พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับนิมนต์
เมื่อมหาทุคตะเดินมาถึงพระคันธกุฎีก็เห็นบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างมารอรับบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่พระราชากับเหล่าเสนาบดี มหาเศรษฐีทั้งหลายเรียงรายกันเต็มไปหมด และตามมาด้วยมหาทุคตะอยู่ท้ายแถว
เมื่อพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปิดพระทวาร (ประตู) พระคันธกุฎี และตรัสว่า “เปิดทางให้มหาทุคตะ” สิ้นพระสุรเสียงของพระองค์ ทุกคนต่างก็เปิดทางเป็นแถวเลย มหาทุคตะเดินร้องห่มร้องไห้เข้าไปกราบที่พระบาท แล้วกราบทูลว่า “ข้าพระองค์เป็นผู้ที่ยากจนที่สุดในเมือง ไม่มีใครที่จะยากจนยิ่งไปกว่าข้าพระองค์อีกแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสงเคราะห์ข้าพระองค์ด้วยเถิด”
พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอหยุดร้องไห้เถอะ รับบาตรของเราไป” เมื่อพระพุทธองค์ทรงมอบบาตรให้เท่านั้น น้ำตาก็แห้งเหือดหายไปเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเบิกบาน เขาเดินประคองบาตรพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างองอาจผึ่งผาย ท่ามกลางเศรษฐีเสนาบดี ปุโรหิต ทหารรักษาพระองค์และพระราชา
จากนั้น ได้เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นตลอดทั้งสองข้างทาง เนื่องจากมีผู้ร้องขอมหาทุคตะว่า “ส่งบาตรมาให้เราเถอะ เราขอแลกด้วยทรัพย์ก็แล้วกัน” เหล่าพระราชา มหาเศรษฐี ต่างขอเอาทรัพย์แลกกับบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเสนอราคาไปถึงหลักแสนกหาปณะ เสียงเรียกเหล่านี้จึงเซ็งแซ่อื้ออึงไปหมด
ทางฝ่ายมหาทุคตะนั้น ถือบาตรอย่างองอาจ เดินยิ้มกล่าวปฏิเสธไปตลอดทาง ไม่ส่งบาตรให้ใครเลย ถึงตนเองจะยากจน แต่ก็ไม่หวั่นไหวแม้จะมีใครมาเสนอทรัพย์สินเงินทองให้มากมายเพียงใดก็ตาม เพราะเขามีดวงปัญญาพิจารณาได้ว่า เงินของบุคคลอื่นที่จะมาแลกกับการทำทานในครั้งนี้สามารถช่วยให้พ้นความยากจนได้เพียงชาตินี้เท่านั้น แต่หากมองการณ์ไกลข้ามไปอีกหลายภพหลายชาติ ผลบุญจากการสร้างมหาทานบารมีกับเนื้อนาบุญอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดลบันดาลให้เขามีความสุขไปทุกภพทุกชาติยิ่งเมื่อได้รับบาตรจากพระหัตถ์ของพระองค์ด้วยมือตน ก็ยิ่งทวีความปลาบปลื้มใจยิ่งนัก ระหว่างที่เดินทางไปยังบ้านนั้น มหาทุคตะมีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในจิตใจตลอดเวลา จนไม่ได้ยินเสียงอื่นใดเลย
พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จตามหลังมหาทุคตะไปเรื่อยๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านของมหาทุคตะ ส่วนพระราชาก็ทรงเป็นกังวลว่า ภัตตาหารที่มหาทุคตะจะถวายนั้นไม่ประณีต ไม่ควรถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรับสั่งให้ข้าราชบริพารเตรียมภัตตาหารเผื่อเอาไว้ที่พระราชนิเวศน์ด้วย
เมื่อเดินทางไปถึงบ้านของมหาทุคตะแล้ว พระราชาซึ่งเสด็จตามไปพร้อมกับข้าราชบริพาร ตั้งใจว่าจะรีบเข้าไปที่บ้านของมหาทุคตะ เพื่อทรงสำรวจดูภัตตาหารที่จะถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียก่อน
บ้านของมหาทุคตะเป็นกระต๊อบหลังเล็กๆ ใครก็ตามที่จะเข้าบ้านมหาทุคตะต่างต้องก้มหัวลอดผ่านบริเวณประตูเตี้ยๆ เพื่อเข้าไปในบ้านของเขา แต่ด้วยพุทธานุภาพ ประตูกระต๊อบยืดสูงขึ้นเองพระองค์จึงทรงสามารถเสด็จเข้าไปอย่างสง่างามโดยไม่ต้องก้มพระเศียรเลยพระราชาก็เสด็จตามหลังเข้าไปด้วยภายในบ้านของมหาทุคตะนั้น พระอินทร์ในร่างจำแลงได้จัดแจงปูอาสนะพร้อมกับจัดเตรียมภัตตาหารเอาไว้เรียบร้อยแล้ว