นํ้าผึ้งหยดเดียว

วันที่ 14 สค. พ.ศ.2567

นํ้าผึ้งหยดเดียว

670814_b149.jpg

 

                 ชายบ้านนอกคนหนึ่งหาบน้ำผึ้งที่ใส่หม้อดินมาขายในตลาด มีคนเดินมาชนหาบของแก น้ำผึ้งจึงกระฉอกหกลงที่ถนน แกมิได้ว่าอะไร เดินขายเรื่อยไป พวกแมลงหวี่ได้กลิ่นน้ำผึ้ง จึงบินมากินน้ำผึ้ง ฝ่ายแมวที่อยู่ในบ้านใกล้ๆ จุดนั้น เห็นแมลงหวี่จับกลุ่มกินน้ำผึ้งอยู่ ก็ออกมาไล่ตะปบแมลงหวี่ สุนัขบ้านถัดไปเห็นแมวอยู่ที่ถนน จึงวิ่งออกจากบ้านมาไล่กัดแมว แมวรีบวิ่งหนีเข้าบ้าน สุนัขก็ไล่เห่าตามแมวไปจนถึงบ้าน

                 เจ้าของแมวเห็นสุนัขของคนข้างบ้านมาไล่กัดแมว จึงคว้าไม้วิ่งไล่ตีสุนัขด้วยความโกรธ สุนัขวิ่งไปทางตลาดเพื่อไปหาเจ้าของที่ขายของอยู่ที่ตลาด เจ้าของสุนัขเห็นเจ้าของแมวไล่สุนัขของตนมาจึงออกมาต่อว่า เจ้าของแมวก็ด่าตอบ หาว่าเลี้ยงสุนัขไม่ดีให้มาเที่ยวเพ่นพ่านกัดแมวของตน ลูกสาวเจ้าของสุนัขซึ่งนั่งขายของอยู่อีกด้านหนึ่งจึงออกมาร่วมวงด้วย
 

“พูดให้ดีนะ หมามันจะไปรู้เรื่องอะไร มันเห็นแมวที่เจ้าของมันไม่ดูแลให้ดี มันก็คงนึกว่าเป็นแมวจรจัด จึงไล่ฟัดเอา”
 

“เอ็งพูดให้ดีนะ ถือดีอย่างไรมาว่าแมวฉันว่า เป็นแมวจรจัด พ่อแม่ไม่สั่งสอน” เจ้าของแมวโต้ทันควัน
 

แม่ของเด็กทนไม่ไหวลุกออกจากแผงขายของตะโกนใส่หน้า “อ้าวๆ แกพูดได้ยังไงว่าฉันไม่ได้สั่งสอนลูกฉัน อย่างนี้มันต้องตบให้เสียให้เข็ด”
 

“แน่จริงก็ตบ” เจ้าของแมวท้า


                    เท่านั้นแหละไม่รู้มือใครถึงหน้าใครก่อน ต่างตบตีกันเป็นพัลวันลามปามไปทำให้หาบและแผงขายของของแม่ค้าอีกหลายคนพลอยโดนเหยียบโดนชนไปด้วย เจ้าของหาบเจ้าของแผงที่โดนชนข้าวของพืชผักที่วางขายเสียหายก็เลยร่วมวงไพบูลย์ด้วย ตลาดร้านค้าในตอนนั้นกลายเป็นเวทีมวยหมู่ย่อมๆ ขึ้นมาทันตาเห็น ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่มีใครห้ามใครได้แล้วน้ำผึ้งหยดเดียวแท้ๆ ไหงกลายเป็นอย่างนั้นไปได้เอ้า !


เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า

                    เรื่องหรือปัญหาที่เกิดขึ้นบางครั้งมาจากต้นตอเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะเรื่องการทะเลาะกัน การถกเถียงกัน หรือการร้องขอความเป็นธรรมด้วยการเดินขบวนบ้าง ด้วยการเขียนป้ายประท้วงบ้าง ด้วยการขึ้นเวทีปราศรัยบ้าง ถือว่ายังเป็นแค่เริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ลามปามมากนัก หากคู่กรณีหรือผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ยอมมาพบมาพูดคุยกัน ไม่ยอมมาไกล่เกลี่ยเพื่อให้เรื่องยุติ หรือเอาแต่พูดจาโต้ตอบท้าทายด้วยเห็นว่าเป็นพวกไร้น้ำยา เป็นพวกด้อยกว่า หรือคิดว่ามีจำนวนไม่มากสามารถรับมือได้ เรื่องก็อาจบานปลายลุกลามไปใหญ่ กลายเป็นข้อพิพาทที่หาทางยุติไม่ได้และอาจกลายเป็นศึกกลางเมืองไปก็ได้ ที่ถูกนั้นจึงหาทางประนีประนอม หาข้อยุติและตกลงกันในทางที่เหมาะที่ควรจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผู้ที่มองข้ามความสำคัญในข้อนี้ต้องเสียที่ต้องพบกับความปราชัยมามากต่อมากแล้ว เด็กๆ เล่นกันแล้วทะเลาะกันเป็นชนวนให้พ่อแม่ผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันก็มีอยู่ คนบ้านชิดติดกันต้องมาโกรธกันเพียงแค่กิ่งมะม่วงยื่นเข้าไปในเขตบ้านกันก็มีอยู่ และมีสังคมประเทศชาติในหลายแห่งต้องวุ่นวาย เกิดความโกลาหล เกิดการปะทะกันรุนแรง เสียหายไปทุกภาคส่วนอยู่บ่อยๆ ก็เพราะเรื่องแบบน้ำผึ้งหยดเดียวนี่แหละ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0014038364092509 Mins