ทรงเปล่งพระวาจาปรารถนาพุทธภูมิ และได้รับพุทธพยากรณ์ (ตอน ๓)
.....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๒ ที่ตรัสพุทธยากรณ์แก่พระโพธิสัตว์ของเรา
ทรงพระนามว่า สมเด็จพระโกณฑัญญะสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสรีระสูง ๘๘ ศอก
อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๑ แสนปี
ทรงเป็นพระโอรสของ พระเจ้าสุนันทะ และพระนางสุชาดา แห่งนครรัมมวดี
ครองฆราวาสเสวยโลกียสุขอยู่ ๑ หมื่นปี พระนางรุจิเทวีเป็นพระอัครมเหสี มีพระโอรสพระนามว่า วิชิตเสนกุมาร ทรงเห็นเทวทูตทั้ง ๔ สลดพระทัย เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ด้วยยานคือรถทรงเทียมม้า มีข้าราชบริพารตามออกบวชด้วย ๑๐ โกฏิ
ทรงใช้เวลาบำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน
ผู้ถวายข้าวมธุปายาส ชื่อนางยโสธรา ธิดาของเศรษฐีสุนันทคาม
นิสีทนสันถัต (ที่รองประทับนั่งก่อนตรัสรู้) กว้าง ๕๘ ศอก โดยสุนันทอาชีวก ถวายหญ้าคา ๘ กำมือ ประทับนั่งโคนต้นสาลกัลยาณี (ต้นขานาง)
พระอัครสาวกคือ พระภัททะ และพระสุภัททะ
พระพุทธอุปัฏฐากคือ พระอนุรุทธะ
ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง
ครั้งแรก ประทานแก่ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ ๑๐ โกฏิ เทวดาและมนุษย์บรรลุธรรมแสนโกฏิ
ครั้งที่สอง ประทานแก่มนุษย์และเทพยดา เรื่องมงคลทั้งหลาย
ครั้งที่สาม ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ย่ำยีมานะของเดียรถีย์ แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาบนอากาศ
มีสาวกสันนิบาตเกิดขึ้น ๓ ครั้ง
เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๑ แสนพรรษา ที่พระวิหารจันทาราม พระบรมสารีริกธาตุไม่กระจัดกระจาย คงดำรงอยู่เป็นแท่งเดียว เหมือนรูปปฏิมาทองสถิตอยู่ในพระเจดีย์สูง ๗ โยชน์
พระเจ้าวิชิตาวี
ในพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า วิชิตาวี ได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์แสนโกฏิ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระศาสดาทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์ว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม แล้วทรงแสดงธรรมให้พระเจ้าวิชิตาวีโพธิสัตว์ทรงเบิกบานพระทัย จนสละราชสมบัติออกบวช เรียนพระไตรปิฎกทำสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดขึ้น มีฌานไม่เสื่อม ไปเกิดในพรหมโลก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์แก่พระโพธิสัตว์ของเรา
ต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่า โกณฑัญญะ ได้มีพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสีรระสูง ๘๘ ศอก
อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๙ หมื่นปี
ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าอุตตระ และพระอัครมเหสีอุตตรา แห่งอุตตระนคร
ครองฆราวาสเสวยโลกียสุขอยู่ ๙ พันปี เมื่อพระนางยสวดีพระมเหสีทรงให้ประสูติกาลพระโอรส สีวละ ก็ทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ ด้วยม้าทรงชื่อปัญฑระ มีผู้ตามเสด็จออกบวช ๓ โกฏิ
ทรงใช้เวลาบำเพ็ญเพียร ๘ เดือน
ผู้ถวายข้าวมธุปายาส นางอุตตรา ธิดาอุตตรเศรษฐี
นิสีทนสันถัต กว้าง ๕๘ ศอก อุตตรอาชีวกถวายหญ้าคา ๘ กำมือ
ต้นไม้ที่ตรัสรู้คือ ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง)
พระอัครสาวคือ พระสุเทวะ และพระธรรมเสนะ
พระพุทธอุปัฏฐากคือ พระปาลิตะ
ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง
ครั้งแรก ประทานแก่ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ ๓ โกฏิ ที่ชัฎสิริวัน นครสิริวัฒนะ
ครั้งที่สอง แสดงที่ภพดาวดึงส์
มีพระสาวกสันนิบาตเกิดขึ้น ๓ ครั้ง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ มีสรรพสัตว์เลื่อมใสศรัทธาเป็นพิเศษ เนื่องจากทรงมีพระรัศมีแผ่จากพระวรกายไปทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุ อยู่เป็นปกติตลอดเวลา จนกระทั่งไม่มีกลางวันกลางคืน เหล่ามนุษย์อาศัยพระพุทธรัศมีแทนแสดงสว่างจากดวงอาทิตย์ มนุษย์จึงไม่ทราบเวลากลางวันกลางคืน ต้องดูจากดอกไม้บานในยามเย็น และฟังเสียงนกร้องในตอนเช้า พระตถาคตเจ้าพระองค์นี้มีพระรัศมีพิเศษด้วยทรงอธิษฐานเอาไว้ในพระชาติที่เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงพำนักอยู่กับพระชายาพร้อมด้วยพระโอรสพระธิดา ที่ภูเขาแห่งหนึ่ง ยักษ์ตนหนึ่งปลอมตัวมาขอพระกุมารและกุมารี พระองค์ทรงบำเพ็ญมหาบริจาค พอขอไปได้ไม่ทันคล้อยหลัง ยักษ์ก็ขบเคี้ยวกินเป็นอาหารหมดทั้งสองพระองค์ พระมังคลโพธิสัตว์ต้องข่มพระทัยด้วยขันติบารมีอย่างแรงกล้า ทรงอดกลั้นความโกรธไว้ กระทำอุเบกขาบารมีว่าเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสละไปแล้ว พร้อมทั้งทรงตั้งสัจอธิษฐาน ขอผลแห่งการให้ทานครั้งนี้ มีอานิสงส์ให้พระองค์ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ให้มีพระรัศมีกว้างไกลดุจโลหิตของพระโอรสพระธิดาที่สาดกระเซ็นออกมาจากปากยักษ์
ด้วยอธิษฐานบารมีดังกล่าวแล้ว พระรัศมีกายของพระองค์จึงสว่างไกลกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ซึ่งทรงมีเพียงวาหนึ่งบ้าง ๘๐ ศอกบ้าง จะแผ่ทั่วจักรวาลต่อเมื่อมีพุทธประสงค์จะแสดงเท่านั้น พระองค์ทรงจาริกสั่งสอนสรรพสัตว์จนพระชนม์ ๙ หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ อุทยานเวสสระ มหาชนทำสถูปบูชาสูงถึง ๓๐ โยชน์ ...
ต้องเป็นให้ได้ (ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า)
โดย อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล