ได้กับเสีย
มีครอบครัวหนึ่งอยู่ในฐานะมีอันจะกิน ประกอบด้วยพ่อแม่และลูกชายโทนซึ่งกำลังอยู่ในวัยรุ่น ครอบครัวนี้มีม้าหนุ่มอยู่ตัวหนึ่งซึ่งเป็นที่โปรดปรานของทุกคนโดยเฉพาะลูกชาย เพราะเป็นทั้งเพื่อนและเป็นพาหนะสําหรับขี่เล่น ต่อมาวันหนึ่งม้าตัวนั้นเกิดหายไปจากคอก ลูกเมียต่างเสียใจร้องไห้กันระงม เสียดายม้า แต่พ่อบ้านกลับเฉยแถมยังห้ามปรามลูกเมียไม่ให้โวยวายกันอีก
“เออน่ะ ถ้ามันไปแล้วก็ให้มันไป จะไปเสียใจอะไรนักหนาเล่าไม่แน่หรอกนะ การที่เราเสียอะไรไป เราอาจจะได้อะไรดีๆ ตอบแทนก็ได้ เพราะได้กับเสียเป็นของคู่กันอยู่” ลูกเมียก็จำต้องนิ่งเพราะพ่อบ้านไม่เล่นบทโศกตามพวกตนไป ต่อมาไม่นานม้าตัวนั้นก็กลับมา แต่มันมิได้มาตัวเดียว ได้พาเอาม้าเพศเมียและลูกม้าอีกตัวหนึ่งมาด้วย ที่มันหายไปเพราะมันไปติดพันม้าป่าตัวเมียอยู่ ลูกเมียเห็นเช่นนั้นก็ดีใจกันยกใหญ่ เพราะได้ลาภลอยสองสามชั้นทีเดียว
“เพลาๆ กันบ้าง อย่าดีใจกันนักเลย ของที่เราได้มา ด้วยคิดว่ามันเป็นลาภลอยนั้นมันอาจนำทุกขลาภความเดือดร้อนมาให้เราก็ได้”
พ่อบ้านเตือนสติแบบคนที่รู้เรื่องโลกธรรมดี แม่บ้านค้อนสามวงใหญ่แต่ยอมนิ่งเพราะไม่รู้จะเถียงไปทำไม สู้เก็บความหงุดหงิดรำคาญไว้ในใจดีกว่า จะได้ไม่โต้เถียงกันในเรื่องที่ยังไม่มาถึง วันหนึ่งลูกชายเกิดอยากขี่ม้าเพศเมียที่ม้าหนุ่มของตนพามาจากป่า จึงเข้าไปจับเข้าบังเหียนแล้วพยายามขึ้น เนื่องจากม้าตัวนั้นไม่เคยฝึกให้คนขี่มาก่อนเพราะเป็นม้าป่า มันจึงสะบัดเขา จนเขากระเด็น ปรากฏว่า เขาถึงกับขาหักร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ผู้เป็นแม่ถึงกับหลั่งน้ำตาเสียใจที่ลูกชายต้องมาพิการ เพราะม้าที่ได้มา เป็นทุกขลาภจริงๆ อย่างสามีว่า ส่วนผู้เป็นพ่อกลับพูดแบบเดิมว่า
“อย่าเสียใจไปนักเลยแม่ พ่อบอกแล้วว่าคนเรามันไม่โชคดีหรือโชคร้ายตลอดไปดอก การที่ลูกเราพิการไปนี่อาจนำโชคดีมาให้ในภายหลังก็ได้”
“โชคดีกะผีอะไร ลูกขาหักทั้งคนจะให้โชคดีได้อย่างไร” ผู้เป็นภรรยาคิด แต่ไม่กล้าพูดออกมา ต่อมามีข้าศึกมาประชิดพระนคร ทหารที่มีอยู่ออกไปต่อสู้กับข้าศึกแต่สู้ไม่ได้ล้มตายไปจำนวนมาก จึงต้องเกณฑ์ทหารออกไปรบเป็นการใหญ่ ชายหนุ่มทุกคนถูกเกณฑ์ไปฝึกเป็นทหารแล้วส่งออกไปรบ แต่ลูกชายของครอบครัวนี้ได้รับการยกเว้นเพราะขาพิการ จึงไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ปรากฏว่าพวกหนุ่มๆ ที่ถูกเกณฑ์ไปรบนั้น พลาดท่าเสียที่ข้าศึกถูกฆ่าตายหมดเพราะไม่ชำนาญในการรบ เนื่องจากฝึกรบได้ไม่กี่วันก็เข้าสนามรบ พ่อแม่พี่น้องของทหารเหล่านั้นต่างเสียใจให้กันทั้งเมืองเพราะเสียลูกหลานไป แต่แม่ของลูกชายที่พิการกลับดีใจและพูดกับสามีว่า “ดีนะพ่อที่ลูกของเราพิการ จึงไม่ต้องไปรบ ไม่อย่างนั้นเราอาจเสียลูกชายไปแล้วเหมือนคนอื่นก็ได้”
สามีจึงตอบว่า “ก็พ่อบอกแล้วไงว่าความพิการของลูกเรา อาจนำโชคดีมาให้ก็ได้ แล้วจริงไหมเล่า เราไม่ต้องเสียลูกชายเพราะความพิการของเขาใช่ไหม” ภรรยาก็ได้แต่นิ่งไม่รู้จะโต้ว่าอย่างไร เพราะสามีพูดถูกทุกอย่างมาโดยตลอด.
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า
โลกธรรมคือเรื่องของชาวโลก ซึ่งได้แก่การได้ลาภ การเสื่อมลาภ การได้ยศ การเสื่อมยศ ความสุข ความทุกข์ การนินทา และการสรรเสริญ เป็นเรื่องที่หมุนเวียนเปลี่ยนเข้ามาในวิถีชีวิตของทุกคน คนที่ลอยเตลิดไปตามโลกธรรม เช่นเมื่อได้ส่วนที่ดีก็ดีใจและหลงระเริงเหลิงติดอยู่ เมื่อได้ส่วนที่ไม่ดีกเสียใจ ผิดหวัง และดิ้นรนอยากให้พ้นไป ย่อมจะถูกอิทธิพลแห่งโลกธรรมครอบงำ ทำให้แสดงอาการขึ้นๆ ลงๆ อยู่เสมอเหมือนว่าวที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้า แต่ข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครที่ได้ตลอดไป โดยไม่เสียอะไรเลย และไม่มีใครที่เสียตลอดไป โดยไม่ได้อะไรเลย เพราะโลกธรรมนั้น ไม่คงที่แน่นอน ไม่ยั่งยืน แปรเปลี่ยนกลับไปกลับมาอยู่เรื่อยๆ คนที่ทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ได้อย่างถ่องแท้ย่อมไม่ถูกครอบงำ ด้วยอิทธิพลของโลกธรรม โดยไม่ดีใจ ไม่เสียใจจนเกินเหตุ สามารถทำใจ ปลงใจ และวางเฉยได้ ฝึกให้เคยชินกับโลกธรรมไว้เสมอ ก็จะอยู่กับโลกธรรม ทั้งส่วนที่ดี และส่วนที่ไม่ดี ได้อย่างปกติสุข