ (เวียนขวา)
                  32. มีพระนลาฏและพระเศียร (ศีรษะ) งามบริบูรณ์

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.033683518568675 Mins