ประการที่ ๓ ขาดกำลัง

วันที่ 01 สค. พ.ศ.2567

2567_08_01_b.jpg

 

 

ประการที่ ๓ ขาดกำลัง



          ในตัวของแต่ละคนนั้น มีขุมกำลังอยู่หลายขุม บางทีเราอาจจะไม่ได้นึกถึง เรามาดูกันว่ามีขุมกำลังอะไรบ้าง


          ๑. กําลังกาย


          ๒. กำลังความรู้


          ๓. กำลังความสามารถ


          ๔. กำลังญาติ พรรคพวกเพื่อนฝูง


          ๕. กำลังความดีที่มีอยู่ในอดีต (เช่น เคยช่วยเหลือเจือจุนใครเอาไว้)
 


          แต่ละคนจะมีขุมกำลังอยู่ในตัวคนละหลายๆ ชุมปู่ย่าตาทวดสอนเอาไว้เลยว่า จะเป็นกำลังอะไรก็ตาม หากต้องใช้แล้ว....มันเหนื่อยทั้งสิ้น คิดนี่เหนื่อยไหม เหนื่อยซิ แม้ไม่ต้องแบกต้องหามก็เหนื่อย กว่าจะแก้ปัญหาแต่ละเรื่องได้ บางทีนอนไม่หลับเป็นเดือน จริงไหม ทุกเรื่องหากต้องใช้กำลังเมื่อไหร่ เหนื่อยทั้งนั้นแหละ ปู่ย่าตาทวดของเราจึงให้ข้อคิดเอาไว้ว่า ธรรมชาติของคนเราเหงื่อต้องออก คือ ถ้าใช้กำลังเมื่อไหร่เหงื่อต้องออก

 

            มีกำลังกาย...ก็ไม่อยากจะช่วยใคร
           มีกำลังความรู้....ก็เก็บเงียบ หวงวิชา
           มีกำลังความสามารถ... ก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
           มีกำลังญาติ พวกพ้อง....ก็ไม่ค่อยเอามาช่วยใคร



           คนประเภทนี้จัดเป็นประเภท เหงื่อหลบใน กลัวจะเหนื่อยไม่ช่วยใคร ใจคับแคบ พวกใจแคบนี่เหงื่อหลบในหมด ถึงคราวตัวเดือดร้อนขึ้นมาบ้าง ก็เลยไม่มีใครเขาใจกว้างด้วย เขาก็ใจแคบบ้างเหงื่อที่หลบในมันจะทะลักออกมาเป็นน้ำตาแทน วันนั้นคงร้องไห้คนเดียว ไม่มีใครเห็นใจ เพราะฉะนั้น ในการอยู่ร่วมกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้ว่า
 


            ๑. ให้หมั่นปรับปรุง พัฒนาความรู้ ความสามารถของเราให้ยิ่งๆขึ้นไปตลอดเวลา เป็นการเพิ่มพลังเก็บเอาไว้ในตัว



            ๒. ใจกว้าง พร้อมที่จะนำพลังเหล่านั้นเอามาช่วยทุกๆ คนที่เขาเดือดร้อน เปิดใจให้กว้างเอาไว้ก่อน



         แต่คนในโลกนี้มีลักษณะแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ มักจะเกี่ยงให้คนอื่นทำความดีกับเราก่อน แล้วถึงจะทำดีกับคนอื่นเป็นการตอบแทนภายหลัง ลองคิดดู ถ้าแม่ของเรานึกอย่างนี้บ้าง เราคงไม่ได้โตมาจนป่านนี้หรอก เคยทำอะไรให้แม่มั่ง เมื่อท่านคลอดเราออกมา แล้วเราเคยไปสัญญากับท่านหรือเปล่าว่าเมื่อเราโต เราจะเลี้ยงตอบแทนท่าน ก็เพราะท่านให้เราก่อนน่ะซิ ชาตินี้แม้เราจะเลี้ยงดูท่านกลับคืนก็ยังใช้ไม่ค่อยจะหมด
 


           เพราะฉะนั้น เราอย่าเป็นคนแล้งน้ำใจเลยนะ หัดโปรยน้ำใจให้คนอื่นเขาบ้างเถอะ แล้วต่อไปข้างหน้าจะเป็นพ่อคนทั้งเมืองจะเป็นแม่คนทั้งเมือง ถ้ามัวมาเกี่ยงอย่างนี้ละก็ ชาตินี้ไม่ต้องทำความดีกันเลย แม้ถึงเราลำบาก เขาไม่ช่วยเราก็ไม่เป็นไร คิดเสียว่ายืดเส้นยืดสายก็แล้วกัน เราติตัวเองไม่ได้ เราได้ทำดีที่สุดแล้ว ถ้าคิดอย่างนี้แล้วเราจะสบายอย่าหวงแรงนะ
 


           ถ้าฝืนคิดอย่างนี้แล้ว ยังทำใจไม่ได้อีก ท่านบอกว่าให้ดูต้นมะม่วงที่ขึ้นข้างหน้าบ้านเรา ถ้ามีมะม่วงต้นใหญ่เป็นโอบโตมา ๑๐ กว่าปีแล้ว แต่ไม่เคยให้ลูกเลย ถ้ามะม่วงต้นนั้นขึ้นที่บ้านคุณ คุณจะทํายังไง


               ๑. รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยเข้าไปอีก มันจะไม่ให้ลูกเลยก็ไม่ว่า


               ๒. เฉยๆ


               ๓. โค่นมันเสียเถอะ

 

               คุณจะทำยังไง? “รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยเข้าไปอีก” สาธุ ขอให้พ่อจำเริญๆยิ่งขึ้นไปอีกนะ



               มะม่วงต้นนี้ จะยังไม่โดนโค่น ถ้าผลประโยชน์ยังไม่ขัดกัน ต่อมามีมะม่วงต้นอื่นอีกต้นหนึ่งมาขึ้นอยู่ใกล้ๆ กันแล้วออกลูกให้กินทุกๆปี เราชักเริ่มคิดแล้วนี่ถ้ามะม่วงต้นนั้นไม่บังร่มมะม่วงต้นที่มีลูกป่านนี้มะม่วงต้นนี้คงลูกดกกว่านี้นะ ว่าแล้วก็โค่นมะม่วงต้นที่ไม่มีลูกทิ้ง



               เมื่อใดที่ผลประโยชน์ขัดกัน จะไม่มีใครไว้หน้าใคร อยู่ในที่ทำงานเดียวกัน หากไร้น้ำใจกันแล้ว จะไม่มีใครไว้หน้าใคร ก็ขอให้หว่านน้ำใจออกไปกันมากๆหน่อยแล้วเราจะอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุขความสุขสบายของมนุษย์ในหลายๆกรณีซื้อไม่ได้ด้วยเงินนะ ขอฝากพวกเราด้วย



                พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้ศัพท์ว่า อัตถะจริยา คือ บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ ถ้าพูดภาษาชาวบ้านเรียกว่า ไม่แล้งน้ำใจหรือมีน้ำใจ อยู่ที่ไหนไม่แล้งน้ำใจ หากแล้งน้ำใจกันแล้ว มันจะคล้ายต้นมะม่วงที่ปลูกมา ๑๐ ปีแล้วไม่มีลูก วันหลังก็จะถูกโค่นทิ้งเมื่อถึงตรงนี้แล้ว ที่เรามีความรู้สึกกับพรรคพวกว่า เพื่อนไม่เข้าใจเรา รวมทั้งไม่เข้าใจตัวเองด้วย ที่รู้สึกว่าอะไรมันวนๆอยู่ พบว่าเป็นเพราะขาดในสิ่งเหล่านี้ คือ ขาดตั้งแต่ทาน รวมทั้งนิสัยและมารยาทด้วย เพราะคนนิสัยดี มารยาทดี ก็เป็นทานอย่างหนึ่ง ขาดทั้ง ปิยะวาจา ขาดทั้ง อัตถะจริยา คือ ความพร้อมที่จะยื่นมือไปช่วยคนอื่น ถ้ามีพร้อมทั้ง ๓ ประการนี้แล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นแน่นอน

 

 

2567_08_01_1.jpg

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.029924515883128 Mins