เรื่องที่ ๒
พระไม่เสียสัจจะและรักษาประโยชน์ส่วนรวม
เจ้าอาวาสรูปหนึ่ง มีลูกศิษย์เป็นนักเลงสองพี่น้อง สองคนนี้ยุ่งกับ เรื่อง การค้ายาเสพติด เรื่อง การพนัน เรื่อง อบายมุข สารพัด แต่เนื่องจากว่าเป็นนักเลงไทยๆ เมื่อทำความชั่วแล้วก็ต้องไปทำบุญบ้าง ไปวัดไปถวายสังฆทานและช่วยบำเพ็ญสาธารณประโยชน์บ้าง สร้างโบสถ์บ้างกลายเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อวัด ที่สำคัญ คือ ช่วยสร้างโรงเรียนวันอาทิตย์ด้วย และบริจาคมูลนิธิในชุมชน มูลนิธิเด็กอนาถา เด็กพิการ เขาบริจาคหมดเลย กลายเป็นคนที่ทำบุญมากที่สุดในอำเภอนั้น เจ้าอาวาสเองก็ไม่ค่อยสบายใจ แต่ว่าต้องอดทนไป
วันหนึ่ง นักเลงผู้พี่ถูกเขายิงตาย พระเครื่องแขวนห้อยคอเต็มไปหมดก็ยังตาย เขาเอาศพไปไว้ที่วัด นักเลงคนน้องทุกข์มาก เศร้ามาก เขาไปหาพระเจ้าอาวาส ไปถึงก็กราบเรียนท่าน
“พระอาจารย์ครับ พรุ่งนี้ท่านเทศน์หน้าศพ ผมขอร้องให้ท่านกล่าวยกย่องชื่นชมพี่ชายผมด้วยนะครับ ว่าเป็นคนใจบุญ ดีทุกอย่าง ดีบริสุทธิ์ทุกอย่างนะครับ ขออย่าไปพูดถึงความไม่ดีของพี่ผม ไหนๆ เขาก็เสียชีวิตไปแล้ว และเราก็ทำบุญให้กับวัดมามากแล้ว” นักเลงผู้น้องขอร้องแกมบังคับเจ้าอาวาส และยังลำเลิกบุญคุณกับพระอีกด้วย
“ผมอยากจะให้ท่านอาจารย์สรรเสริญ ผมว่าในบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย คนนี้ดีที่สุด เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องที่สุด” นักเลงผู้น้องกล่าวหลายครั้ง
พระอาจารย์บอกว่า “อาตมาพูดอย่างนั้นไม่ได้หรอก ผิดศีล เป็นการกล่าวคำเท็จ เป็นมุสาวาท”
“ท่านอาจารย์ดูถูกพี่ผม ถ้าท่านอาจารย์ไม่พูดอย่างที่ผมขอนะ เรื่องบริจาคโรงเรียนเด็กพิการนี่ หยุด มูลนิธิเด็กอนาถา หยุด โรงเรียนวันอาทิตย์ หยุด ถวายสังฆทาน หยุดทุกอย่างหยุดหมด ไม่เอาอีกแล้ว !!” เขาพูดจาข่มขู่พระ อารมณ์เสียขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าอาวาสต้องคิดหนัก ! ท่านก็ยังไม่พูดอะไร ที่จะไปตอบโต้กับนักเลงผู้น้อง กลับไปคิดต่อนั่งสมาธิช่วย ก็ยังไม่ค่อยสงบ จะเอายังไงดี
ถ้าพูดว่าเขาเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง นี่บาปแน่ ไม่ถูกต้อง พูดต่อหน้าคนด้วย คนฟังแล้วก็จะดูถูกผู้ตาย บาปก็บาป แต่ไม่ใช่ "ปาราชิก" แค่ "ปาจิตตีย์" ก็ชำระไม่ยากเกินไป
แต่คิดดูอีกทีมันจะคุ้มไหมหนอ ตัวท่านเองจะต้องบาป หรือจะเป็นพระโพธิสัตว์ ยอมบาปเพื่อช่วยโรงเรียนเด็กพิการ เด็กอนาถาต่างๆ นึกถึงเด็กพิการแล้วน้ำตาไหล โอ้ ถ้าเรายึดหลักการเด็ดเดี่ยว เราก็จะทำให้เด็กพิการหมดที่พึ่ง เป็นการเห็นแก่ตัวหรือเปล่า รักษาศีลของตัวเองให้บริสุทธิ์ แต่ทำให้คนอื่นลำบาก โอ้ย คิดอยู่ทั้งคืน !!
ในที่สุด วันรุ่งขึ้น วันงาน คนมาเต็ม พวกข้าราชการก็มา พ่อค้าก็มา มาเต็มวัด เจ้าอาวาสขึ้นธรรมาสน์ ท่านก็เทศน์ เทศน์ถึง เรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตอนสรุปก็บอกว่า
“สำหรับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วคนนี้ อาตมาต้องยอมรับว่า เป็นคนไม่ดี เป็นคนยุ่งกับ เรื่อง การค้ายาเสพติด เรื่อง อบายมุขต่างๆ เป็นผู้ที่สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนแก่เพื่อนมนุษย์เป็นอันมากชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความประมาท อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับน้องชายของเขา ชีวิตของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วถือว่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง !!”
เจ้าอาวาสไม่เสียสัจจะ ! ท่านพูดตามที่นักเลงผู้น้องขอร้อง คือ ให้บอกว่าพี่เขาเป็นคนผุดผ่องนี่ คือ ผุดผ่องเมื่อเทียบกับน้องชาย คือท่านเจ้าอาวาสรักษาศีลด้วย คือ พูดความจริง ไม่เสียสัจจะแล้วก็ รักษาโรงเรียน เด็กพิการ เด็กอนาถา ไว้ได้
นี่เป็นนิทานนะ ในความเป็นจริง ไม่รู้ว่าจะไปเข้าศาสนาอื่นไปแล้วหรือเปล่า สำหรับน้องชายนี่ ก็ยกพอเป็นตัวอย่างว่า บางทีต้องคิดหนักมากๆ เหมือนกัน แต่ทำอย่างไร เราจึงจะไม่เสียหลักการของตัวเอง บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ศีลเราไม่เสีย เราต้องพยายามใช้สติปัญญาในชีวิตประจำวันมีสติรู้ตัว รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา รู้ตัวแล้วจะรู้อะไร รู้ตัว ก็คือ รู้บาปบุญคุณโทษ รู้ความเศร้าหมอง รู้ความผ่องใส มันจะเกิดความเชื่อในกฎแห่งกรรม