อนาถบิณฑิกเศรษฐี
ตอนที่ ๒๔ หลานสาวของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีมีหลาวสาวตัวน้อย ๆ คนหนึ่ง วันหนึ่งพี่เลี้ยงของหลานสาวท่านอนาถบิณฑิกะ ได้ทำตุ๊กตาแป้งให้เล่น เอาแป้งมาปั้นเป็นรูปตุ๊กตา โดยพี่เลี้ยงได้บอกว่า เป็นลูกสาวของหนู หนูจงเอาไปอุ้มเถิด ทำให้หลานสาวท่าอนาถบิณฑิกะเกิดความเข้าใจว่า ตุ๊กตาแป้งนั้นเป็นลูกสาวของเธอจริง ๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจความหมายว่า ลูกคืออะไร
วันหนึ่งในขณะที่หลานสาวกำลังอุ้มตุ๊กตาแป้งอยู่ ไม่ได้ระวังจึงทำให้ตุ๊กตาแป้งตกแตก แล้วเธอก็ร้องไห้งอแง รำพึงรำพันว่า ลูกของหนูตายแล้ว ลูกหนูตายแล้ว คนในบ้านก็พยายามปลอบหลานสาวท่านอนาถบิณฑิ-กะ ให้หยุดร้องไห้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถปลอบได้
ในวันนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังประทับอยู่ในเรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี โดยมีท่านเศรษฐีนั่งอยู่ใกล้ ๆ พี่เลี้ยงจึงพาหลานสาวซึ่งมีน้ำตานองหน้า เข้าไปหาท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
“หนูร้องไห้ทำไมจ๊ะ” พี่เลี้ยงก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านเศรษฐีทราบ ท่านเศรษฐีจึงให้หลานสาวมานั่งที่ตัก แล้วก็ปลอบว่า “อย่าเสียใจไปเลย เดี๋ยวตาจะถวายทานอุทิศส่วนกุศลให้ลูกสาวของหนู” ท่านไม่ได้พูดลอย ๆ ทำจริงด้วย
ท่านอนาถบิณฑิกะจึงกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะถวายทานอุทิศส่วนกุศลให้ตุ๊กตาแป้งนี้ ขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป รับนิมนต์อันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้นด้วยเทอญ” ท่านต้องการให้หลานสาวได้ยิน และก็ต้องการถวายทานด้วย เมื่อได้ยินคุณตาพูดดังนั้น หลานสาวท่านเศรษฐีจึงหยุดร้องไห้
วันรุ่งขึ้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป เสด็จไปที่เรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อพระพุทธองค์ทรงภัตกิจเสร็จแล้ว ทรงปรารภเหตุเรื่องตุ๊กตาแป้ง แล้วจึงกระทำอนุโมทนาแจกแจงการทำบุญ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว
พระพุทธองค์เอาเรื่องตุ๊กตาแป้งเป็นเหตุ ที่จะแสดงธรรมให้ผู้มีบุญได้ยินได้ฟัง แต่ไม่ได้หมายถึงว่า บุญนี้จะไปถึงตุ๊กตาแป้ง และครั้งนี้ทรงปรารภเหตุ เพื่อเปิดเผยความรู้เกี่ยวกับเรื่องความเป็นไปของชีวิต ระหว่างโลกมนุษย์กับปรโลก ที่จะเชื่อมโยงกันได้อย่างไร เพราะพระองค์ทรงทราบว่า ผู้อยู่ปรโลกหมดสิทธิ์ที่จะสั่งสมบุญ ผู้มีชีวิตอยู่ในโลกเท่านั้นจึงมีสิทธิ์ที่จะสั่งสมบุญ ท่านก็จะเปิดเผยว่า มีการเชื่อมโยงกันได้ด้วยความดี ด้วยบุญกุศลจากผู้ที่มีชีวิตอยู่ไปสู่ผู้ที่มีชีวิตในปรโลก ให้ได้มีโอกาสเชื่อมกันได้ด้วยบุญ ผู้ที่ทำก็ได้บุญ ผู้รับบุญที่อุทิศไปให้ก็ได้บุญ และมีสภาวะที่ดีขึ้น มีสภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม มีความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะในปรโลกนั้นเป็นอยู่ได้ด้วยบุญ ไม่มีการทำมาหากิน ไม่มีการหว่านการไถ จะเอาความสามารถในเมืองมนุษย์ไปใช้ในปรโลกไม่ได้เลย
พระพุทธองค์ทรงกล่าวอนุโมทนา ดังนี้ บุคคลผู้ไม่ตระหนี่ พึงถวายทานและอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็คือ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ญาติพี่น้องของเรา ผู้ละโลกไปแล้ว ท่านเหล่านั้นหมดสิทธิ์ในการทำบุญ รับบุญได้อย่างเดียว คือ การอนุโมทนาบุญ เมื่อเรายังเล็ก ๆ ท่านเลี้ยงดูเรา ท่านให้กำเนิด เลี้ยงดู ต้องปรนนิบัติเรา ปลอบประโลมใจเรา แต่พอท่านตายแล้ว เราไม่ระลึกนึกถึงคุณท่านก็ไม่ไหว เราจะต้องทำหน้าที่เชื่อมโยงกันไป เมื่อท่านหมดสิทธิ์ทำบุญ เรายังมีสิทธิ์ทำ เราก็ต้องทำแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้ท่าน ไม่อย่างนั้นตอนมีชีวิตอยู่ ท่านไม่ได้สร้างบุญไว้ อาจจะไปเป็นภูตผีปีศาจหรือภุมมเทวาชั้นล่างก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นต้องอุทิศส่วนกุศลไปให้
หรือถวายทานแล้วอุทิศให้เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ในเรือนของตน คือ นอกจากบรรพบุรุษแล้วก็ต้องถวายทานอุทิศให้เทวดาผู้สิงสถิตในเรือนของตน นี้ก็เป็นสิ่งที่น่าศึกษาว่า ในแต่ละบ้านเรือนนั้น มีเทวดา ภุมมเทวา นายไม้ นางไม้ที่สิงอยู่
หรือถวายทานแล้วอุทิศให้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เพราะมหาราชทั้ง ๔ ท่านดูแลรักษาโลกเอาไว้ ถึงได้เรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล พึงนึกถึงบุคคลเหล่านั้นให้เป็นอารมณ์แล้วถวายทาน หมายถึง นึกภาพบุคคลที่เราตั้งใจอุทิศส่วนกุศลไปให้ หรือถ้านึกภาพไม่ออก เราก็นึกถึงเรื่องราวทำใจมุ่งอุทิศโดยตรงเลย
ท่านทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อได้รับการอุทิศบุญแล้ว ย่อมมีความปีติเบิกบาน ส่วนผู้ถวายทานก็ย่อมได้รับบุญนั้นด้วย คือ ได้ทั้งตัวเรา ได้ทั้งหมู่ญาติที่ละโลกไปแล้ว ได้ทั้งเทวดาทั้งหมด
ดังนั้น การร้องไห้เศร้าโศกและคร่ำครวญนั้น ไม่มีประโยชน์เลย สำหรับญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว คนตายยืนอยู่ตรงนั้น ญาติร้องไห้ ด้วยความอาลัยอาวรณ์ แต่ผู้ตายบอกอย่าร้อง ร้องก็ไม่ได้อะไรเลย แล้วพลอยทำให้ผู้ที่ละโลกไปยืนอยู่ตรงนั้น เครียดไปด้วย ความเครียดระบาดไปถึงปรโลก เรียกว่า เครียดข้ามภพ ต่างก็ผูกพันอาลัยอาวรณ์กัน หรือตายไปแล้วตอนเป็นมนุษย์อยู่ไม่ได้สั่งสมบุญ ตายไปแล้วก็อด ๆ อยาก ๆสมมุติว่า ไม่ไปอบาย อยู่บนพื้นมนุษย์ เป็นสัมภเวสีเร่ร่อน ตะโกนบอกให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ จะเกิดเป็นอาหารทิพย์ เสื้อผ้าอันเป็นทิพย์ เกิดวิมานที่เป็นทิพย์ ตะโกนจนคอแห้งเลย แต่ผู้มีชีวิตอยู่ก็ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นการร้องไห้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย สำหรับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว