หลังเสด็จดับขันธปรินิพพาน (ตอนจบ)
..... ประชุมใหญ่พระสงฆ์ เพื่อกระทำปฐมสังคายนา
วันเดียวกันที่โทณพราหมณ์แจกพระบรมสารีริกธาตุเหล่าภิกษุสงฆ์ได้ร่วมประชุมใหญ่ พระมหากัสสปเถรเจ้าได้กล่าวเล่าเรื่องที่ภิกษุสุภัททะผู้บวชตอนแก่กล่าวติเตียนจ้วงจาบพระบรมศาสดา และพระวินัย ให้เกิดความสังเวชสลดใจในหมู่สงฆ์ว่า เพียงพระบรมศาสดาปรินิพพานได้ ๗ วัน ยังมีผู้มีความคิดเห็นวิปริตไปได้ถึงเพียงนี้ ถ้าปล่อยปละละเลยให้นานไปจะฟั่นเฝือ เผื่อมีอลัชชีปลอมบวชมุ่งทำลายพระศาสนา ย่อมจะบิดเบือนพระธรรมวินัยได้ง่าย สิ่งที่มิใช่ธรรม มิใช่วินัยจะรุ่งเรือง ส่วนธรรมวินัยที่แท้จะลบเลือนถูกทำลายสูญหายไป พวกคนบาปจะพากันลบล้างพระธรรมวินัย เมื่อคนเลวมากขึ้น ก็จะพากันมีกำลังกล้าแข็ง คนดีอยู่ในพระธรรมวินัยจะเสื่อมถอยน้อยกำลัง
นอกจากนั้นยังได้นำพระพุทธดำรัสสั่งพระอานนท์มากล่าวยืนยันให้สงฆ์ทราบทั่วกันว่า พระตถาคตเจ้าประทานพุทธโอวาทไว้ว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานล่วงไปแล้ว ให้นับถือธรรมและวินัยเป็นศาสดาปกครองสงฆ์แทนพระองค์
แล้วได้นำเรื่องสมัยพระบรมศาสดาครั้งยังทรงพระชนม์อยู่ เสด็จจาริกมัลลชนบทเมืองปาวา มัลลกษัตริย์เมืองนั้นเสด็จมาเฝ้าสดับพระธรรมเทศนากลับไปแล้ว เหล่าภิกษุล้วนยังไม่ง่วงเหงา พระองค์ทรงให้พระสารีบุตรแสดงธรรมแก่เหล่าภิกษุสงฆ์แทน พระสารีบุตรนำเรื่องนิคัณฐนาฏบุตร หัวหน้าลัทธิเชนในเวลานั้นตายลง เหล่าสาวกแตกความสามัคคี วิวาทกันและกันเป็นการใหญ่
ในศาสนาของพระพุทธเจ้าไม่ควรให้มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น จึงควรต้องทำสังคายนาพระธรรมวินัย ให้กล่าวเป็นแบบเดียวกันไม่แตกแยก เพื่อให้พรหมจรรย์คือพระศาสนานี้ตั้งอยู่ได้นาน เป็นประโยชน์สุขต่อมหาชนเป็นอันมาก รวมทั้งมนุษย์และเทพยดาทั้งหลาย
เวลานั้นพระสารีบุตรยังได้แสดงหมวดธรรมต่างๆ ที่พระบรมศาสดาตรัสสอนไว้รวม ๑๐ ประการ ให้ที่ประชุมสงฆ์ครั้งนั้นฟัง
ครั้นจบลงพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานสาธุการสรรเสริญพระสารีบุตรว่าดีแล้ว ชอบแล้ว การกล่าวสอนเป็นอย่างเดียวกัน ไม่วิวาทกันด้วยคำสอน เป็นคุณความดี การรวบรวมธรรมเป็นหมวดหมู่เป็นสิ่งควรทำ
ที่ประชุมสงฆ์มีมติให้ร่วมกันสังคายนาตรวจสอบพระธรรมและพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ถูกต้องตรงกัน โดยเลือกพระอรหันตเถระผู้ใหญ่ ๓ รูป ทำหน้าที่เป็นประธานการสังคายนา คือ พระมหากัสสปะ พระอุบาลี และพระอานนท์ ประชุมกันในถ้ำใหญ่ใกล้กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระเจ้าอชาตศัตรูรับเป็นธุระเรื่องอุปถัมภ์ปัจจัยสี่แก่พระภิกษุสงฆ์ที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด ตลอดระยะเวลา ๓ เดือน จนแล้วเสร็จ ซึ่งก่อนที่การประชุมสังคายนาจะเริ่มขึ้น เหล่าภิกษุที่จะเข้าร่วมประชุมทำสังคายนาในครั้งนั้น ยกเว้นพระอานนท์แล้ว ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น ๔๙๙ รูป
พระอานนท์ได้กระทำความเพียรอย่างยิ่งยวด เพื่อต้องการบรรลุธรรมเบื้องสูงเป็นพระอรหันต์ให้ทันวันทำสังคายนา ความเพียรมากเกินไป ไม่ได้รับผลสำเร็จ ทำให้เกิดความเมื่อยล้า คิดจะเอนหลังพักผ่อนสักครู่แล้วจึงค่อยกำหนดทำความเพียรต่อ ขณะอยู่ในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอนและจิตคลายออกจากความเพียรที่มากเกินไปอยู่นั้น พลันจิตก็รวมเข้าสู่ศูนย์กลางกาย บรรลุคุณธรรมเบื้องสูงเป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทา แสดงอภิญญามุดดินไปโผล่ขึ้นกลางที่ประชุม ทันเวลาเริ่มต้นสังคายนาพอดี นับเป็นพระอรหันต์องค์ที่ ๕๐๐ ในที่ประชุม
การสังคายนาครั้งนั้นได้รวบรวมพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ เป็นหมวดหมู่ตามที่เหล่าพระอรหันตสาวกจำกันได้ นำมาชำระสอบสวนให้ได้ความตรงกัน แล้วเรียบเรียงเป็นบทสวดท่องจำปากเปล่าสืบต่อกันมาช้านานจนกระทั่งสมัยมีอุปกรณ์การเขียนหนังสือ จึงได้จดลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
พระธรรมและพระวินัย ได้เป็นประโยชน์ต่อคณะสงฆ์เป็นอันมาก เป็นเวลาประมาณ ๑๐๐ ปี จึงเริ่มมีเรื่องเสื่อมเสีย เหล่าภิกษุวัชชีบุตรเมืองเวสาลี ย่อหย่อนผิดธรรมวินัย ตั้งข้อปฏิบัติขึ้นใช้ ไม่สมควร ๑๐ ประการ เรียกว่า วัตถุ ๑๐ คือ
ข้อละเมิดทั้ง ๑๐ ข้อนี้ ชาวบ้านชาวเมืองที่นั่น ไม่มีใครคัดค้าน แต่พระอรหันต์ ๗๐๐ รูป ได้มาประชุมพร้อมกันที่ วาลิการาม เมืองเวสาลี ชำระวัตถุ ๑๐ เหล่านี้ทิ้งเสีย ทำพระวินัยให้บริสุทธิ์สืบมา
ต่อจากนั้นราวปีพุทธศักราช ๒๑๘ ในแผ่นดินพระเจ้าอโศกมหาราช นครปาฏลีบุตรมีพวกเดียรถีย์ปลอมบวช สร้างความมัวหมองแก่พระธรรมวินัยเป็นอันมาก พระโมคคัลลีบุตรติสสเถรเจ้า ได้อาศัยพระอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช กำจัดเดียรถีย์เหล่านั้นออกจากคณะสงฆ์ แล้วประชุมภิกษุพหูสูตทรงธรรมวินัยจำนวนมากชำระคำกล่าวที่ทำให้พระธรรมวินัยมัวหมองออกจนหมด ทำพระธรรมวินัยบริสุทธิ์ดำรงสืบต่อมา
ปีพุทธศักราช ๒๓๖ พระมหินทเถรเจ้า (พระโอรสในพระเจ้าอโศกมหาราช) นำพระธรรมวินัยไปเผยแผ่ประดิษฐานในสีหลทวีป (ประเทศลังกาปัจจุบัน) พระโมคคัลลีบุตรได้ส่งพระเถระอื่นๆ ไปประกาศพระศาสนาทั่วดินแดนใกล้เคียงประเทศอินเดียทางตะวันออกทั้งหมด
พุทธบริษัทที่ประเทศลังกาใช้จำพระธรรมวินัยด้วยการท่องจำปากเปล่ามานานถึงกว่าพุทธศักราช ๔๕๐ พระอรหันต์ทั้งหลายเห็นกุลบุตรชั้นหลังเสื่อมถอยปัญญา จะให้ท่องปากเปล่าอย่างเดิมจะไม่มีใครทำต่อไป จึงประชุมกันที่อาโลกเลณสถาน มลัยชนบท ที่ลังกาทวีป เขียนพระปริยัติธรรมเป็นตัวอักษร จารึกลงไว้ในใบลาน
ต่อจากนั้นอีกเป็นหลายร้อยปี พระพุทธศาสนาแพร่กระจายไปทั่วในทางซีกโลกตะวันออกจนทุกวันนี้ แต่สำหรับประเทศอินเดียเอง ได้มีกษัตริย์ดุร้ายพระองค์หนึ่งนับถือศาสนาอื่น ทำลายล้างฆ่าฟันภิกษุสงฆ์แทบไม่มีเหลือประมาณ ๒ หมื่นรูป เผาสำนักเรียนอันยิ่งใหญ่เทียบได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยของพระพุทธศาสนาชื่อ นาลันทา อยู่เป็นเวลาหลายเดือน จนพระคัมภีร์ต่างๆ ในอินเดียสูญสิ้นไปหมด
นับแต่เวลานั้น พระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนก็เสื่อมสูญไปจากประเทศอินเดียไปนาน
คำสอนเท่าที่มีเหลืออยู่ทุกวันนี้ คือเท่าที่ได้เผยแผ่พระศาสนาออกมาในยุคก่อน แต่นานเข้าแต่ละแห่งก็มีผิดเพี้ยนเพิ่มเติมกันขึ้นมาเอง บางแห่งย่อหย่อนกระทั่งภิกษุมีภรรยาได้ ในบางประเทศดังที่เห็นกันทุกวันนี้
ต้องเป็นให้ได้ (ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า)
โดย อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล