วิสาขามหาอุบาสิกา
ตอนที่ ๑๑ ข้อขัดแย้ง
นางวิสาขาเข้าสู่พิธีอาวาหมงคลด้วยเกียรติอันยิ่งใหญ่ การต้อนรับทางกรุงสาวัตถีนั้นมโหฬารเหลือคณา แต่บังเอิญตระกูลของปุณณวัฒนกุมารนั้นมิได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่นับถืออเจลกะหรือนักบวชชีเปลือย มักจะเชื้อเชิญนักบวชผู้ไม่นุ่งห่มอะไรมาเลี้ยงภัตตาหารเสมอ ครั้นนางวิสาขาออกมาเห็นนักบวชเหล่านั้นแล้ว ให้รู้สึกกระดากใจเป็นล้นพ้นจนไม่สามารถออกมากราบไหว้และเลี้ยงสมณะที่มิคารเศรษฐี บิดาของสามีเลื่อมใสได้ กล่าวแก่บิดาว่า “ข้าแต่พ่อ นักบวชผู้ไม่มีความละอายเหล่านี้ หาได้ชื่อว่าเป็น พระอรหันต์ แต่ประการใดไม่ ”
ว่าแล้วนางวิสาขาก็กลับออกไป พวกอเจลกะเห็นอาการของนางวิสาขาแล้ว จึงกล่าวติเตียนมิคารเศรษฐีเป็นเสียงเดียวกันว่า “ดูก่อนคฤหบดี ท่านหาหญิงอื่นไม่ได้แล้วหรือ จึงให้สาวิกาของพระสมณโคดม ผู้เป็นหญิงกาลกิณีเช่นนี้มาเป็นสะใภ้ ขอท่านจงขับไล่นางไปเสียเถิด ”
ฝ่ายมิคารเศรษฐีได้ฟังคำต่อว่าของเหล่านักบวชที่ตนนับถือเช่นนี้ ให้รู้สึกหนักใจเหลือประมาณ ส่วนสะใภ้หรือก็เป็นหญิงที่มาจากตระกูลใหญ่ ไม่สามารถขับไล่นางออกไปด้วยคำพูดเพียงเท่านี้ได้ จึงกล่าวขอโทษนักบวชเหล่านั้นและขอร้องไม่ให้ถือสาหาความกับเด็กที่ไม่รู้ภาษาเลย บรรดาอเจลกะทั้งหลายจึงคลายโทสะลง มิคารเศรษฐีนึกตำหนิลูกสะใภ้อยู่ในใจ แต่มิอาจทำกระไรได้ เพราะทั้งตัวนางวิสาขาเองและทุกคนในครอบครัวของนางล้วนมีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเป็นทุนเดิม มาตั้งแต่รุ่นปู่ คือท่านเมณฑกเศรษฐี ไม่เคยเปลี่ยนแปรเป็นอื่น เรื่องนี้เป็นความยุ่งยากในครอบครัวประการเดียวที่ยังแก้ไม่ตก
วันหนึ่งเวลาเช้า พระภิกษุรูปหนึ่งออกบิณฑบาตมาทางเรือนของมิคารเศรษฐี เวลานั้นนางวิสาขากำลังปฏิบัติบำรุงบิดาแห่งสามีซึ่งนั่งบนตั่งอัญมณีอันวิจิตรมีราคาแพงมาก กำลังบริโภคข้าวมธุปายาสที่มีน้ำน้อยในถาดทองคำอยู่ ครั้นเมื่อพระภิกษุมายืนอยู่หน้าประตูเรือนตามอริยตันติแบบอย่างของพระอริยะ เศรษฐีแม้มองเห็นแล้วแต่ทำเฉยเสีย แกล้งทำเป็นไม่เห็น แล้วหันหน้าเข้าฝาเรือนบริโภคอย่างไม่สนใจ
นางวิสาขาเห็นพระภิกษุมารับบิณฑบาตให้รู้สึกดีใจเหลือประมาณ จึงหาอุบายให้พ่อสามีมองไปทางประตูเรือนด้วยคำกล่าวต่างๆ นานา เช่นว่า
“ท่านบิดา ดูซุ้มประตูนั่นสิค่ะ เถาวัลย์มันเลื้อยรุงรังเหลือเกินแล้ว ยังไม่มีเวลาให้คนใช้ทำให้เรียบร้อยเลย ”
“ช่างมันเถิด ไว้อย่างนั้นก็สวยดี ” เศรษฐีพูดโดยมิได้มองนางวิสาขา หรือเหลียวไปดูที่ซุ้มประตูเลย
“ท่านบิดา ดูนกตัวนั้นสิค่ะ สีมันสวยจริงๆ เกาะอยู่ที่ริมรั้วใกล้ซุ้มประตูนั่นแนะ ”
“เออ พ่อเห็นแล้ว เห็นมันจับอยู่เสมอจนพ่อเบื่อที่ดูมัน ” เศรษฐียังคงก้มหน้าบริโภคต่อไป
เมื่อนางวิสาขาเห็นว่าหมดหนทางที่จะให้บิดาของสามีเห็นพระภิกษุอย่างถนัดได้ จึงเดินไปที่ซุ้มประตู กล่าวกับภิกษุรูปนั้นว่า “ นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิดพระคุณเจ้า ท่านมิคาระกำลังบริโภคของเก่าอยู่ ”
เพียงเท่านี้ เรื่องได้ลุกลามใหญ่โต เศรษฐีหยุดรับประทานอาหารทันที ตวาดนางวิสาขาด้วยอารมณ์โกรธ “ วิสาขา เธออวดดีอย่างไร จึงบังอาจพูดว่าเรากินของเก่าไม่สะอาด มีเรื่องหลายเรื่องที่เราเห็นเธอและบิดาของเธอทำไม่สมควร ต่อแต่นี้ไปเธออย่าได้อาศัยอยู่ในบ้านของเราอีกเลย ขอให้เตรียมตัวกลับไปบ้านของเธอได้ ” เศรษฐีพูดเท่านี้แล้วก็ลุกขึ้นให้คนไปตามพราหมณ์พี่เลี้ยงของนางมา แล้วบอกให้พราหมณ์นำนางวิสาขากลับไป
พราหมณ์ทราบความแล้วเดือดร้อนใจเป็นหนักหนา รีบเข้าพบนางวิสาขา ถามด้วยจิตกังวลว่า
“แม่เจ้า มีเรื่องอะไรรุนแรงนักหรือ ท่านมิคาระจึงให้ส่งแม่เจ้ากลับเมืองสาเกต ”
“ดูก่อนพราหมณ์ ” นางวิสาขาพูดอย่างเยือกเย็นปราศจากความสะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น
“เมื่อข้าพเจ้ามาก็มาด้วยเกียรติอันใหญ่หลวง มีข้าทาสบริวารเป็นเรือนหมื่น เมื่อถึงคราวกลับไป จะกลับไปอย่างไร้ญาติขาดที่พึ่งหาควรแก่ข้าพเจ้าไม่ เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าอยากให้เรื่องนี้ได้รับการพิจารณาเสียก่อน เมื่อเป็นที่แน่นอนว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ถูกหรือผิดก็ตาม ข้าพเจ้าจะขอลาไป และไปอย่างมีเกียรติอย่างคราวที่มา ”
พราหมณ์ได้นำนางวิสาขาเข้าพบท่านเศรษฐีเพื่อซักฟอกความผิดให้เห็นแจ้ง มิคารเศรษฐีนั่งหน้าถมึงทึงมีอาการเกรี้ยวกราดฉายชัดอยู่ทั้งใบหน้าและแววตา
“มีอะไรอีก พราหมณ์ ” เศรษฐีตั้งคำถามกระชากๆ
“ข้าแต่ท่านเศรษฐี แม่เจ้ายังไม่ทราบความผิดของตนว่าได้กระทำความผิดประการใด จึงให้กลับ ”
“ความผิดประการใด ” เศรษฐีทวนคำ “ ก็การที่เธอบังอาจว่าเรากินของเก่าสกปรกน่ะ ยังไม่ผิดอีกหรือ ”
“ข้าแต่ท่านบิดา ” นางวิสาขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเป็นปกติ
“คำที่ลูกพูดนั้นมิได้หมายความว่าท่านบิดาบริโภคของเก่าสกปรก แต่ลูกหมายความว่า ท่านบิดากำลังกินบุญเก่า ลูกคิดว่าการที่ท่านบิดามั่งมีศรีสุข มีเงินทองล้นเหลืออยู่ในปัจจุบันชาตินี้ โดยที่ท่านบิดามิได้ลงทุนลงแรงทำอะไรมากนัก ทรัพย์สมบัติล้วนแต่เป็นมรดกตกทอดมาทั้งสิ้นนั้น เป็นเพราะบุญเก่าของท่านบิดาอำนวยผลให้ ถ้าท่านบิดามิได้สั่งสมบุญใหม่ให้เกิดขึ้น บุญเก่านั้นก็ต้องหมดไปสักวันหนึ่ง ลูกหมายถึงบุญเก่านี่เอง จึงพูดว่าบิดากำลังบริโภคของเก่า ”
“ข้าแต่ท่านเศรษฐี ! ข้อนี้หาเป็นความผิดแห่งแม่เจ้าไม่ ” พราหมณ์พูดขึ้น
“เอาเถิด แม้นางจะไม่ผิดในข้อนี้ แต่เมื่อคืนก่อนนี้นางได้ทำในสิ่งที่น่ารังเกียจ คือเราเห็นนางลงไปที่คอกสัตว์เวลาดึกดื่นเที่ยงคืน นางลงไปทำไม เพราะนั่นเป็นกิจที่กุลสตรีไม่พึงกระทำ ”
“ข้าแต่บิดา! คืนนั้นลามันออกลูกด้วยความทรมาน ลูกเพียงแต่ลงไปดูมันและช่วยเหลือมันเท่าที่พอจะทำได้ ในการลงไป ลูกมิได้ลงไปคนเดียว มีบริวารชายหญิงไปด้วยหลายคน อีกทั้งนำประทีปโคมไฟสว่างไสวลงไปด้วย ”
“ ข้าแต่ท่านเศรษฐี ! แม้ข้อนี้ก็จะถือเป็นความผิดของนางหาได้ไม่ ” พราหมณ์กล่าว
“เอาเถิด แม้นางจะไม่ผิดในข้อนี้ แต่เมื่อคืนสุดท้ายที่นางจะมาสู่ตระกูลเรา เราได้ยินบิดาของนางพูดสั่งเสียข้อความถึง ๑๐ ข้อซึ่งเราไม่พอใจ เราไม่ต้องการสตรีที่พยายามปฏิบัติอย่างนั้นอยู่ในเรือนของเรา เพราะจะนำภัยพิบัติมาสู่ตระกูลของเราอย่างแน่แท้ เป็นไปได้หรือที่จะห้ามมิให้เรานำไฟภายในออก เมื่อเพื่อนบ้านมาขอจุดไฟ และเมื่อไฟในบ้านดับ เราก็ต้องไปขอจุดไฟภายนอกบ้านเข้ามาในบ้าน บิดาของนางห้ามมิให้นำไฟในออกและไฟนอกเข้า เราทนไม่ได้ที่จะให้นางปฏิบัติเช่นนั้น เป็นการใจแคบเกินไป ”
นางวิสาขายิ้มน้อยๆ กับความเดียงสาของบิดาสามี.