เรื่องที่ ๒ เขมาหลงรูป

วันที่ 30 สค. พ.ศ.2567

2567_08_30_b_03.jpg

 

 

เรื่องที่ ๒

เขมาหลงรูป



              ในสมัยพุทธกาล อัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ที่เมืองราชคฤห์ ชื่อ เขมา เขมาเป็นคนสวยงามมาก น่าเสียดายว่าความสวยของนางสร้างปัญหา คือ สวยแล้วก็หลงในความสวยงามตัวเองสวยอย่างเดียวไม่พอ ต้องสวยที่สุดเหมือนในเทพนิยายของฝรั่ง จะขอพูดเป็นภาษาอังกฤษ


"Mirror Mirror on the wall who is the fairest of them all?"
“กระจกวิเศษ บอกข้าฯ เถิด ใครสวยเลิศในปฐพี”
คือนางไม่ได้ถามว่า “กระจกวิเศษ บอกข้าฯ เถิด ข้าสวยงามไหม?”
แต่ต้องถามว่า “ข้าฯ สวย ที่สุดในโลก ใช่ไหม?” จึงจะพอใจ
พอทราบว่านางไม่ได้สวยที่สุด แต่มีคนอื่น
คือ Snow White สวยกว่า ทนไม่ได้เลย
คนในประเทศอาจจะหลายล้านคน แต่ว่ามีคนสวยกว่าแค่คนเดียว ไม่ไหวแล้ว !

 

2567_08_30_03.png

 

          ทีนี้เขมาก็เป็นอย่างนั้นพระเจ้าพิมพิสารเองก็ไม่ค่อยพอใจพระมเหสีอยู่ในเรื่องนี้ คือ พอใจว่ามีภรรยาที่สวยงามก็จริง แต่ว่าท่านเป็นพระโสดาบัน เป็นอัครอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า ภาพพจน์ก็ดูไม่ดี เพราะพระมเหสีไม่ยอมเข้าวัด


          พระเจ้าพิมพิสารคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี ชวนอย่างไรก็ไม่ยอมไป ทำไมไม่ยอมไป เพราะได้ยินว่าพระพุทธเจ้าชอบสอนเรื่องอสุภะ เรื่องของไม่สวยไม่งาม ไม่อยากฟัง รู้สึกจะไม่ถูกจริตนิสัยเลยไม่ยอมเข้าวัด

       ในที่สุดพระสวามีก็คิดได้ พระโสดาบันต้องมีปัญญา เรียกพวกกวีมาให้แต่งกลอน พรรณนาความสวยงามของเวฬุวนาราม ให้นักดนตรีแต่งเป็นเพลงแล้วต้องไปดีดพิณ ร้องเพลง โอ้ เวฬุวันสวยงามอย่างนั้นอย่างนี้ พอเขมาได้ยินแล้วเกิดความอยาก อยากไปดู อยากไปชม ก็เลยไปขออนุญาตสามี สามีก็เห็นด้วย

 

2567_08_30_04.png


              พระเจ้าพิมพิสารสั่งลูกน้องเอาไว้ พอเข้าไปในป่าในราชอุทยานแล้ว พอเขมาทราบว่าเขตสงฆ์อยู่ทางโน้น ก็ชวนมาดูทางอื่น ชมเสร็จก็จะชวนกลับ เหนื่อยแล้ว แต่ว่าลูกน้องไม่เหนื่อย บอกว่าไม่ได้ๆ จะต้องไปกราบพระพุทธเจ้าก่อน ถ้าเข้ามาในราชอุทยานเวฬุวัน ไม่กราบเจ้าอาวาส ไม่กราบพระพุทธเจ้านี่น่าเกลียด เป็นบาปเป็นกรรมเลยเชิญชวนกึ่งบังคับให้เขมาไปกราบพระพุทธเจ้า นางเขมาไม่พอใจเลย


               พอพระพุทธเจ้าเห็นเขมาเดินเข้ามา พระองค์ก็เนรมิตรูปผู้หญิงขึ้นมา สวยงามมาก ของเนรมิตจะต้องสวยกว่าของจริงแน่นอน ใช่ไหม ยิ่งพระพุทธเจ้าเป็นผู้เนรมิต ไม่ต้องสงสัย นี่อาตมาอาจจะผิดก็ได้ในเรื่องนี้ ถ้าโยมผู้หญิงไม่เห็นด้วย บอกได้นะ เพราะเป็นการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับผู้หญิง


                    เปรียบเป็นการวิจารณ์ผู้หญิงว่าเหมือนมีคอมพิวเตอร์อยู่ในสมองแค่พอเห็นผู้หญิงคนอื่น ปั๊บ เหมือนมีข้อมูลขึ้นในจอคอมพิวเตอร์หมดเลย ผมเป็นยังไง หน้าตาเป็นยังไง เสื้อผ้าเป็นยังไง ยี่ห้ออะไร กระเป๋าเป็นยังไง รองเท้าเป็นยังไง ติ๊ด ติ๊ด! ติ๊ด! ภายใน 1 ส่วนของวินาที เร็วกว่าซุปเปอร์คอมพิวเตอร์เสียอีก จริงหรือเปล่า?


                     เขมาเห็นผู้หญิงคนนี้ เธอไม่ใช่เพียงแค่เข้าวัดก่อน แต่ก็ยังนั่งสงบเสงี่ยมถวายงานพัดให้แก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ้โห จิตใจมันเหมือนกับมีดมาแทงใจ ตาร้อนขึ้นมาทันที

       
    ประการหนึ่งที่ทนไม่ได้ก็คือ ผู้หญิงคนนี้สวยกว่าเรา ต้องยอมรับ สมัยนั้นก็มีคอมพิวเตอร์เหมือนกัน ดูทีเดียวต้องยอมรับสวยกว่าเรา นอกจากสวยกว่าแล้วก็ยังเข้าวัด ยังใกล้ชิดยังถวายงานพัดให้กับพระพุทธองค์ อิจฉา แต่ว่าต้องยอมรับว่าสวยจริง คือไม่รู้ว่าเป็นของเนรมิต


                    พอเขมาได้เห็นสาวสวยนี้แล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงเนรมิตให้ผู้หญิงเปลี่ยนจากอยู่ในปฐมวัยเปลี่ยนเข้าสู่มัชฌิมวัย จากมัชฌิมวัยเปลี่ยนสู่ปัจฉิมวัย ผมหงอก หนังเหี่ยวย่น ฟันหัก แก่ลงทันตาเห็น

 

2567_08_30_05.JPG

           

                 ทุกวันนี้ก็คงจะทำได้ ใช้วิธีทางเทคโนโลยี เราอาจจะเคยเห็น เห็นดอกไม้ผุดขึ้นมาบานแล้วก็เหี่ยว แต่สมัยพระพุทธเจ้าท่านเก่งกว่า ท่านทำให้เห็นตั้งแต่เป็นผู้หญิงสาวรุ่นสวยแต่เสร็จแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ว่าแก่ลงไปแล้วเท่านั้น ล้มตายไปเลย


                 เขมาเห็นแล้วเกิดปัญญา เกิดปัญญาว่าแม้คนที่สวยกว่าเราก็ยังเป็นอย่างนี้ได้ แล้วก็โอปนยิโก คือน้อมระลึกเข้ามา วันใดวันหนึ่งเราจะต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เกิดปัญญาแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันในขณะนั้น

           
      พระพุทธองค์ตรัสตอนนั้นว่า คนที่หลงความสวยงามเหมือนแมงมุมที่ติดอยู่ในข่ายใหญ่ของตัวเอง สร้างขึ้นมาเอง หลงเอง ทุกข์เอง หลังจากนั้นเขมาออกบวชเป็นภิกษุณี แล้วเป็นอัครสาวกฝ่ายภิกษุณีในด้านปัญญา คู่กับพระสารีบุตร เป็นผู้มีปัญญามาก

 

             เรื่องนี้สอนอะไรน่าสนใจหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งก็คือความแตกต่างระหว่างความเป็นอัครมเหสีหลงใหลในความสวยงาม กับการเป็นพระโสดาบัน ระยะทางต่างกันนิดเดียวเห็นไหม แสดงว่าพร้อมที่จะปล่อยวางได้ พอได้ฟังพระสัทธรรม พอเจอกัลยาณมิตรสามารถปล่อยวางได้ แล้วก็ไม่ใช่เพียงแค่นั้น กลายเป็นอัครสาวกทางด้านปัญญาด้วย


            ท้ายนี้ขอแทรกข้อคิดอย่างหนึ่ง อาตมามีความรู้สึก เป็นความรู้สึกของพระ โยมอาจจะไม่เห็นด้วย แต่อาตมาจะใจไม่ดี เมื่อเห็นพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ชมเด็กสาวว่าสวย อาตมาคิดว่าเป็นการบ่อนทำลายสติปัญญาของเด็กผู้หญิงมาก ทำให้เขาเชื่อตั้งแต่เล็กเลยตั้งแต่ ๑ ขวบขึ้นไป ว่าคุณค่าชีวิตเขาอยู่ที่หน้าตา อยู่ที่ร่างกายเขา โอ้ สวยเหลือเกิน โอ้ สวยน่ารัก โอ้ แต่งตัว อย่างนี้สวยนะ

                 ลองคำนวณดู เด็กผู้หญิง ๑๐ ปีแรก ๑๕, ๒๐ ปี เคยฟังคำนี้กี่ร้อยครั้ง กี่พันครั้ง กี่หมื่นครั้งถึงเด็กไม่สวยก็ยังต้องฟัง ! มันเป็นการล้างสมองเด็ก แต่ด้วยน้ำที่ไม่สะอาด ถ้าล้างแล้วก็ควรจะสะอาดขึ้น แต่มันกลับทำให้สกปรกมากขึ้น


                 นี่แหละจึงเป็นเหตุให้ผู้หญิงหลงเรื่องนี้มากเหลือเกิน ทุกคนต้องช่วยกัน การไปชมเด็กๆ ว่าสวยอยู่บ่อยๆ น่าจะมีส่วนส่งเสริมความเสื่อมสติปัญญาของสตรี ขอฝากไว้ด้วย

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.024389735857646 Mins